ตอนที่ 16 อดีตที่ไม่อยากเอ่ยถึง
ตอนที่ 16 อดีตที่ไม่อยากเอ่ยถึง
ลั่วหลานอารมณ์ดีมาก เหมือนนางได้โจมตีฉางกุ้ยเฟยอย่างแรง คาดว่าฉางกุ้ยเฟยคงจะส่งของมาให้นางในอีกสองวันข้างหน้า นางกำลังจะได้รับเงินเดือนจากวังหลวง นี่เป็นเรื่องดีมากสำหรับนางจริง ๆ
เมื่อนางกลับมาที่สวนหลังตำหนัก แล้วเห็นสี่ผู้พิทักษ์ยังคงยืนเฝ้าประตูอยู่ นางจึงยกนิ้วให้พวกเขา
“พวกเจ้าทำได้ดี เมื่อได้เงินมาแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนจะตอบแทนบ้าง”
อาอวี่รีบก้าวเข้ามาพูดก่อน:
“พระชายารับสั่งให้พวกเราฟังแต่ท่านเท่านั้น แม้ว่าราชาแห่งสวรรค์จะเสด็จมา พวกเราก็จะไม่ฟังพ่ะย่ะค่ะ”
อาโฮ่วยังกล่าวอีกว่า “อาอวี่พูดถูก ตราบใดที่ไม่สร้างปัญหาให้กับพระชายา พวกเราจะทำทุกอย่างที่ท่านสั่งให้พวกเราทำพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าอาไฉ่และอาหงจะไม่ได้พูด แต่สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
ลั่วหลานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจทั้งสี่คน จากนั้นยกกำปั้นประสานมือราวกับจะให้คำสัญญา “ดูเหมือนว่าข้าได้เลือกคนถูกแล้ว จากนี้ไปในตำหนักแห่งนี้ เราจะมีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน”
เมื่อเห็นพระชายาดีต่อพวกตนเช่นนี้ ทั้งสี่คนก็ยกกำปั้นประสานมือ ในใจนึกสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระชายาไปตราบจนชีวิตจะหาไม่
ลั่วหลานลดมือลง แล้วพูดกับทุกคน:
“ยืนกันนานแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ตอนเย็นบอกครัวให้เตรียมโจ๊กลูกเดือยให้ท่านอ๋อง ใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปด้วย แล้วขอไข่ต้มอีกหนึ่งฟอง เตรียมโจ๊กกับผักดองให้ข้าด้วย จะได้กินข้าวกับท่านอ๋องทีหลัง”
ทั้งสี่คนพยักหน้ารับก่อนจากไป ลั่วหลานผลักประตูให้เปิดแล้วปิดลงอีกครั้ง
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถึงแม้จะมีแสงแดดในตอนกลางวัน แต่ก็ยังมีความหนาวเย็นอยู่บ้าง ปิดประตูจะปลอดภัยกว่า ไม่เช่นนั้นคนบนเตียงอาจจะเป็นหวัดได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย
เหลิ่งอวี้ที่อยู่บนเตียงตื่นแล้ว เมื่อครู่นี้เขาได้ยินทุกอย่างนอกห้องแล้ว ฉางกุ้ยเฟย มารดาผู้ให้กำเนิดของเขา เมื่อคิดถึงนาง รอยยิ้มเย้ยหยันพลันปรากฏที่มุมปากของเขา
ลั่วหลานเดินมาหาเขาเงียบ ๆ เมื่อเขาลืมตาแล้ว นางยิ้มทันที
“เมื่อครู่นี้แม่ของท่านเสด็จมา ข้าขอให้นางเข้ามาเยี่ยมท่าน แต่นางเกรงว่าจะรบกวน ก็เลยไม่เข้ามาเพคะ”
ทันใดนั้น เหลิ่งอวี้ก็เอียงคอแล้วพูดว่า “นางไม่ใช่แม่ของข้า”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ลั่วหลานก็ขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูดถึงฉางกุ้ยเฟย นางจึงหยุดพูดเรื่องนี้ แต่กลับยกผ้าห่มขึ้น และเตรียมจะช่วยเขาเปลี่ยนผ้าอ้อมใต้ตัวเขา
เหลิ่งอวี้เม้มปาก เขารู้สึกว่าตนไร้ศักดิ์ศรีต่อหน้าสตรีผู้นี้ แต่ผ่านไปเพียงสองวัน เหตุใดเขาถึงรู้สึกเหมือนอยากได้ยินนางบ่นตลอดเวลา?
