ตอนที่แล้วตอนที่ 9 อับอายขายหน้าแทบตาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 ต่อรองราคา

ตอนที่ 10 แค่ฝันไปหรือ?


ตอนที่ 10 แค่ฝันไปหรือ?

ลั่วหลานเผยรอยยิ้มจาง เช็ดมือด้วยผ้าขนหนูแล้วกระซิบว่า:

“ตอนนี้ข้าเป็นพระชายาของท่านแล้ว ความเป็นความตายของท่านเกี่ยวพันกับข้า แล้วข้าจะอยากฆ่าท่านได้อย่างไร ข้าหวังว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ หากท่านมีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งวัน ข้าก็จะมีชีวิตที่ดีได้อีกหนึ่งวันเช่นกัน”

พูดจบ นางก็ซักผ้าเช็ดตัวอีกครั้ง แล้วแขวนผ้าเช็ดตัวให้แห้งบนราว จากนั้นเดินกลับมาหาเขา จับมือของเขาขึ้นมาวางบนตักนาง แล้วเริ่มนวดมือให้เขาเบา ๆ

ชายหนุ่มเม้มปากมองนาง นัยน์ตาสีเข้มของเขาฉายแววสงสัย

ในฐานะหมอ ลั่วหลานค่อนข้างเข้าใจจิตวิทยาของคนอื่นดี นางเข้าใจว่าหากนางอยากให้เขาดีขึ้น นางต้องกระตุ้นให้เขามีความปรารถนาที่จะมี

แขนของเหลิ่งอวี้ไวต่อความรู้สึก เขาจึงรู้สึกว่านางมือเบามาก นวดเบาแต่กลับทำให้รู้สึกสบายมาก

นางมองใบหน้าของเขาที่ยังสมบูรณ์เพียงครึ่งเดียว แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา :

“ท่านมีศัตรูหรือไม่?”

ประโยคนี้ทำให้ชายหนุ่มตกตะลึง เขามีศัตรูหรือไม่งั้นหรือ? แน่นอนว่ามี และมีมากกว่าหนึ่งด้วย หากเขาไม่มีศัตรู เขาจะถูกเล่นงานจนเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างไร?

แต่เขาไม่อยากพูดมากกว่านี้ เขาไม่แน่ใจเรื่องจุดประสงค์ของสตรีผู้นี้ จึงไม่อาจบอกนางได้

เมื่อเห็นว่าเขาเงียบ ลั่วหลานจึงพูดอีกครั้ง:

“ท่านไม่จำเป็นต้องตอบหรอก ข้ารู้ว่าท่านต้องมีศัตรู และมีความเคียดแค้นเข้ากระดูกดำ เช่นนั้นท่านอยากแก้แค้นหรือไม่?”

ทันทีที่นางพูดเช่นนี้ เหลิ่งอวี้ก็พ่นคำพูดออกมาจากปากด้วยความขมขื่น “อยากสิ”

ลั่วหลานแอบพอใจในใจ หากเขาปรารถนาที่จะแก้แค้น ก็จะจัดการได้ง่ายขึ้นแล้ว

นางถามอีกครั้ง:

“เช่นนั้นท่านอยากกลับมายืน เดิน วิ่งได้เหมือนเดิมหรือไม่? อยากจะแก้แค้นศัตรูของท่านให้ได้ใช่หรือไม่?”

เหลิ่งอวี้มองนางด้วยความประหลาดใจ แล้วจู่ ๆ ก็พูดเย้ยหยัน

“ฮึ่ม! สภาพอย่างที่ข้าเป็นอยู่ตอนนี้ ไม่นานก็ต้องตาย”

มือของลั่วหลานที่กำลังนวดมือให้เขาหยุดทันที จากนั้นจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้มอ่อน น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนอย่างยิ่ง

“ข้าไม่ได้พยายามพูดเอาใจท่าน แต่ท่านเชื่อในปาฏิหาริย์หรือไม่? ยิ่งท่านเชื่อน้อยมากเพียงใด ท่านก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะเอาชนะได้มากขึ้นเท่านั้น เหตุใดท่านไม่ลองเดิมพันกับข้าดูล่ะ?”

สายตาของเหลิ่งอวี้เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เดิมพันอะไร?”

