ตอนที่แล้วตอนที่ 17 อดีตอันแสนเศร้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 19 ไท่จื่อหน้าหมามาแล้ว

ตอนที่ 18 ความดื้อรั้นครั้งสุดท้าย


ตอนที่ 18 ความดื้อรั้นครั้งสุดท้าย

เมื่อพูดเช่นนี้ เขาก็ยกยิ้มฝืดเฝื่อน ยิ้มขณะน้ำตาไหลอาบแก้ม

ลั่วหลานรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เขา แล้วกระซิบกับเขาว่า:

“ในเมื่อไม่อยากพูดถึงก็อย่าพูดถึงเลยเพคะ โทษข้าเถิด ข้าไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้เลย ท่านไม่ต้องห่วง ข้ามีความสามารถมากพอ ข้าเป็นหมอมาตั้งแต่เด็ก เป็นหมอหญิงอัจฉริยะ ข้าสามารถทำให้ท่านกลับมายืนได้อีกครั้ง ท่านเชื่อข้าหรือไม่?”

เขากัดริมฝีปาก แล้วพยักหน้าอย่างอ่อนแรง “ข้าเชื่อ ตอนนี้ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว นอกจากเจ้าแล้ว คงไม่มีใครเหลียวแลข้าอีก ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะพูดอันใด ข้าจะเชื่อทั้งหมด”

ทันใดนั้นลั่วหลานก็รู้สึกว่าความดื้อรั้นของชายคนนี้ ได้มลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว นางแทบอดถามต่อไม่ได้ แต่นางไม่ต้องการให้เขาพูดถึงเรื่องที่ทำร้ายจิตใจเขาอีกต่อไป

จนกระทั่งนางเห็นเขาหลับไป นางจึงเดินออกจากห้องเขาไปอย่างเงียบเชียบ

เมื่อได้ยินเสียงประตูปิด เหลิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้น เขานอนไม่หลับ แค่แสร้งทำเป็นหลับเท่านั้น

วันนี้เขาเล่าบางเรื่องที่เขาไม่เคยพูดถึงเลยตลอดสามปีที่ผ่านมาให้นางฟัง เรื่องนั้นค้างคาอยู่ในใจเขามาสามปีแล้ว เขาไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย เพราะในเมื่อแม่ของเขาเองยังไม่ยอมรับฟัง แล้วใครจะยอมรับฟัง

สามปีที่ผ่านมา พ่อของเขาไม่เคยเหลียวแลเขาเลย น่าจะยังคงไม่ให้อภัยเขา แม้ว่าแม่ของเขาจะมาที่นี่ เขาก็ไม่อยากเจอนางเลย เมื่อเวลาผ่านไปนางจึงหยุดมาเยี่ยม

ตอนนี้เขามีหญิงสาวที่ชื่อลั่วหลานคนนี้แล้ว นางเป็นดั่งดวงดาวสุกสกาวในค่ำคืนอันมืดมิด เขากลัวจริง ๆ ว่าถ้าหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางจะหายไปเหมือนดาวตก

ของตอบแทนจากฉางกุ้ยเฟย มาถึงตำหนักท่านอ๋องอวี้ในอีกสามวันต่อมา สีหน้าของเหลิ่งอวี้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ลั่วหลานกำลังทายาให้เขา อาไฉ่ก็เรียกจากนอกห้อง:

“พระชายา คนจากวังหลวงมาแล้ว พร้อมกับนำสิ่งของมากมายมาด้วยเพคะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางมองเหลิ่งอวี้อย่างมีความสุข “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาเพคะ”

เหลิ่งอวี้ตอบอย่างเย็นชา:

“ไม่ต้องรับของจากพวกนาง”

“เหตุใดจะไม่รับล่ะเพคะ?”

ลั่วหลานขมวดคิ้วมองเขา “นางเป็นแม่ของท่าน แต่นางไม่เต็มใจจะเข้าห้องมาเยี่ยมท่านด้วยซ้ำ หากจะขอข้าวของบ้างจะผิดอย่างไร? ไม่ได้รับมาเปล่า ๆ นี่นา”

นางพูดจบก็รีบเดินออกจากประตูไป

เหลิ่งอวี้ถอนหายใจยาว ดูเหมือนตัวเขาเองจะยังคงหยิ่งผยองเกินไป เขาเป็นอัมพาตนอนอยู่บนเตียง ไม่มีทางหาเงินได้ แล้วยังจะปฏิเสธของที่คนอื่นให้มาอีก หรือว่าอยากจะให้นางอยู่ในสภาพขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า เช่นเดียวกับคนไร้ประโยชน์อย่างเขา?