แน่นอนว่าหลังจากที่ลั่วหลานเปลี่ยนผ้าอ้อมสะอาดให้เขาแล้ว นางก็เริ่มนวดมือให้เขาอีกครั้ง แล้วเริ่มนั่งบ่นเหมือนเดิม
“ข้าตรวจดูแล้ว มีบางอย่างฝังอยู่ที่ขาของท่าน ข้าไม่รู้ว่ามันคืออันใด แต่สิ่งนั้นทำให้ขาของท่านอักเสบ ข้าต้องบรรเทาอาการอักเสบสักสองสามวันก่อน แล้วค่อยเอาสิ่งนั้นออกมา ไม่เช่นนั้นขาของท่านจะอักเสบหนักจนเน่าเปื่อย หากยังปล่อยไว้นานเกินไป”
เหลิ่งอวี้เพียงแค่ฟังเงียบ ๆ ไม่เอ่ยคำใด
ลั่วหลานถามด้วยความแปลกใจ:
“ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่ามีอันใดอยู่ในขาของท่าน? มันคือปลายลูกธนูที่ปักคาจากตอนไปสนามรบหรือเปล่า? หรือว่าคมมีด?”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
ทันใดนั้นใบหน้าของเหลิ่งอวี้ก็บึ้งตึง เขากัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง ราวกับพยายามระงับตัวเองไม่ให้คิดถึงบางสิ่ง
ลั่วหลานเห็นเช่นนั้นจึงรีบสะกิดแขนเขา “เอาล่ะ อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องที่ท่านไม่อยากเอ่ยถึงเลยเพคะ แค่รอจนกว่าข้าจะเอาออกมาก็พอแล้ว”
“เอาออกมาแล้วจะมีประโยชน์อันใด?”
ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “ต่อให้เจ้าจะทำให้ข้ายืนขึ้นได้ แต่ข้าก็ไม่รอดอยู่ดี ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องตาย”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ลั่วหลานมองเขาด้วยความตกใจ “ท่านกำลังพูดเรื่องอันใด? ท่านคือท่านอ๋อง บิดาของท่านคือฮ่องเต้ ใครบังอาจไม่ยอมให้ท่านมีชีวิตอยู่?”
“เหอะ!”
เหลิ่งอวี้ยกยิ้มขมขื่นอีกครั้ง “คนที่ไม่ยอมให้ข้ามีชีวิตอยู่ก็คือฮ่องเต้ที่เจ้าพูดถึง และฉางกุ้ยเฟยที่เจ้าพูดถึงนั่นแหละ”
คำพูดของเขาทำให้ลั่วหลานมองเขาพร้อมกับอ้าปากกว้าง นางหยุดนวดมือให้เขา แล้วถามด้วยความประหลาดใจ:
“เหตุใดกัน? หรือว่าฮ่องเต้ไม่ใช่บิดาทางสายเลือดของท่าน? หรือว่าท่านเป็นลูกนอกสมรส?”
ทันทีที่นางพูดจบ นางก็ตระหนักได้ว่าตนพลั้งปากไป คำพูดของนางฟังดูไม่ค่อยสุภาพนัก จึงรีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว
“ข้าหมายความว่า ในเมื่อเขาเป็นบิดาทางสายเลือดของท่าน แล้วเหตุใดเขาถึงไม่อยากให้ท่านมีชีวิตอยู่ล่ะ? ระหว่างพวกท่านมีความโกรธแค้นกันหรือเปล่า! หรือว่ามีเรื่องบางอย่าง…”
เมื่อพูดเช่นนี้ นางสังเกตเห็นว่าเหลิ่งอวี้หลับตากัดฟันด้วยความเจ็บปวด ลั่วหลานเกรงว่าเขาจะยังไม่มั่นคงทางอารมณ์ นางจึงรีบปลอบใจเขา:
“เอาล่ะ เอาล่ะ ถ้าไม่อยากพูดถึงก็มาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่าเพคะ เย็นนี้ข้าสั่งให้คนต้มไข่ให้ ท่านคงไม่ได้กินมันมานานแล้ว...”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ฟังนางเลย จู่ ๆ เขาก็ขึ้นเสียงพูดอย่างเฉียบขาด:
“เขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของข้า แต่เขาคือคนที่อยากให้ข้าตายมากที่สุด มารดาผู้ให้กำเนิดของข้าก็อยากให้ข้าตายด้วย หากข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งวัน พวกเขาก็จะทุกข์ไปอีกหนึ่งวัน ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยข้า มันไม่จำเป็น”
คำพูดเย็นชาของเขาทำให้นางตกใจอีกครั้ง พ่อแม่จะหวังให้ลูกตายได้อย่างไร? แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่ใจร้ายได้ถึงเพียงนี้
นางมองเขาด้วยสายตาสงสาร “จะมีพ่อแม่เช่นนั้นในโลกนี้ได้อย่างไรเพคะ? แม้ว่าท่านจะทำผิดพลาดใหญ่หลวง แต่ในฐานะพ่อแม่ก็ไม่น่าจะถึงกับหวังให้ท่านตาย หรือว่าเรื่องนี้มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่?”
