ตอนที่แล้วตอนที่ 16 อดีตที่ไม่อยากเอ่ยถึง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 18 ความดื้อรั้นครั้งสุดท้าย

ตอนที่ 17 อดีตอันแสนเศร้า


ตอนที่ 17 อดีตอันแสนเศร้า

“เหตุใดเจ้าถึงกินแต่ข้าวเย็นชืดตั้งแต่เด็กล่ะ?”

ลั่วหลานตักโจ๊กขึ้นมากินอีกคำหนึ่ง หลังจากกลืนลงไปแล้ว ก็พูดราวกับกำลังพูดถึงคนอื่น:

“อาสะใภ้ไม่ชอบไม่ยอมให้ข้ากินข้าวร่วมโต๊ะด้วย เมื่อพวกนางกินเหลือ อาหารก็เย็นหมดแล้ว แต่ข้าต้องกินประทังชีวิตไป โชคดีด้วยซ้ำที่ยังมีเหลือให้กิน ไม่เช่นนั้นข้าคงหิวตายแน่ นานวันเข้าท้องไส้ข้าจึงมีปัญหาเพคะ”

นางเล่าถึงประสบการณ์ของเจ้าของร่างเดิม เขาได้ฟังดังนั้นจึงรู้สึกเศร้า ปรากฏว่าเขาไม่ใช่คนที่น่าเวทนาเพียงคนเดียว อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าตอนที่ยังเป็นเด็ก เรียกได้ว่าเขาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าเลย จนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้ว...

หลังจากนั้นไม่นาน นางก็กินโจ๊กเสร็จ เก็บชามและตะเกียบเอาไปส่งที่หน้าประตู

หลังอาหาร นางยังอยู่กับเขาในห้องเช่นนี้ ในเมื่อไม่มีอันใดทำ นางจึงใช้เวลาไปกับการนวดมือของเขา เพื่อกระตุ้นเส้นลมปราณ

เขามองใบหน้างามของนาง แล้วถามว่า:

“นางไม่ได้ส่งเจ้ามาจริงหรือ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ลั่วหลานก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเม้มปากแน่นมองเขา

“นางที่ท่านพูดถึงหมายถึงใครกัน? ฉางกุ้ยเฟยหรือ?”

เหลิ่งอวี้หรี่ตาลง ถอนหายใจก่อนพยักหน้า

ลั่วหลานตอบตามความจริง:

“ไม่ใช่แน่นอน นางกับข้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นางให้เงินอาสะใภ้ของข้าหนึ่งพันตำลึง ข้าจึงมาที่นี่ อย่างไรเสีย บ้านอาสะใภ้ของข้าก็มีอาหารและเสื้อผ้าไม่เพียงพออยู่แล้ว หากชีวิตดีขึ้นได้ เหตุใดข้าจะไม่มาที่ตำหนักแห่งนี้ และเป็นพระชายาสักสองสามวันล่ะ หากท่านมีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามวัน ข้าก็สามารถอยู่สุขสบายไปได้อีกสองสามวัน”

ขณะมองใบหน้าสงบของนาง เหลิ่งอวี้นึกอยากจะมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง แต่เพราะเขาอยากให้นางมีชีวิตอยู่ สตรีผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายอยู่ในใจ แม้ว่าจะต้องจัดการกับสิ่งสกปรกใต้ร่างเขา นางก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

สตรีผู้นี้บอกว่าตนไม่ได้ถูกส่งมาจากแม่ของเขา เขาเชื่อว่าฉางกุ้ยเฟยก็คงไม่มีคนเช่นนี้อยู่ข้างกายหรอก หากเป็นคนข้างกายนาง คงมีแต่พวกที่หวังว่าเขาจะตายโดยเร็ว จะมาเพื่อทุ่มเทดูแลเขาได้อย่างไร?

นัยน์ตาชัดเจนและซื่อสัตย์ของนาง ดูไม่เหมือนว่านางกำลังโกหกเขาเลย

“เจ้า... มีวิธีที่จะทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อได้จริงหรือ?”