ลั่วหลานมาที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักอย่างมีความสุข ในเวลานี้ ขันทีหลิวผู้อยู่ข้างกายฉางกุ้ยเฟยกำลังรอนางอยู่ เมื่อเขาเห็นนางมาแล้ว เขาก็ก้าวเข้ามายื่นรายการของกำนัลให้

“พระชายา กระหม่อมนำของเหล่านี้มาตามคำสั่งจากฉางกุ้ยเฟย พระชายาโปรดดูเถิด”

ลั่วหลานรับรายการของกำนัลมาอ่าน

“เงินหนึ่งร้อยตำลึง เสื้อผ้าสำเร็จรูปสิบตัว กำไรหยกสองวง ปิ่นปักผมหนึ่งอัน ต่างหูอย่างละหนึ่ง...”

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะดูไม่มีค่ามากนัก แต่เงินหนึ่งร้อยตำลึงก็ไม่ได้ให้มาอย่างไร้ประโยชน์

นางหยิบแท่งเงินออกมาจากกองเงิน แล้วมอบให้ขันทีหลิว “ขอบคุณสำหรับการทำงานนะท่านขันที”

ขันทีหลิวย่อมยินดีรับเงินไป หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว เขาก็จากไปพร้อมกับคนรับใช้ของเขา

พ่อบ้านสวีก้าวเข้ามาถามทันที:

“พระชายา ให้ข้าน้อยช่วยนำของเหล่านี้ไปเก็บในโกดังให้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่จำเป็น”

นางยกมือขึ้น “อาโฮ่ว อาอวี่ ขนของเหล่านี้ไปที่ห้องของข้า”

ตอนนี้นางเชื่อใจใครไม่ได้เลย

“ว่าแต่พ่อบ้านสวี บัญชีเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าต้องรีบหน่อยแล้ว”

พ่อบ้านสวีกลืนน้ำลาย แล้วตอบว่า:

“พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ก็เกือบจะเสร็จแล้ว จะส่งมาให้พระชายานะพ่ะย่ะค่ะ”

ลั่วหลานยกยิ้มมุมปากขณะมองเขา นางมั่นใจว่าพ่อบ้านสวีจะตกแต่งบัญชีที่สมบูรณ์แบบให้แก่นาง โดยไม่มีพิรุธให้จับได้

แต่นางไม่สนใจ นางแค่อยากให้พวกเขารู้ว่าที่แห่งนี้ นางเป็นพระชายา ต่อไปพวกเขาไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับกิจการของตำหนักแห่งนี้อีก

หลังจากจัดของเสร็จแล้ว นางบอกให้อาหงช่วยเตรียมยาด้วย เมื่อนางกลับมาที่ห้องของเหลิ่งอวี้พร้อมกับยา นางก็บอกเขาด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

“ข้าจะบอกท่านว่าตั้งแต่นี้ไป เราจะมีเงินแล้ว วังหลวงส่งเงินมาให้เราตั้งหนึ่งร้อยตำลึง ข้าจะดูแลบัญชีตำหนักของท่านเองด้วย ถึงตอนนี้หากท่านอยากกินอันใด ข้าจะสั่งให้คนรับใช้เหล่านั้นทำให้ได้ทั้งหมด มา กินยานี้ก่อนเถิดเพคะ”

เหลิ่งอวี้มองหน้านาง อยากบอกนางเหลือเกินว่าอย่าไปรับอันใดจากพวกเขา

แต่ในที่สุดความเป็นจริงก็เอาชนะเศษเสี้ยวของความเย่อหยิ่ง ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของเขา

เช้าวันรุ่งขึ้น ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักอ๋องอวี้ พ่อบ้านสวีมาหาลั่วหลานพร้อมสมุดบัญชี เขามอบมันให้กับลั่วหลานด้วยท่าทางนอบน้อม

“พระชายา นี่เป็นบัญชีของตำหนักในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา บัญชีก่อนหน้านี้ถูกทำลายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ลั่วหลานก็ไม่สนใจเช่นกัน นางเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดอ่านอย่างสบาย ๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะอยากจะหัวเราะ

สมุดนั้นบันทึกไว้ว่า:

ท่านอ๋องซื้อยา ใช้เงินไปสิบห้าตำลึง

ท่านอ๋องซื้ออาหารเสริมรังนก ใช้เงินไปสามสิบห้าตำลึง

ท่านอ๋องซื้อเสื้อผ้าป้องกันความหนาวเย็น ใช้เงินหนึ่งไปหนึ่งร้อยตำลึง

ท่านอ๋องซื้อเครื่องนอน ใช้เงินไปห้าสิบตำลึง

หลังจากอ่านทั้งหมดนี้ ลั่วหลานก็ปิดสมุดบัญชีด้วยสีหน้าเหยียดหยาม มองพ่อบ้านสวีแล้วถามว่า:

“ยังมีเงินเหลืออยู่เยอะหรือเปล่า?”

