ตอนที่แล้วตอนที่ 14 สี่ผู้พิทักษ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 16 อดีตที่ไม่อยากเอ่ยถึง

ตอนที่ 15 เรียกร้องเกินเหตุ [ฟรี 15-เม.ย.-67]


ตอนที่ 15 เรียกร้องเกินเหตุ

คำพูดของนางทำให้ฉางกุ้ยเฟยนิ่งอึ้งไป ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเบา ๆ แล้วพูดว่า:

“ไปห้องโถงด้านหน้ากับข้า มีเรื่องจะถามเจ้าหน่อย”

ลั่วหลานหรี่ตาลงพลางพยักหน้า แล้วถามด้วยความสงสัย: “ฉางกุ้ยเฟยจะไม่เข้าไปเยี่ยมท่านอ๋องหรือเพคะ?”

นี่คือสิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุด ฉางกุ้ยเฟยคนนี้น่าจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเหลิ่งอวี้ แต่มาถึงหน้าประตูแล้วทั้งที เหตุใดนางจึงไม่เข้าไปเยี่ยมเขาล่ะ? ถ้าพูดตามหลักการแล้ว คนเป็นแม่เช่นนางน่าจะซบหน้าลงข้างเตียง แล้วร้องไห้คร่ำครวญก่อนกลับไปไม่ใช่หรือ?

ฉางกุ้ยเฟยหันกลับมา แล้วพูดอย่างเย็นชาทันที:

“เมื่อมีพระชายาคอยดูแลท่านอ๋อง ข้าก็สบายใจแล้ว”

ก่อนที่นางจะพูดจบ นางก็ก้าวไปข้างหน้าต่อแล้ว ลั่วหลานหันกลับมายกนิ้วโป้งให้สี่ผู้พิทักษ์ เพราะชื่นชมการกระทำเมื่อครู่นี้ของพวกเขา จากนั้นเดินตามฉางกุ้ยเฟยไปที่ห้องโถง

คนทั้งสี่ต่างกังวลว่าพวกตนจะทำให้พระชายาเดือดร้อนหรือไม่ แต่ตอนนี้รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยแล้ว เมื่อเห็นพระชายาชื่นชมพวกเขาเช่นนี้

ลั่วหลานเดินตามฉางกุ้ยเฟยไปที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนัก นางประสานมือไว้ข้างหน้า รอให้ฉางกุ้ยเฟยอนุญาตให้นางนั่งลง

แต่ฉางกุ้ยเฟยถามขึ้นมาว่า

“สองวันที่ผ่านมานี้ ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าอยู่ในตำหนักแห่งนี้ สบายใจดีหรือไม่?”

ลั่วหลานอดสบถในใจไม่ได้ คำถามนี้ไร้ประโยชน์ นางใช้เวลาเช็ดอุจจาระปัสสาวะทั้งวัน สบายใจก็แปลกแล้ว

แต่นางยังคงตอบไปให้ตรงใจอีกฝ่าย:

“กราบทูลฉางกุ้ยเฟย ข้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสองวันเท่านั้น ท่านอ๋องก็ยังดูเหมือนเดิม ข้าสามารถอยู่ได้อย่างสบายใจในตำหนักแห่งนี้ ข้าเป็นสาวบ้านนอก โชคดีมากที่ได้มารับใช้ท่านอ๋องที่ตำหนักแห่งนี้เพคะ”

ใบหน้าของฉางกุ้ยเฟยเข้มขึ้น จากนั้นนางก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี หากเจ้าช่วยดูแลท่านอ๋องอย่างดี ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีแน่นอน ข้าจะให้หมอหลวงมาตรวจทีหลัง จะได้สั่งโอสถให้ท่านอ๋อง”

“ไม่จำเป็นหรอกเพคะ”

นางปฏิเสธตามตรง “สภาพร่างกายของท่านอ๋อง บ่งบอกว่าการเสวยโอสถอาจไม่มีประโยชน์ อีกทั้งท่านยังปฏิเสธที่จะเสวยโอสถด้วยเพคะ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ลั่วหลานรู้สึกในใจว่าฉางกุ้ยเฟยไม่ได้สนใจเหลิ่งอวี้มากอย่างที่นางเห็น นางแค่แสร้งทำเป็นสนใจ

ความรักระหว่างแม่ลูกร่วมสายเลือด จะเฉยเมยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

ฉางกุ้ยเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า:

“เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งให้หมอหลวงเข้ามาตอนนี้ ว่าแต่เจ้ามีความปรารถนาอื่นอีกหรือไม่? อย่างเช่นเจ้าเป็นห่วงครอบครัวของเจ้าหรือไม่?”