เหลิ่งอวี้เม้มปากที่ไร้สีเลือด แล้วส่ายหน้า “เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าจะไม่มีทางเข้าใจ”
ลั่วหลานถอนหายใจ บางทีนางอาจไม่เข้าใจจริง ๆ! ใครจะเข้าใจเรื่องส่วนตัวของราชวงศ์ได้!
บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม ประเด็นนี้หนักหน่วงเกินไปหน่อย นางจึงยังคงนวดแขนให้เขาต่อไป
ในตอนกลางคืน นางหยิบถาดที่อาหงมาส่งให้หน้าประตู แล้วหันกลับมาพูดอย่างสดใส:
“โจ๊กมาแล้วเพคะ! วันนี้ข้าจะเพิ่มไข่ให้ท่านด้วย”
ขณะที่พูด นางก็ยกถาดโจ๊กมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กข้างเตียง แล้วกล่าวว่า
“รอสักประเดี๋ยว ข้าจะปอกไข่ให้ท่าน!”
นางนำไข่ต้มที่เพิ่งปอกเปลือกเสร็จป้อนเขา เขาอดไม่ได้ที่จะกัดกินเต็มปากราวกับสัตว์ร้ายที่หิวโหย เขาไม่ได้กินไข่มานานแล้ว ตลอดปีที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอยู่ได้เพราะกินเพียงแค่โจ๊กเปล่าเท่านั้น เขาจึงลืมรสชาติของไข่ต้มไปแล้ว
ลั่วหลานนั่งลงข้างเตียง แล้วคอยเตือนเขาว่า
“ค่อย ๆ เสวยเถอะเพคะ ท้องไส้เพิ่งเริ่มฟื้นตัว อย่ากินเร็วเกินไป”
นัยน์ตาของเหลิ่งอวี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ขณะเคี้ยวไข่ในปาก เขาเคยเบื่อหน่อยการกินอาหารอันโอชะเหล่านั้น
ตอนนี้แม้แต่ไข่ต้ม ก็กลายเป็นอาหารหรูหราสำหรับเขา
ลั่วหลานป้อนไข่ต้มอีกครึ่งฟองเข้าไปในปากของเขา จากนั้นหยิบชามโจ๊กขึ้นมา นั่งลงที่ขอบเตียง ป้อนให้เขาพลางพูดว่า:
“ท่านควรเริ่มจากการกินทีละน้อยก่อน หลังจากระบบทางเดินอาหารของท่านดีขึ้นแล้ว ค่อยเพิ่มผักลงไปได้ พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปร้านขายยาเพื่อซื้อยาให้ท่าน ท่านต้องกินยาแล้วเพคะ”
เมื่อได้ยินว่านางกำลังจะออกไปอีกครั้ง เขาก็หยุดเคี้ยวไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงอู้อี้:
“ให้คนอื่นไปแทนไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้เพคะ”
นางป้อนโจ๊กให้เขาอีกหนึ่งช้อน แล้วพูดว่า “ข้าไม่ไว้ใจคนอื่น ข้าต้องไปซื้อด้วยตัวเอง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ไปนานเกินไปหรอกเพคะ ข้าจะให้อาโฮ่วกับอาอวี่มาคอยดูแลท่าน นั่นสินะ ท่านยังไม่เคยเจอพวกเขาเลย พรุ่งนี้เช้าข้าจะเรียกพวกเขามาให้ท่านได้เจอก่อนนะเพคะ”
“ข้าไม่อยากเจอใคร”
เขาไม่ยอมกินโจ๊กต่อ “ข้าอิ่มแล้ว ไปทำธุระของเจ้าเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า”
ดูเหมือนเขาจะมีความโกรธที่อธิบายไม่ได้ปะทุขึ้นในใจ
ลั่วหลานวางชามโจ๊กลง โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่าตอนนี้เขากำลังโกรธเล็กน้อย นางหยิบโจ๊กอีกชามขึ้นมาเริ่มกิน เหลิ่งอวี้ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้ากินโจ๊กนี้ด้วยหรือ?”
“ใช่เพคะ!”
นางตอบขณะกำลังตักโจ๊กกิน:
“ข้าได้กินแต่ข้าวเย็นชืดมาตั้งแต่เด็ก ท้องไส้จึงไม่ค่อยดีนัก กินโจ๊กจะดีกว่าเพคะ”
.........................................................................................