ตอนที่แล้วตอนที่ 37 แค้นนี้ต้องชำระ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 39 ความอับอายของกุนซือหู

ตอนที่ 38 วิธีหาเงิน


ตอนที่ 38 วิธีหาเงิน

เมื่อพูดถึงฉางกุ้ยเฟย ลั่วหลานไม่ค่อยมีความประทับใจมากนัก แม่ที่ทำให้ลูกชายตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดนั้นไม่คู่ควรแก่การเคารพ นางมาเยี่ยมพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะกลัวคนอื่นจะติฉินนินทานางว่าไม่คิดจะดูแลลูกชายตัวเอง

ลั่วหลานตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์

“ข้าจะไปพบท่านอ๋องก่อน แล้วค่อยไปพบนางทีหลัง”

หลังจากพูดจบ นางเปิดประตูเข้าห้องไปทันที

เหลิ่งอวี้หรี่ตามองอยู่พักหนึ่ง เขาฝันว่าลั่วหลานกำลังจะหายไป เขาพยายามจะเอื้อมมือออกไปรั้งนางไว้ แต่ก็ล้มเหลว

เมื่อตื่นขึ้นมาก็มีเหงื่อออกเต็มหน้าผาก พอดีกับตอนที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น

เขารีบถามทันควัน

“หลานเอ๋อร์หรือ?”

หลังฉากกั้นห้อง ลั่วหลานเดินเข้ามาหาเขา เมื่อนางเห็นเขาก็หรี่ตาลง พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองเพคะ ข้ากลับมาแล้ว”

เหลิ่งอวี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้วที่เจ้ากลับมา”

“มีอันใดหรือเปล่าเพคะ?”

นางเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากเขา แล้วขมวดคิ้วถาม

“เหตุใดท่านถึงเหงื่อออกเยอะถึงเพียงนี้?”

เขาเอื้อมมือออกไปจับมือนางไว้ น้ำเสียงแสดงออกถึงความกลัว “หลานเอ๋อร์ ข้าแค่ฝันว่าเจ้าไม่อาจแบกรับภาระที่ครอบครัวนี้นำมาให้เจ้าได้ไหว เจ้าจึงทิ้งข้าไป”

เล่ามาถึงจุดนี้ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความเศร้าโศก

ลั่วหลานนั่งลงบนขอบเตียง มองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน เม้มปากก่อนเผยรอยยิ้มจาง

“ข้าจะทิ้งไปได้อย่างไรเพคะ ข้าต้องรอดูวันที่ท่านลุกขึ้นได้ก่อน”

พูดจบ นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อ ค่อย ๆ เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าของเขา พลางพูดเสียงเบา

“ท่านชอบนอนคิดฟุ้งซ่านอยู่บนเตียง ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลนะเพคะ”

นางทนเล่าเรื่องคทาหยกหรูอี้ให้เขาฟังไม่ได้ ถ้าเขารู้ว่านางถูกรังแก เขาคงจะโกรธมาก และจะโทษตัวเองว่าไร้ความสามารถด้วย

“หลานเอ๋อร์ เจ้าได้เงินมาแล้วหรือยัง?”

“ได้แล้วเพคะ”

นางตอบทันที โดยไม่ต้องคิด เพราะนางจะปล่อยให้เขากังวลไม่ได้

“สองร้อยตำลึง ถ้าไม่รวมค่าอาหารในครัว ข้าจะนำไปซื้ออุปกรณ์สำหรับเปิดสถานพยาบาล”

เหลิ่งอวี้บีบมือนางแน่น สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดขณะพูดว่า

“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องใช้ชีวิตแบบขายของเอาตัวรอดกับข้าเช่นนี้”

เขาเริ่มโทษตัวเองอีกครั้ง ลั่วหลานรู้ว่าสิ่งสุดท้ายที่นางไม่อาจปล่อยให้ชายผู้นี้สูญเสียไปได้ คือความมั่นใจของเขา

“ขายของเอาตัวรอดผิดอันใด อย่างน้อยเราก็มีของให้ขายนะเพคะ! ข้าคิดไว้แล้ว ว่าเมื่อหาเงินจากการเปิดสถานพยาบาลได้ ก็จะไปไถ่ของในโรงรับจำนำคืนมาเพคะ”