สิ่งที่นางพูดนั้นค่อนข้างน่ากลัว ลั่วหลานอดตัวสั่นเบา ๆ ไม่ได้ ฉางกุ้ยเฟยรีบอธิบาย

“เจ้าอย่ากังวลมากเกินไป ก่อนมาอยู่ที่นี่ ข้าได้อธิบายให้เจ้าฟังไปแล้วว่าอาการของอวี้เอ๋อร์ไม่ค่อยดี ข้าเกรงว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องจากไป ข้าจึงถามว่าเจ้ามีความปรารถนาใดที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้เจ้าบอกข้าไว้ล่วงหน้า หากเป็นไปได้ ข้าจะสนองให้เจ้าพอใจ”

ลั่วหลานหัวเราะในใจ ดูเหมือนว่าฉางกุ้ยเฟยคาดว่าลูกชายของตนจะต้องตายแน่นอน ถึงกับเตรียมงานศพไว้แล้วด้วยซ้ำ แต่นางจะไม่ปล่อยให้ความปรารถนาของฉางกุ้ยเฟยเป็นจริง

แม้ว่านางจะคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่นางก็ยังคงแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่

“ในเมื่อฉางกุ้ยเฟยถามมาแล้ว ข้าก็จะบอกเพคะ ครอบครัวของข้าไม่มีอันใดให้ต้องเป็นห่วง เพียงแต่ว่าคนรับใช้ในตำหนักแห่งนี้ใช้ไม่ได้ ข้าจึงไปซื้อมาเพิ่มจากตลาดค้าทาสอีกสี่คน พวกเขาเชื่อฟังและมีเหตุผล แต่ค่าจ้างพวกเขานั้นค่อนข้างแพง ข้าจึงคิดว่าตอนนี้ข้าได้เป็นพระชายาแห่งตำหนักแห่งนี้แล้ว ย่อมไม่อาจละเลยหน้าที่นี้ได้ จึงขอให้กุ้ยเฟยโปรดตัดสินใจ ข้าต้องการรับหน้าที่ทำบัญชีของตำหนัก และรับเงินเดือนที่ราชสำนักออกให้ เพื่อจะได้นำไปแบ่งจ่ายค่าจ้างได้ตามสมควร อีกทั้งข้าเองก็ไม่ค่อยมีเสื้อผ้าดี ๆ สวมใส่มากนัก หากกุ้ยเฟยสะดวก สามารถเมตตาจัดให้ได้นะเพคะ”

จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะและหูตัวเอง แล้วพูดต่อว่า “แม้ว่าข้าจะเป็นพระชายา แต่ไม่มีแม้แต่เครื่องประดับดี ๆ สวมใส่เลยสักชิ้น หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คนอื่นคงหัวเราะเยาะเป็นแน่ แม้ว่าข้าจะถูกฝังตามไปด้วย แต่ก็ควรจะมีเครื่องประดับชั้นดีประดับกายให้สมเกียรติบ้างเพคะ”

ลั่วหลานคิดกับตัวเองว่าเมื่อใดที่มีโอกาสได้เปรียบ ต้องไม่มองข้ามโอกาสนั้นไป เนื่องจากนางเป็นแม่ที่ไม่สนใจลูกชายของตัวเอง แล้วปล่อยให้นางมาดูแลแทน จึงสมควรที่นางจะได้รับเงินตอบแทนบางส่วน

สายตาของฉางกุ้ยเฟยมืดหม่นลงเล็กน้อย นางไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะโลภมากถึงเพียงนี้ แต่ก็เข้าใจด้วยว่าถ้านางไม่โลภ เหตุใดนางถึงยอมมาเป็นเครื่องสังเวยหลุมศพในตำหนักนี้

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางก็หรี่ตาลงพูดอย่างเย็นชา:

“ได้ ข้าจะทำให้เจ้าพอใจด้วยเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจสถานะปัจจุบันของเจ้า อย่าคิดจะแย่งชิงข้าวของแล้วหลบหนีไปจากที่นี่ ไม่เช่นนั้น ต่อให้เจ้าจะหนีไปสุดขอบโลก ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”

ขณะที่นางพูดเช่นนี้ สายตานางเฉียบคม กำหมัดแน่นและกัดฟันมองนางอย่างดุร้าย!

กำลังขู่ให้นางกลัวหรือ?

