ตอนที่แล้วตอนที่ 38 วิธีหาเงิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 40 ฝันถึงโถงอโรคยา

ตอนที่ 39 ความอับอายของกุนซือหู


ตอนที่ 39 ความอับอายของกุนซือหู

สำหรับเรื่องลั่วหลานนั้น ฉางกุ้ยเฟยค่อนข้างโล่งใจ ช่วงนี้นางมักจะส่งคนแอบมาเฝ้าดูนาง เมื่อเห็นว่าลั่วหลานไม่ได้มีทีท่าว่าจะหนีออกไปจากที่นี่ นางจึงไม่สนใจเงินเพียงสองร้อยตำลึง ตราบใดที่มันสามารถช่วยพิสูจน์ให้ราชวงศ์และราษฎรรับรู้ความชอบธรรมของนางได้

ไม่ว่าเหลิ่งอวี้จะทำผิดพลาดหนักหนาเพียงใด ในฐานะแม่ นางไม่อาจหาเหตุผลมาละเลยเขาได้

ลั่วหลานบอกเพียงว่าไปจำนำคทาหรูอี้หยกแล้วได้เงินมา ส่วนเหลิ่งอวี้นั้น นางไม่อาจเล่าเรื่องนี้ให้เหลิ่งอวี้ฟังได้

ในตอนเย็น นางเรียกอาอวี่กับอาโฮ่วมาหา พวกเขายืนนิ่งอยู่ตรงหน้านางเพื่อรอคำสั่ง

นางพ่นลมหายใจด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วพูดว่า

“หากข้ามอบหมายภารกิจให้พวกเจ้าทำ พวกเจ้าจะกล้าทำหรือไม่?”

อาอวี่ผู้รอบคอบถามอย่างระมัดระวังว่า “พระชายา โปรดสั่งการได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

อาโฮ่วตบหน้าอกตัวเอง “กล้าสิพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีอันใดที่ไม่กล้าทำ”

แววตาเจ้าเล่ห์ฉายแววผ่านนัยน์ตาใสราวดวงแก้วของลั่วหลาน หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางก็พูดช้า ๆ

“ไม่ได้จะให้พวกเจ้าไปฆ่าคน ไม่ได้จะให้พวกเจ้าไปวางเพลิง พวกเจ้าจงไปที่จวนของกุนซือแซ่หู เพื่อขโมยของบางอย่าง”

เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด อาโฮ่วกับอาอวี่ก็มองนางด้วยความประหลาดใจ “พระชายา นี่... พวกข้าน้อยไม่เคยขโมยอันใดมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ!”

เมื่อเห็นความตื่นตระหนกของทั้งสองคน ลั่วหลานโบกมือด้วยรอยยิ้ม ก่อนหรี่ตาลงกระซิบเสียงเบา  “เพราะเขาปล้นข้าตอนกลางวัน ข้าจึงต้องล้างแค้น!”

เมื่อได้ยินว่าพระชายาถูกกุนซือหูปล้น แม้ว่าทั้งสองคนจะรู้สึกว่านี่ค่อนข้างฟังดูเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พระชายาคงไม่โกหก อาอวี่เม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้า

“พวกข้าน้อยกล้าไปตามรับสั่งของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

ลั่วหลานไม่เคยคิดจะปล้นใครอย่างไม่เป็นธรรม แต่คนอย่างกุนซือหูสมควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง นางไม่อาจปล่อยไปได้

นางจึงกล่าวกับพวกเขาอีกว่า

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องขโมยเงินทองหรอก…”

เมื่อพูดเช่นนี้ นางก็กวักมือเรียกทั้งสองคนให้ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น พวกเขาฟังนางพึมพำอยู่สองสามประโยค แล้วทั้งสองก็เม้มปากกลั้นหัวเราะ

เช้าวันรุ่งขึ้น ประตูจวนของกุนซือใหญ่แห่งศาลาซุ่นเทียนในเมืองหลวง เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าดูความตื่นเต้น อาโฮ่วกับอาอวี่ปฏิบัติตามคำสั่งของลั่วหลานเรียบร้อยแล้ว และยังคงมารอเฝ้าดูความตื่นเต้นที่นี่ เพื่อที่พวกเขาจะได้รายงานสภาพอันน่าอับอายของท่านกุนซือเมื่อกลับไปได้

ทันทีที่คนรับใช้ของกุนซือหูเปิดประตู ก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า พวกเขาไม่มีเวลาคิดว่าเหตุใดจึงมีคนมากมายมายืนมุงอยู่ที่หน้าประตู พวกเขาจึงรีบวิ่งไปแจ้งกุนซือหู

กุนซือหูยังคงฝันหวานขณะนอนกอดอนุไว้ในอ้อมแขน เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตู เขาก็คำรามด้วยความไม่พอใจ

“เคาะหาพระแสงอันใดแต่เช้า?”

“ท่านกุนซือ มีคนมากมายมายืนหน้าประตูจวนขอรับ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอันใดกันอยู่ ท่านโปรดออกไปดูเถิดขอรับ!”