“ข้าพนันได้เลยว่าท่านจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ หากข้าชนะ ท่านต้องสัญญาบางอย่างกับข้า”

“แล้วหากเจ้าแพ้ล่ะ?” เสียงของเขาแผ่วเบา เพราะเขาคาดหวังว่านางจะแพ้แน่นอน

ลั่วหลานมองตรงไปที่เขา แล้วกะพริบตากลมโตสดใสสองสามครั้ง

“หากข้าแพ้ เมื่อท่านตาย ข้าจะต้องถูกฝังไว้กับท่าน แล้วติดตามท่านไปยังโลกหน้า เดิมพันนี้สูงพอแล้ว”

หลังจากที่นางพูดจบ เหลิ่งอวี้ก็มองไปยังตู้ที่อยู่ไม่ไกล

“มีของมีค่าอยู่ตรงนั้น เจ้ารีบเอาไปเถอะ อย่ากลับมาอีก ข้าไม่ต้องการให้เจ้าถูกฝังไว้กับข้า”

เมื่อได้ฟังดังนั้น ลั่วหลานประหลาดใจเล็กน้อย นางมองตามสายตาของเขาไป แน่นอนว่านางเห็นหีบใบเล็กอยู่ที่ด้านล่างของตู้ เมื่อนางเปิดหีบใบนั้นออก ก็พบว่ามีจี้หยกหลายอันและไข่มุกเรืองแสงสองสามชิ้นอยู่ข้างใน สมบัติเหล่านี้ดูมีค่ามาก

นางหยิบจี้หยกออกมาอันหนึ่ง จากนั้นดันหีบใบเล็กเข้าไปเหมือนเดิม แล้วถือไปชูตรงหน้าเหลิ่งอวี้อย่างมีความสุข

“ให้สิ่งนี้กับข้าหรือ?”

เหลิ่งอวี้ถอนหายใจ แล้วพยักหน้า “เจ้าเอาไปทั้งหมดนั่นแหละ พวกมันทั้งหมดเป็นขยะสำหรับข้า”

รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของลั่วหลาน นางเก็บจี้หยกไว้ในแขนเสื้อ แล้วนวดมือให้เขาต่อไป

สำหรับอาหารเย็นวันนี้ นางสั่งให้ครัวเตรียมโจ๊กสำหรับเหลิ่งอวี้ แล้วเติมผักดองให้เขาด้วย นางป้อนข้าวเขาเอง แต่เหลิ่งอวี้ส่ายหน้าไม่ยอมกิน

ลั่วหลานขมวดคิ้วมองเขา

“กินสิเพคะ หากไม่กินก็หิวนะบอกเลย! เดินผ่านหมู่บ้านนี้ไป ไม่มีโรงเตี๊ยมอีกแล้วนะ”

คำพูดของนางทำให้เขานิ่งอึ้งไป เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังใจเต้นแรง จากนั้นเขาก็อ้าปากกว้าง ไม่ว่านางจะป้อนอันใดให้เขา เขาก็กินหมด

ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าพรุ่งนี้เขาจะไม่ได้เจอหญิงสาวตัวเล็กคนนี้อีกแล้ว นางจะจากไปแน่นอน หลังจากได้จี้หยกอันล้ำค่านั้นไป ใครเล่าจะยินดีร่วมเดินทางไปกับคนใกล้ตายเช่นเขา?

แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเช่นกัน เขาไม่อยากทำร้ายผู้หญิงที่อ่อนโยนเช่นนี้ ไม่อยากให้นางถูกฝังไว้กับเขา

หลังมื้ออาหาร นางเปลี่ยนผ้าอ้อมที่สะอาดให้เขาอีกครั้ง ห่มผ้าให้เขา แล้วจึงเดินไปที่ห้องข้าง ๆ

นี่คือห้องที่นางสั่งให้คนมาทำความสะอาดให้เป็นพิเศษ มันอยู่ติดกับห้องของเหลิ่งอวี้ เพื่อให้ไปดูแลเขาได้ง่าย บางทีนางอาจจะเหนื่อยจากการดูแลเหลิ่งอวี้มาก นางจึงผล็อยหลับไปทันทีเมื่อหัวแตะหมอน!

เช้าวันรุ่งขึ้น นางมาป้อนโจ๊กเหลิ่งอวี้ตามปกติ จากนั้นทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่ใต้กายเขา เปลี่ยนเป็นผ้าปูที่สะอาด ฆ่าเชื้อที่แผลและเปลี่ยนยาให้ด้วย

หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว นางก็ล้างมือแล้วกระซิบบอกเขาว่า

“ข้าจะมีบางอย่างต้องออกไปทำ ท่านนอนพักผ่อนดี ๆ นะเพคะ!”