ลั่วหลานเลียริมฝีปาก แล้วพยักหน้าอย่างไร้เดียงสา “ข้าจะหนีไปได้อย่างไรเล่าเพคะ? ตอนนี้ข้าเป็นพระชายาอย่างแท้จริงแล้ว การมีบุญได้เสวยสุขในตำหนักเป็นเรื่องดี เหตุใดข้าจึงต้องหลบหนีด้วยเล่าเพคะ?”

“เจ้าควรพูดแต่ความจริงจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่สามารถหลบหนีได้เท่านั้น แต่ครอบครัวอาสะใภ้ของเจ้า และคนทั้งหมู่บ้านที่เจ้าเติบโตขึ้นมา จะถือว่ามีส่วนเข้ามาพัวพันเพราะเจ้าด้วย”

นางช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน แต่ลั่วหลานไม่กลัว นางไม่เคยคิดจะหนี นางแค่อยากใช้โอกาสนี้หาเงินเพิ่ม จะได้ไม่ต้องไปโรงรับจำนำ เพื่อนำสมบัติของเหลิ่งอวี้ไปจำนำอีก

ลั่วหลานแสร้งทำเป็นโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “กุ้ยเฟยโปรดวางใจเถิดเพคะ ลั่วหลานจะรับใช้ท่านอ๋องอย่างดี ไปจนกว่าท่านอ๋องจะสิ้นพระชนม์เพคะ”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ฉางกุ้ยเฟยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเงยหน้าตะโกนออกไปข้างนอก:

“พ่อบ้านสวี...”

พ่อบ้านสวีที่รออยู่ข้างนอกได้ยิน ก็รีบวิ่งเข้ามาโค้งคำนับ แล้วถามว่า “กุ้ยเฟยมีพระประสงค์อันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉางกุ้ยเฟยกลอกตา ถอนหายใจแล้วพูดว่า:

“พรุ่งนี้เจ้านำบัญชีที่เจ้าถือไว้ พร้อมเงินเดือนเดือนนี้ที่เหลือของตำหนักมาให้พระชายา จากนี้ไปนางจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง”

พ่อบ้านสวีได้ฟังเช่นนั้นก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาคาดไม่ถึงว่าฉางกุ้ยเฟยจะเห็นด้วยกับคำขอของนาง เดิมทีเขาคิดว่าเขาจะยื้อเวลาได้อีกสักสองสามวัน เพื่อรอให้ท่านอ๋องสิ้นไป เรื่องที่เขาไม่มีบัญชี จะได้ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวอีก ไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นี้จะพูดเรื่องนี้กับฉางกุ้ยเฟย

ดูเหมือนว่าพระชายาจะจริงจัง เขาพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาจึงโค้งคำนับแล้วพูดว่า:

“กราบทูลกุ้ยเฟย เดิมทีข้าต้องการถวายให้พระชายาอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่บัญชีค่อนข้างยุ่งเหยิง ข้ากำลังจัดการให้ตั้งแต่สองวันที่ผ่านมาแล้ว เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าจะถวายให้พระชายานะพ่ะย่ะค่ะ”

ฉางกุ้ยเฟยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เช่นนั้นก็ดีมาก แล้วพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการรับใช้ท่านอ๋องอีก พวกเจ้าทุกคนมือเท้าหยาบกร้าน ข้าเชื่อว่าพระชายาสามารถดูแลได้เอง”

ลั่วหลานได้ฟังดังนั้นก็แอบยิ้มเย้ย ฉางกุ้ยเฟยไม่อยากให้นางได้เงินไปเปล่า ๆ แต่นางไม่สนใจ เพราะนางต้องรับผิดชอบงานนี้อยู่แล้ว แต่ฉางกุ้ยเฟยคงไม่รู้มาก่อนใช่หรือไม่ ว่าก่อนหน้านี้ลูกชายแท้ ๆ ของนางมีความเป็นอยู่เช่นไร? นางคิดว่าเมื่อก่อนคนรับใช้เหล่านี้ ดูแลเหลิ่งอวี้เป็นอย่างดีงั้นหรือ?

ต่อให้นางจะไม่บอก ก็ไม่มีใครไปดูแลท่านอ๋ององค์นั้นหรอก! สิ่งที่นางพูดนั้นยังคงไร้ประโยชน์เช่นเดิม

ฉางกุ้ยเฟยอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย แล้วออกจากตำหนัก กลับเข้าวังหลวงไป โดยที่ไม่ได้ชายตามองเหลิ่งอวี้เลยแม้แต่ปราดเดียว

........................................................................................