ทันใดนั้น อาหงมาเคาะประตู แล้วรายงานว่า

“พระชายา ฉางกุ้ยเฟยรอท่านมานานแล้ว นางรู้ว่าท่านกลับมาแล้ว จึงสั่งให้มากราบทูลเพคะ”

เมื่อพูดถึงฉางกุ้ยเฟย เหลิ่งอวี้บีบมือนางแน่นขึ้นขณะพูดอย่างขมขื่น

“ถ้านางรังแกเจ้า ก็ไม่ต้องสนใจนางหรอกนะ ข้าจะจัดการให้เจ้าทีหลังเอง”

ลั่วหลานยิ้มให้เขา “ไม่ต้องกังวลเพคะ นางจะไม่รังแกข้าหรอก ตอนนี้นางยังคงไว้วางใจให้ข้าดูแลท่าน อีกทั้งหากนางรังแกข้าแล้วข่าวหลุดออกไป นางจะเป็นฝ่ายเสียหน้าเองเพคะ”

หลังจากพูดจบ นางห่มผ้าห่มให้เขา จากนั้นจุมพิตหน้าผากเขาแผ่วเบาก่อนกระซิบ

“รอข้าก่อน ข้าจะรีบกลับมาเพคะ”

นางออกจากห้องนอนด้านใน เดินผ่านฉากกั้นห้องไปที่โต๊ะด้านนอก แล้วหยิบกล่องเครื่องประดับที่นางวางทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้นมา นี่เป็นของขวัญที่ฉางกุ้ยเฟยมอบให้เมื่อครั้งที่แล้ว ด้วยความที่คิดว่านางเป็นเพียงสาวบ้านนอกโง่เขลา จึงบอกให้คนเลือกเครื่องประดับไร้ค่าสองสามชิ้นส่งมาให้นาง วันนี้ลั่วหลานจะสวมใส่สิ่งเหล่านี้ให้นางดู

ฉางกุ้ยเฟย ไหน ๆ ท่านก็มาที่นี่ในเวลานี้แล้ว ข้าจึงไม่อาจปล่อยให้ท่านกลับออกไปง่าย ๆ ได้

เมื่อนึกได้เช่นนี้ นางก็ยกยิ้มมุมปาก ความรู้สึกเคร่งเครียดในใจเริ่มบรรเทาลง

ฉางกุ้ยเฟยรออยู่ที่นี่มาพักใหญ่แล้ว นางเปลี่ยนจากรอคอยอย่างอดทนตอนที่เพิ่งมาถึง กลายเป็นใจร้อนแล้วในตอนนี้

นางรู้จากคนรับใช้ของนางว่าลั่วหลานกลับมาแล้ว แต่ยังไม่ยอมมาพบนาง ทั้งที่นางนั่งรอนานแล้ว ซึ่งทำให้นางโมโหมาก

หลังจากที่ลั่วหลานเข้ามา ก็โค้งคำนับทำความเคารพด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ถวายบังคมกุ้ยเฟยเพคะ”

ฉางกุ้ยเฟยมองนางอย่างเย็นชา แล้วถามว่า

“เหตุใดเจ้ามาหาข้าช้าถึงเพียงนี้ล่ะ? เป็นเพราะข้าไม่ได้ไปเชิญเจ้ามาด้วยตัวเองหรือ?”

“ไม่ใช่เพคะ”

นางตอบง่าย ๆ ว่า

“ข้าเพิ่งออกไปข้างนอก เมื่อกลับมาก็อารมณ์ไม่ดี จึงไม่กล้ามาพบท่าน เพราะเกรงว่าจะทำให้กุ้ยเฟยขุ่นเคืองเพราะข้าอารมณ์ไม่ดีเพคะ”

ความโกรธฉายแววในดวงตาของฉางกุ้ยเฟย นางมองลั่วหลานแล้วถามว่า

“เหตุใดเจ้าถึงอารมณ์ไม่ดีล่ะ? เจ้าไปทำอันใดข้างนอก?”