คำพูดของนางทำให้ใจของเหลิ่งอวี้หดหู่ เขารู้ว่านางจะไม่กลับมาอีกแล้ว นางถูกสวรรค์ลิขิตให้เป็นเพียงความฝันสำหรับเขา ถึงเวลาที่ต้องตื่นแล้ว

เขามองหีบเก็บของมีค่าอีกครั้ง “เจ้าจงเอามันออกไปให้หมด ปล่อยให้คนเหล่านั้นรู้ว่ามีไม่ได้”

“ไม่ต้องหรอกเพคะ จี้หยกชิ้นนั้นดูเหมือนจะมีคุณภาพดีมาก สามารถขายได้เงินมากมาย แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

หลังจากพูดเช่นนี้ นางจับเขาให้นอนลง แล้วยิ้มให้เขา

เหลิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมองนางอีกครั้ง เขารู้ว่าจะไม่ได้เจอนางอีกแล้ว เขาอยากจะจดจำใบหน้านี้ไว้ ซึ่งอย่างน้อยก็คงทำให้เขาฝันหวานได้สักคืนหนึ่ง

นางเดินจากไป เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู เขาพลันหลั่งน้ำตาด้วยความสิ้นหวัง เมื่อวานนางให้ความหวังเขา แต่ตอนนี้เหมือนกับตีหัวเขา ตอนนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีดมาสักเล่ม เพื่อจบชีวิตตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด เหตุใดเขาต้องถูกทำให้ทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วย?

แต่เขาทำไม่ได้ เขาไม่อาจเลือกที่จะตายได้ด้วยซ้ำ เป็นเช่นนี้ก็จำต้องอดทนต่อไป

ลั่วหลานจะออกจากตำหนัก และหรูอี้ต้องการติดตามไปด้วย แต่นางปฏิเสธ

หรูอี้ไปขวางนางที่ประตู แล้วพูดว่า “พระชายา ฉางกุ้ยเฟยรับสั่งไว้ว่าให้พวกบ่าวดูแลท่านให้ดีเพคะ”

ลั่วหลานยกยิ้มมุมปากเย้ยหยัน แล้วมองนางด้วยสายตาดูถูก “เจ้าไม่ได้อยากดูแลข้าหรอก แค่กลัวว่าข้าจะหนี”

หรูอี้รีบก้มหน้าลง “ไม่บังอาจเพคะ”

“เอาล่ะ หากเจ้าอยากตามมาก็ตามมาได้ ข้า สุ่ยลั่วหลาน เป็นคนทำทุกสิ่งแบบเสมอต้นเสมอปลาย”

นางไม่ได้พูดเช่นนั้นกับหรูอี้ แต่พูดกับตัวเอง

นางรีบเดินออกจากประตูวังหลวง โดยมีคนตามาดังที่คาดไว้

แต่นางไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายติดตามนาง หรือปล่อยให้อีกฝ่ายรู้ว่านางกำลังจะทำอะไร ไม่เช่นนั้นคงไปบอกฉางกุ้ยเฟยแน่นอน แล้วนางจะไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้

เมื่อนางมาถึงถนน นางเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรวมตัวกันอยู่  นางจึงรีบวิ่งเข้าไปแทรกฝูงชนเพื่อดูความตื่นเต้น โดยไม่รีรอเลย

มีคนมากมายยืนล้อมหน้าล้อมหลังกัน หรูอี้กังวลมาก นางไม่อาจแทรกตัวเข้าไปจากข้างนอกได้เลย

ในเวลานี้ ลั่วหลานได้วิ่งหนีไปทางอื่นแล้ว นางไม่หยุดวิ่งจนกระทั่งไปถึงโรงรับจำนำ

เสี่ยวเอ้อที่โรงรับจำนำเห็นนางเข้ามา จึงถามอย่างเกียจคร้าน:

“แม่นางอยากจะมาจำนำหรือมาไถ่อันใดหรือ?”

เมื่อเห็นสีหน้าดูถูกของเขา ลั่วหลานก็อยากจะก้าวเข้าตบหน้าเขาสักเพียะจริง ๆ แต่นางมาที่นี่เพื่อรับเงิน จึงไม่อยากจะขัดแย้งกับคนอื่น

นางจึงบอกกับเสี่ยวเอ้อว่า

“ข้ามีของดีอยู่อย่างหนึ่ง แต่ให้เจ้าดูไม่ได้ ไปเรียกเจ้าของร้านของพวกเจ้ามาสิ”

..............................................................................................