พ่อบ้านสวีส่ายหน้าทันที “ไม่เยอะแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ลั่วหลานหรี่ตาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า:

“เพิ่งกลางเดือนเอง เงินที่ได้มาจะหมดแล้วหรือ? เท่าที่ข้ารู้ ท่านอ๋องมีเงินเดือนเดือนละหนึ่งพันตำลึง”

“ที่พระชายาพูดถึงคือเมื่อสามปีที่แล้ว ตั้งแต่ท่านอ๋องล้มป่วย เงินเดือนที่เข้ามาในตำหนักก็ลดลงเหลือแค่ร้อยละสามสิบ ตอนนี้เหลือเพียงเดือนละสามร้อยตำลึงเท่านั้น หลังจากหักค่าใช้จ่ายของพวกคนรับใช้ ก็เหลือไม่มากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เดือนละสามร้อยตำลึงหรือ?

ลั่วหลานเกือบจะด่าพ่อของเขาในใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตำหนักแห่งนี้มีคนรับใช้น้อยมาก เงินน้อยเพียงเท่านี้ จะสามารถจ้างคนรับใช้ได้สักกี่คน?

แต่ไม่น่าแปลกใจเลย เนื่องจากมีคนมากมายอยากให้เหลิ่งอวี้ตาย การให้เงินเขาเพียงน้อยนิดจึงสมเหตุสมผลแล้ว

นางพยักหน้า “เอาล่ะ เดือนนี้ยังพอมีเงินเก็บหรือไม่?”

“มีพ่ะย่ะค่ะ”

พ่อบ้านสวีจำใจตอบ:

“ไม่เพียงเท่านั้น เรายังเป็นหนี้ค่าจ้างคนรับใช้เหล่านั้นอยู่ด้วย พระชายา โปรดหาทางจ่ายภายในสิ้นเดือนนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น ลั่วหลานเกือบจะโกรธจัด นางเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องตามมาเช็ดก้นให้คนอื่น เมื่อเข้ารับตำแหน่งครั้งแรกหรือ?

นางเหลือบมองพ่อบ้านสวี แล้วพยักหน้า “ได้ เรียกคนรับใช้ทั้งหมดมาที่นี่ ข้าจะจ่ายเงินให้พวกเขาตอนนี้ตามที่ติดค้างไว้”

คนเหล่านั้นอยู่ในตำหนักโดยเปล่าประโยชน์ รีบจ่ายเงินให้แต่เนิ่น ๆ แล้วให้พวกเขาออกไปเลยจะดีกว่า

เมื่อพ่อบ้านสวีได้ฟังดังนั้น เขาก็รีบไปเรียกคนรับใช้มาทันที นี่ถือเป็นข่าวดี

หลังจากนั้นไม่นาน คนรับใช้ทุกคนก็มายืนอยู่ที่ลานหน้าห้องโถงใหญ่ของตำหนักด้วยสีหน้ายินดี พ่อบ้านสวีโค้งคำนับ แล้วพูดว่า:

“กราบทูลพระชายา ทุกคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ลั่วหลานยกยิ้มมุมปาก แล้วเรียกพวกเขาให้เข้ามา แต่ละคนแทบรอไม่ไหวที่จะวิ่งเข้าไป เมื่อได้ยินว่าตนจะได้เงินเดือน ก็สามารถวิ่งได้เร็วกว่ากระต่าย

นางยืนอยู่ต่อหน้ากลุ่มคน โดยมีสี่ผู้พิทักษ์ยืนอยู่ข้างหลังนาง นางยังคงถือแส้ใสไว้ในมือแล้วเดินไปมา กวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะพูดว่า:

“ไม่ว่าพวกเจ้าจะมาก่อนหรือหลัง พวกเจ้าก็ได้ทำงานหนักตลอดเวลาที่อยู่ในตำหนัก ดังนั้นแม้ว่าเดือนนี้พวกเจ้าจะเพิ่งทำงานไปได้เพียงครึ่งเดือน แต่ข้าก็ยังจะให้เงินเดือนพวกเจ้าหนึ่งเดือนเต็ม”

............................................................................................