“ท่านอ๋องอยากกินขนมกุ้ยฮวา ข้าจึงออกไปซื้อให้ ไม่เพียงแต่ซื้อไม่ได้เท่านั้น แต่ยังถูกคนในร้านเยาะเย้ยอีกด้วย พวกนั้นบอกว่าคนที่จะซื้อขนมกุ้ยฮวาได้นั้นต้องเป็นคนชั้นสูงที่ร่ำรวย จึงไม่ยอมขายให้ข้า บอกว่าข้าดูเหมือนหญิงบ้านนอกต่ำต้อย”

พูดมาจนถึงจุดนี้ เมื่อเห็นว่าฉางกุ้ยเฟยไม่ได้ถามคำถามอีก นางจึงเล่าต่อ

“ข้าเถียงกลับไปว่าข้าเป็นพระชายาแห่งตำหนักอ๋องอวี้ เป็นพระชายาแห่งราชวงศ์ เครื่องประดับและเสื้อผ้าที่ข้าสวมใส่ ล้วนมาจากฉางกุ้ยเฟยผู้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากที่สุดในปัจจุบันประทานให้ ทุกสิ่งล้วนเป็นของมีค่า แต่ท่านลองเดาดูสิเพคะว่าเกิดอันใดขึ้น? คนตาบอดเหล่านั้นกลับเรียกข้าว่าหญิงบ้านนอกเพ้อฝัน หญิงบ้านนอกคนใดสามารถสวมใส่เครื่องประดับล้ำค่าเช่นนี้ได้?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางแสร้งทำเป็นโกรธมาก กำหมัดแน่นพลางพูดด้วยสีหน้าขมขื่น

“เจ้าของร้านคนนี้ช่างมีตาหามีแววไม่ เขายังบอกอีกว่าสิ่งที่ข้าสวมใส่ล้วนเป็นของปลอม ทั้งยังบอกว่าชุดของข้าดูไม่เหมือนชุดของพระชายาเลย จริงหรือเพคะ? แม้ว่าตำหนักอ๋องอวี้จะตกต่ำ แต่ฉางกุ้ยเฟยก็ยังคงเมตตาสงสารอ๋องอวี้ จะปล่อยให้พระชายาของท่านอ๋องที่เพิ่งอภิเษกสมรสกันไป แต่งตัวโทรมมากได้อย่างไร? จะให้สวมใส่เครื่องประดับราคาถูกได้อย่างไรเพคะ”

พูดจบ นางยกมือขึ้นแตะต่างหูที่นางสวมใส่มา แล้วพูดว่า “สำหรับข้า เครื่องประดับเหล่านี้ล้วนเป็นของหายาก แล้วจะเป็นของถูกได้อย่างไร? คนพวกนั้นช่างโง่เขลานัก ข้าไม่อยากเถียงกับพวกเขาอีก จึงไม่ได้ซื้ออันใดกลับมาเลย ซ้ำยังต้องโกรธมากด้วยเพคะ”

แม้ว่าฉางกุ้ยเฟยจะสั่งให้คนรับใช้ของนาง เตรียมเครื่องประดับเหล่านี้ที่อีกฝ่ายสวมอยู่ แต่นางเข้าใจว่าลั่วหลานจะสื่อว่าเครื่องประดับเหล่านี้คือสิ่งที่นางมอบให้คราวที่แล้ว

เดิมทีฉางกุ้ยเฟยคิดว่าลั่วหลานเป็นสาวบ้านนอก ที่ไม่รู้ว่าเครื่องประดับแบบใดดีหรือไม่ดี นางจึงสั่งให้คนรับใช้หาเครื่องประดับมามอบให้ลั่วหลาน คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนอื่นเยาะเย้ยในเรื่องนี้ อีกทั้งลั่วหลานยังบอกคนอื่นด้วยหรือ ว่านี่เป็นของที่นางมอบให้?

หากข่าวนี้แพร่กระจายไป ฉางกุ้ยเฟยอย่างนางจะไม่กลายเป็นแม่สามีผู้ชั่วร้าย ที่มอบเครื่องประดับราคาถูกเพื่อหลอกลวงลูกสะใภ้ของตัวเองหรอกหรือ?

หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูของใต้เท้าบางคนในราชสำนัก หรือภรรยาของใต้เท้าบางคน นางในฐานะกุ้ยเฟย จะต้องได้รับความอับอายขายหน้ามากเป็นแน่

ครั้งนี้เรียกได้ว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย นางไม่เคยคาดหวังว่าลั่วหลานจะบอกคนอื่น ว่าได้รับของเหล่านี้มาจากฉางกุ้ยเฟย

นึกได้เช่นนั้น นางก็ขมวดคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ในเมื่อบางคนไม่รู้จักของดี ก็ไม่ต้องใส่เครื่องประดับพวกนี้อีกต่อไปแล้ว ข้าจะสั่งให้คนเอาอันใหม่มาให้เจ้าทีหลัง”