เมื่อกุนซือหูได้ฟังดังนั้นจึงตาสว่างขึ้นมาทันที คนเหล่านี้ทำอันใดหน้าประตูจวนตั้งแต่เช้าตรู่? อาจมีบางอย่างเกิดขึ้นหรือเปล่า?

เมื่อนึกได้เช่นนี้ เขาก็รีบลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อคลุมแล้ววิ่งออกไปข้างนอก

มาถึงประตูจวน ผู้คนที่เฝ้ารออยู่ข้างนอกก็ส่งเสียงตะโกนโห่ร้อง แล้วชี้มาที่เขา

ฝูงชนต่างตื่นเต้นกันมากเมื่อเห็นเขาออกมา ทุกคนเริ่มชี้นิ้วมาที่เขาพลางหัวเราะ กุนซือหูกับเหล่าคนรับใช้มองไปที่คนเหล่านี้ที่กำลังชี้มือชี้ไม้ด้วยความสับสน

“พวกเจ้ามาทำอันใดกันแต่เช้าเช่นนี้? มีอันใดน่าดูนักหรือ?”

บางคนในฝูงชนยังคงหัวเราะลั่น อาโฮ่วฉวยโอกาสช่วงชุลมุนตะโกนว่า

“กุนซือหูผู้สง่างามชอบใส่กางเกงในสีแดงแจ๋! แล้วกุนซือหูใส่ชุดชั้นในนั่นด้วยหรือ? ใส่ก็ใส่ดี ๆ สิ! เหตุใดต้องเอาของเช่นนั้นมาแขวนไว้หน้าประตูด้วยล่ะ? ฮ่าฮ่าฮ่า...”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ทุกคนก็เริ่มหัวเราะกันหนักกว่าเดิม กุนซือหูขมวดคิ้วแล้วมองไปทางที่ฝูงชนชี้ไป เมื่อเขาเห็นกางเกงชั้นในสีแดงและชุดชั้นในของผู้หญิงสีชมพู ห้อยอยู่บนแผ่นจารึกหน้าจวน ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นโกรธจัด โกรธมากจนควันแทบออกหู นั่นเป็นเสื้อผ้าที่เขาถอดออกในห้องของอนุเมื่อคืนนี้ ตอนที่กำลังร่วมกิจกรรมยามดึกกัน เหตุใดตอนเช้ามันถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

เขาหันกลับมาด้วยความโกรธ แล้วตะโกนใส่คนรับใช้ที่กำลังกลั้นหัวเราะว่า “พวกเจ้าตาบอดหรือเปล่า? รีบไปเก็บมาเร็วเข้า...”

เมื่อเห็นท่าทางอับอายของเขา ฝูงชนก็หัวเราะลั่นกันอีกครั้ง กุนซือหูเป่าเคราแล้วจ้องมองทุกคนด้วยความเดือดดาล

“ใครเป็นคนทำเรื่องเช่นนี้? หากข้ารู้ ข้าไม่ปล่อยไว้แน่…”

เมื่อเห็นเขาส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง อาอวี่กับอาโฮ่วหรี่ตายิ้มให้กัน ก่อนจะหันหลังเดินผ่านฝูงชนไปยังตำหนักอ๋องอวี้

หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงตำหนักอ๋องอวี้ พวกเขาก็รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้ลั่วหลานฟังอย่างชัดเจน ลั่วหลานพูดกับอาไฉ่ว่า

“อาอวี่กับอาโฮ่วทำได้ดีมาก ไปบอกครัวให้ทำอาหารเพิ่มให้พวกเจ้าเป็นพิเศษ สำหรับมื้อกลางวันวันนี้ได้เลย”

อาโฮ่วและอาอวี่ประสานมือคำนับอย่างมีความสุข “ขอบพระทัยพระชายา”

ลั่วหลานกล่าวอีกครั้ง

“ประเดี๋ยวพวกเจ้าสองคนพาคนมาทำความสะอาดห้องโถงใหญ่ให้ข้าด้วย เก็บพรมที่ทำความสะอาดยากออก และเก็บของประดับตกแต่งที่ไร้ประโยชน์ทั้งหมดไปไว้ที่สวนหลังตำหนัก แล้วจัดโต๊ะกับเก้าอี้ให้ข้าด้วย”

อาอวี่มองนางด้วยความประหลาดใจ “พระชายา ท่านต้องการทำอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

อาโฮ่วถามด้วยความสงสัย

“เหตุใดท่านถึงอยากทำความสะอาดห้องโถงใหญ่? ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครไปที่นั่นนะพ่ะย่ะค่ะ!”

ลั่วหลานเหลือบมองพวกเขาทั้งสอง ก่อนหรี่ตาพูดอย่างมีเลศนัย

“ข้าจะเปิดสถานพยาบาล”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อาโฮ่วมองนางด้วยความประหลาดใจ “พระชายา ท่านจะเปิดสถานพยาบาลหรือพ่ะย่ะค่ะ? นี่... นี่มันขัดกับขนบธรรมเนียม จะมีใครเปิดสถานพยาบาลในตำหนักได้อย่างไร?”