น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความอับอายและสงสัย เขาไม่คิดว่าตนเองจะรอดมาได้ถึงเพียงนี้จริง ๆ

เมื่อเห็นว่าเขาแสดงท่าทียอมจำนน ลั่วหลานก็รีบเงยหน้าขึ้นตอบอย่างมั่นใจ:

“แน่นอนเพคะ ตราบใดที่ท่านเชื่อฟังข้า เล่าเรื่องสิ่งแปลกปลอมที่ขาของท่าน แล้วทำตามที่ข้าบอก แม้ว่าข้าจะไม่อาจสัญญาได้ว่าท่านจะลุกขึ้นได้ในเวลาอันสั้น แต่ข้าสัญญาได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ และทำให้ท่านมีความหวังว่าจะกลับมายืนได้อีกครา”

นางต้องการให้เขามีความมั่นใจในการมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่คนป่วยมีจิตใจฮึดสู้ ย่อมสามารถเอาชนะโรคร้ายได้ นี่คือความจริงอันเป็นนิรันดร์ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน

เหลิ่งอวี้มองนาง ความประหลาดใจพลันฉายแววผ่านดวงตาสีเข้มของเขา ขณะขมวดคิ้ว

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็กัดริมฝีปาก แล้วกระซิบบอกนาง:

“เจ้าช่วยพยุงข้าลุกขึ้นนั่งสักพักได้หรือไม่?”

“แน่นอนเพคะ”

ลั่วหลานอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปข้างหน้า สอดมือข้างหนึ่งไว้ใต้ท้ายทอยของเขา แล้วอีกมือหนึ่งค่อย ๆ ประคองยกตัวเขาขึ้น จากนั้นเอาหมอนมาให้เขาพิงหลัง

หลังจากทำเช่นนี้เสร็จ นางก็หายใจหอบ เดิมทีนางต้องการไปบอกให้อาอวี่และอาโฮ่วเข้ามาช่วยพยุงเขาขึ้น แต่นางกลัวว่าจะทำให้เขาลำบากใจ จึงได้แต่ทนเหนื่อยด้วยตัวเอง

แผลบนใบหน้าของเขามีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยสรรพคุณของครีมหงซวงของนาง ใต้ตาที่เคยหมองคล้ำก็เริ่มจางลงมาก

ลั่วหลานห่มผ้าห่มและจัดปกเสื้อให้เขา แล้วกล่าวว่า:

“ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว อากาศเริ่มหนาวเย็นแล้ว ประเดี๋ยวคงต้องให้คนมาเตรียมเตาให้ และต้องเตรียมเสื้อผ้าหนา ๆ ไว้ด้วย ท่านห้ามโดนลมหนาวเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะต้องทุกข์ทรมานแน่เพคะ”

เหลิ่งอวี้มองหน้านาง กัดริมฝีปากก่อนกระซิบว่า:

“สิ่งแปลกปลอมที่ขาของข้า ถูกฝังเข้าไปตามคำสั่งของพ่อ”

คำพูดของเขาทำให้นางนิ่งอึ้งไป รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกทันที นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ

“ว่าอย่างไรนะเพคะ?”

จู่ ๆ สายตาเฉียบคมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหลิ่งอวี้ ขณะค่อย ๆ อธิบาย:

“ข้าฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ข้าติดตามพ่อของข้าไปสนามรบเมื่อข้าอายุสิบสาม พ่อประทานตำแหน่งขุนพลให้ตอนที่ข้าอายุสิบหก เมื่อข้าอายุสิบแปด พ่อของข้ามอบตำหนักอ๋องอวี้แห่งนี้ให้ข้า วันชื่นคืนสุขอยู่ได้ไม่นาน บางทีอาจเป็นเพราะว่าข้าเย่อหยิ่งเกินไป เมื่ออายุได้สิบเก้าปี ข้าถูกใส่ร้ายว่าวางแผนลอบปลงพระชนม์พ่อในงานวันเกิดพ่อ ข้าควรถูกประหารชีวิตทันที แต่พ่อของข้าคงรู้สึกเวทนา จึงสั่งให้คนทำให้ขาของข้าพิการ แล้วปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่ ให้ข้าเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต สงสารก็แต่คนรอบกายข้า พวกเขาถูกส่งตัวไปเป็นทาสที่เจดีย์หนิงกู่กันหมด ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่สำคัญว่าข้าจะเป็นเช่นไร แต่ข้ารู้สึกผิดกับพวกเขา!”

เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้ ใบหน้าของเขาโศกเศร้า ดวงตาค่อนข้างแดง สีหน้าอันเจ็บปวดของเขาทำให้คนมองรู้สึกเป็นทุกข์

ลั่วหลานน้ำตาคลอเบ้าแล้ว นางสามารถจินตนาการถึงความรู้สึก ของการมีวัตถุแปลกปลอมถูกฝังไว้ในขาได้ มันคงทำให้เขาเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก

นางกัดริมฝีปากมองเขา ไม่รู้จะปลอบใจเขาอย่างไร

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า: “ข้าไม่โทษพ่อหรอก ข้าโทษตัวเองที่ไม่มั่นคงพอในการทำสิ่งต่าง ๆ ข้าร่ำสุราหนักเกินไปในงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อ ไม่เช่นนั้นข้าจะปล่อยให้คนอื่นใส่ร้ายข้าได้อย่างไร?”

“แล้วพ่อของท่านรู้หรือไม่ว่ามีคนใส่ร้ายท่าน?”

เขาหลับตาแน่น แล้วส่ายหน้าด้วยความสิ้นหวัง “ข้าไม่มีโอกาสอธิบาย แม้แต่แม่ของข้าก็ไม่เชื่อข้า ข้าจะอธิบายอันใดได้อีก”

จู่ ๆ ใบหน้าซีดเผือดที่โศกเศร้าเมื่อสักครู่สงบลงราวกับผืนน้ำนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความวุ่นวายในใจ

“แล้วใครกันที่เป็นคนพยายามใส่ร้ายท่าน?”

ความอยากรู้อยากเห็นของนางเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่กล้าใส่ร้ายแม้กระทั่งโอรสของฮ่องเต้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา

จู่ ๆ ใบหน้าที่สงบนิ่งของเหลิ่งอวี้ก็กลับกลายเป็นดุร้าย เขากัดฟันพูดอย่างขมขื่น:

“หากข้าบอกว่าเป็นพี่ชายต่างแม่ของข้า ที่ต้องการทำร้ายข้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”

คำพูดของเขาเป็นดั่งสายฟ้า ที่ฟาดลงมาเหนือศีรษะลั่วหลานในวันที่แดดจ้า นางมองเขาด้วยความประหลาดใจ

“หรือว่าพี่ชายของท่านต้องการแย่งชิงบัลลังก์กับท่าน?”

นางเคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน นางจึงคิดถึงได้เพียงกรณีนี้เท่านั้น

เหลิ่งอวี้กระตุกมุมปาก “ใช่แล้ว เขาเป็นไท่จื่อ ข้าแค่ได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่อเท่านั้น ไม่ได้เป็นภัยคุกคามเขาเลย เหตุใดเขาถึงทำกับข้าเช่นนี้?”

เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้ หัวที่เป็นอวัยวะเพียงส่วนเดียวของเขาที่ขยับได้ ก็เริ่มส่ายไปมาอย่างแรง ลั่วหลานรีบปลอบใจเขา

“ท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลย ที่ท่านเป็นอยู่ตอนนี้มีแต่จะทำให้อาการของท่านแย่ลงเรื่อย ๆ ข้าคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการแก้แค้นคนเหล่านี้ คือการมีชีวิตอยู่ต่ออย่างภาคภูมิ แล้วส่งทุกคนที่อยากให้ท่านตายลงนรก”

คำพูดของนางทำให้เขาสงบลง นัยน์ตาสีเข้มใสวาวดุจผลึกแก้วจ้องมองนาง

“ข้ายังกลับไปยืนได้จริงหรือ?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถามคำถามนี้กับนาง นางคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เขา “ใช่เพคะ ข้าบอกว่าข้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้แน่นอน ข้า ลั่วหลานไม่เคยโกหกใคร”

พูดจบ นางก็ถามอีกครั้ง:

“สิ่งแปลกปลอมที่ขาของท่านคืออันใด? มันถูกฝังเข้าไปตามคำสั่งของฮ่องเต้หรือเพคะ?”

“ไม่ใช่ น่าจะเป็นฉางกุ้ยเฟย คนที่ข้าเรียกว่าเสด็จแม่มายี่สิบปี”

ความสิ้นหวังฉายแววในดวงตาเขาอีกครั้ง “พ่อสั่งให้คนหักขาข้าให้เดินไม่ได้ตลอดชีวิต แม่กลัวว่าข้าจะเป็นอันตราย แล้วส่งผลร้ายต่อสถานะของนาง นางจึงสั่งให้คนตอกตะปูเหล็กสองอัน เข้าไปฝังในน่องของข้าด้วยตัวเองแทน เจ้าว่านางโหดร้ายหรือไม่ล่ะ?”

....................................................................................................