ลั่วหลานได้ฟังดังนั้นจึงรู้ว่าสบโอกาสแล้ว นางรีบพูดทันที

“ข้าได้ยินมาว่ามีร้านเครื่องประดับอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง สตรีสูงศักดิ์ส่วนใหญ่ไปที่นั่นกันทั้งนั้น ถ้ากุ้ยเฟยสนใจ เหตุใดไม่ให้ส่วนลดแก่ข้า แล้วให้ข้าไปเลือกเครื่องประดับที่สะดุดตาด้วยตัวเองล่ะเพคะ”

ฉางกุ้ยเฟยได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะสั่งให้คนนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาให้เจ้าทีหลัง”

“กุ้ยเฟยเพคะ”

ลั่วหลานขัดจังหวะนางทันที หนึ่งร้อยตำลึงจะไปเพียงพอซื้ออันใดได้ แค่จ่ายค่าอาหารในตำหนักยังแทบไม่พอเลย

“ได้ยินมาว่าของในร้านเครื่องประดับทางตะวันออกของเมืองนั้น ราคาแพงมากเพคะ หนึ่งร้อยตำลึงนี้…”

แม้ว่าฉางกุ้ยเฟยจะลังเลใจ ไม่อยากยอมแพ้ แต่นางจำต้องยอมพยักหน้าเห็นด้วย เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ออกไปพูดเรื่องไร้สาระ ทำลายภาพลักษณ์ของนางในใจของผู้คน

“ได้ เช่นนั้นก็สองร้อยตำลึง พอแล้วนะ”

ลั่วหลานตอบอย่างมีความสุข

“ขอบคุณสำหรับความเมตตาเพคะกุ้ยเฟย”

ฉางกุ้ยเฟยพยักหน้าเบา ๆ แล้วถามอีกครั้ง

“ช่วงนี้อวี้เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ลั่วหลานอดคิดกับตัวเองไม่ได้ ว่านางคงสงสัยว่าเหตุใดเหลิ่งอวี้ยังไม่ตายเสียที

นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเม้มปากโค้งคำนับ

“กราบทูลกุ้ยเฟย สองวันมานี้ท่านอ๋องอาการดีเพคะ ใช่แล้ว วันนี้ถึงกับอยากเสวยขนมกุ้ยฮวาแล้วเพคะ”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่นางพูด ไม่มีร่องรอยแห่งความสุขบนใบหน้าของฉางกุ้ยเฟยเลย แต่กลับมีความเศร้าหมองปรากฏขึ้น

แต่เขาก็เป็นลูกชายของนาง แม้ว่านางจะผิดหวังในตัวเขามาก แต่เขาควรจะได้รับอนุญาตให้กินอันใดก็ได้ที่เขาอยากกิน

นึกได้ดังนั้น นางจึงพยักหน้าให้ลั่วหลาน แล้วพูดว่า

“คนรับใช้ในตำหนักล้วนเป็นคนรับใช้ใหม่ของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าเต็มใจรับใช้อวี้เอ๋อร์ จึงจะเติมเต็มความปรารถนาให้เจ้าพึงพอใจ ข้าไม่ค่อยรู้สถานการณ์ในตำหนักอ๋องอวี้มากเท่าใดนัก แต่เจ้าต้องไม่มีเจตนาเห็นแก่ตัว ข้าจะมาคอยตรวจสอบดูด้วยตัวเองทุกสองสามวัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วหลานก็แทบจะอยากจะหัวเราะออกมา นางจะคิดทำอันใดได้บ้าง? ตำหนักอ๋องอวี้แห่งนี้ยากจนจนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่ายังกลัวว่านางจะขโมยเงินหนีไป?

นางเอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วพูดว่า

“กุ้ยเฟยโปรดอย่ากังวลเพคะ แม้ว่าคนรับใช้และสาวใช้ในตำหนักอ๋องอวี้ จะถูกแทนที่ด้วยคนใหม่หมดแล้ว แต่ทุกคนไม่กล้ามีความคิดเห็นแก่ตัวกับท่านอ๋อง ลั่วหลานเองก็เป็นภรรยาของท่านอ๋องอยู่แล้ว ย่อมไม่มีความคิดไม่ดีแน่นอนเพคะ”

......................................................................................