“เหตุใดจะไม่ได้?” ลั่วหลานขมวดคิ้วมองเขา “ราชสำนักได้ตัดเงินเดือนของพวกเรา พวกเราจึงต้องดูแลตัวเอง หาเงินเลี้ยงปากท้องตัวเอง! ถ้าข้าไม่หาเงิน พวกเจ้าทุกคนจะต้องอดอยากจนตาย”

อาอวี่เม้มปาก ก่อนจะประสานมือคำนับ แล้วพูดว่า “ข้าน้อยทราบดี ราชสำนักต้องการจะให้พวกเราอดตาย แต่เราไม่อาจปล่อยให้พวกเขาทำตามความปรารถนานั้นได้ แต่การจ้างหมอก็มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เช่นกัน เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการจ้างหมอแล้ว เราจะยังมีกำไรหรือพ่ะย่ะค่ะ? ไม่เช่นนั้นก็ขายยาแทน! สามารถกำหนดราคาได้ตามใจชอบ เพื่อให้หาเงินได้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”

อาโฮ่วถอนหายใจก่อนพูด “เฮ้อ! ในเมืองมีหมอและร้านขายยาตั้งมากมาย ถ้าเราขายราคาแพงเกินไปใครจะซื้อล่ะ? แล้วหมอที่เก่งเรื่องยาคนไหนจะยอมมาทำงานที่นี่บ้าง? หากไม่ต้องใช้เงินเยอะ... เช่นนั้นเราเปิดร้านอาหารกันดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“พวกเจ้าสองคนพูดกันจบหรือยัง?”

ลั่วหลานขมวดคิ้ว “ข้าบอกว่าข้าต้องการเปิดสถานพยาบาล แต่ข้าไม่ได้บอกว่าต้องการจ้างหมอ!”

เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด ทั้งสองก็มองนางด้วยความประหลาดใจ “จะเปิดสถานพยาบาล โดยไม่ต้องจ้างหมอได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เราจะโกหกคนอื่นหรือเปล่า?”

ลั่วหลานชี้ไปที่ตัวเอง “ข้า... พระชายาคนนี้เป็นหมอ!”

อาอวี่กับอาโฮ่วมองนางด้วยสีหน้าตกตะลึง พวกเขาไม่เชื่อว่าพระชายาจะมีทักษะทางการแพทย์!

แต่ลั่วหลานไม่อยากอธิบายมากเกินไป การแสดงให้เห็นด้วยการกระทำนั้นได้ผลมากกว่าการอธิบาย

นางโบกมือทันที “ช่วงนี้พวกเจ้าสองคนชอบพูดเยอะนัก รีบไปทำตามที่ข้าบอกเถอะ!”

ขณะที่อาอวี่และอาโฮ่วกำลังจะเดินออกไป เสี่ยวจื้อวิ่งอุ้มไก่เข้ามาด้วยสีหน้ากังวล ขณะวิ่งเขาก็ตะโกนไปด้วย

“พี่สาว พี่สาว ข้าเอาไก่มาให้ท่านแล้วขอรับ”

เมื่อเห็นภาพนี้ อาโฮ่วกับอาอวี่จึงหยุดเดินด้วยความสงสัย ลั่วหลานมองเสี่ยวจื้อแล้วดุด้วยรอยยิ้ม

“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เก็บไก่ตัวนี้ไว้วางไข่ เพื่อเอาไปแลกเงิน! เหตุใดเจ้ายังจับมาส่งอีก?”

เสี่ยวจื้อยกไก่ในมือขึ้นสูง แล้วรีบพูดอย่างกระตือรือร้น “พี่สาว แม่ของข้าบอกให้ข้ามาขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตนางไว้ นางยังบอกด้วยว่าเมื่อนางหายดีแล้ว นางจะมาคุกเข่าขอบคุณพี่สาวด้วยตนเองขอรับ”

เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของเด็กน้อย ลั่วหลานก็ทนบอกให้เขาเอาไก่กลับไปอีกครั้งไม่ได้

“อาอวี่ เอาไก่ไปที่ห้องครัว บอกแม่ครัวให้ทำซุปไก่ให้ท่านอ๋องเย็นนี้”

เมื่ออาอวี่รับไก่ไปแล้ว ลั่วหลานพูดกับเสี่ยวจื้อ

“ข้ากำลังจะไปเปลี่ยนยาให้แม่ของเจ้า เจ้าก็มาที่นี่พอดี เช่นนั้นไปด้วยกันเลย!”

นางเดินจากไปโดยมีเสี่ยวจื้อเดินนำหน้า ส่วนอาอวี่กับอาโฮ่วเริ่มซุบซิบกัน

“พระชายามีทักษะทางการแพทย์จริงหรือ?”

อาโฮ่วเม้มปากแล้วส่ายหน้า “ไม่รู้สิ หากพระชายาบอกเช่นนั้นก็น่าจะจริง...”

..........................................................................................