ตอนที่ 9 อับอายขายหน้าแทบตาย
ตอนที่ 9 อับอายขายหน้าแทบตาย
หลังจากได้ยินคำพูดของหรูอี้ ทุกคนก็มารวมตัวกันรอบหรูอี้ หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบกันที่ลานบ้าน
เมื่อลั่วหลานกลับมาที่ห้อง กลิ่นแปลก ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง นางรู้ว่าท่านอ๋องผู้ไร้ค่าคนนี้ปัสสาวะอีกแล้ว
นางวางแส้ใสในมือลง สีหน้าเย็นชาตอนสั่งสอนผู้ใต้บัญชาเมื่อครู่นี้แปรเปลี่ยนเป็นปกติ เมื่อเดินมาถึงเตียง นางเตรียมเปิดผ้าห่มขึ้นโดยไม่เอ่ยคำใด
“ออกไป…”
ทันใดนั้นเขาก็คำรามด้วยเสียงที่เบาลง “ไปให้พ้น เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
เขาหลับตาลง ความอับอายขายหน้าท่วมท้นในใจ
ลั่วหลานเม้มปากมองเขา แล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เลิกพูดคำว่าออกไปเถอะ มันไม่มีความหมายหรอก ท่านคิดว่าข้าจะฟังสิ่งที่ท่านพูดหรือเพคะ? ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าใช้วาจาโจมตีข้า ให้ใช้มือใช้เท้าแทนหากท่านทำได้”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มลืมตาขึ้น จ้องมองนางด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังล้อเลียนข้าหรือ?”
ลั่วหลานเปิดผ้าห่มของเขาออกโดยไม่สนใจอีก ดึงผ้าอ้อมเปียกชื้นออก เปลี่ยนผ้าอ้อมแผ่นใหม่ให้ แล้วพูดว่า:
“ถ้าข้าล้อเลียนท่าน ข้าก็คงไม่ใส่ใจท่าน ปล่อยให้ท่านต้องนอนเช่นนั้นต่อไป ท่านต้องมองคนให้ดีนะเพคะ”
ใบหน้าของเหลิ่งอวี้ซีดเผือดอยู่เสมอ ในอดีต เมื่อก่อนคนรับใช้ทำสีหน้ารังเกียจ เมื่อต้องมาเปลี่ยนกางเกงให้เขา แต่ผู้หญิงตรงหน้าเขาดูราวกับกำลังทำสิ่งปกติธรรมดา
เมื่อใต้ร่างกายของเขาแห้งสะอาดแล้ว นางก็มานั่งที่ขอบเตียงข้างเขา หยิบยาแก้อักเสบและขี้ผึ้ง ที่นางเพิ่งหยิบออกมาจากช่องว่างมิติมาเตรียมทาให้เขา แต่เขากลับหันหน้าหนี ไม่ยอมให้ทา
“เจ้าปล่อยให้ข้าตายเถอะ… ได้โปรด ให้ข้าตาย...”
ลั่วหลานจับหน้าเขาหันมาไปโดยไม่สนใจ มองเขาด้วยนัยน์ตาโตคู่งาม แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ต่อไปอย่าพูดว่าอยากตายอีก ข้าจะไม่ให้ท่านสมปรารถนาหรอกเพคะ เพราะข้าจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ต่อเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ หากข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะทำให้ท่านเจ็บแผลกว่าเดิมอีก หากไม่เชื่อก็ลองดู”
พูดจบนางก็ใช้สำลีพันก้านในมือ จิ้มแผลบนใบหน้าของเขาอย่างแรง ใบหน้าของเหลิ่งอวี้เหยเกด้วยความเจ็บปวด ลั่วหลานเลิกคิ้วขึ้นอย่างพึงพอใจ
“ต่อไปจะพูดเช่นนี้อีกหรือไม่?”
เขากัดฟันมองนาง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จะทำอันใดเขากันแน่?
“นางส่งเจ้ามาทำอันใด? อยากให้เจ้าทรมานข้าให้ตายทีละน้อยหรือ?”
ลั่วหลานถามเบา ๆ ขณะทายาบนใบหน้าของเขา:
“ท่านกำลังพูดถึงใคร? ฉางกุ้ยเฟยหรือ? นางไม่ใช่แม่ของท่านหรือ แน่นอนว่านางสั่งให้ข้าดูแลท่าน นางบอกว่าหากท่านตาย ข้าก็จะถูกฝังไปพร้อมกับท่าน”
นางเอ่ยคำว่าฝังอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วหลับตาลง ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางไม่อยากให้เขาตายอย่างสงบ
หลังจากที่ลั่วหลานทายาบนใบหน้าเขาเสร็จแล้ว ก็เก็บข้าวของแล้วถามว่า:
“ตอนนี้ท่านต้องบอกข้าว่าท่านป่วยได้อย่างไร เป็นโรคอันใด เพื่อที่ข้าจะได้วางแผนการรักษาโดยละเอียดให้ท่านได้”
แต่เขาตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้าจะรักษาข้าหรือ? แม้แต่หมอหลวงก็ยังรักษาขาของข้าไม่ได้ เจ้าหยุดพูดจาล้อเลียนข้าเสียทีเถอะ”
หลังจากทิ้งคำพูดนี้แล้ว เขาก็หันหน้าไปทางอื่นอย่างดื้อรั้น ไม่มองนางอีก
ลั่วหลานไม่โกรธ นางเข้าใจอารมณ์คนไข้ประเภทนี้ดี โดยเฉพาะคนอย่างเขาที่ครั้งหนึ่งเคยมีฐานะสูงส่ง ตอนนี้เขาเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง ความหดหู่ในใจคงหนักหนายิ่ง จนทำให้เขาถึงกับคิดจะปลิดชีพตัวเอง ดังนั้นนางจะปล่อยเขาไป ไม่ว่าเขาพูดอันใด นางจะทำเหมือนไม่ได้ยิน
ในเมื่อเขาไม่ต้องการเปิดเผยว่าเขาเป็นอัมพาตได้อย่างไร นางจะรักษาแผลที่ขาของเขาก่อน ไม่เช่นนั้นอาการจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
นึกได้เช่นนั้น นางก็ยืนขึ้นแล้วเปิดผ้าห่มออกจากขาของเขา
“เจ้ากำลังจะทำอันใด?”
ชายหนุ่มจ้องมองนางด้วยความกลัว แล้วตะโกนสุดเสียงว่า “อย่าแตะต้องข้า”
ลั่วหลานมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ว่าเขาจะพยายามตะโกนห้ามนางอย่างไร นางก็ยังยกผ้าห่มขึ้น แล้วหยิบผ้าห่มไปปิดจุดสงวนของเขา ก่อนจะพูดขณะทายาฆ่าเชื้อให้เขา:
“ข้าเห็นตั้งนานแล้ว จะกลัวถึงเพียงนั้นเพื่ออันใด ตอนนี้ท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะทำอันใดท่านได้อีก?”
ในเวลานี้ชายหนุ่มหลับตาด้วยความอับอาย ไม่กล้ามองหน้านาง
นางพึมพำปลอบใจเขา โดยไม่หยุดทำสิ่งที่กำลังทำอยู่:
“ท่านไม่ต้องอายหรอก ข้าเป็นผู้หญิงยังไม่อายเลย ท่านกลัวอันใด บอกตามตรงว่าถึงแม้ข้าจะเป็นสาวชาวบ้าน แต่ข้าก็พอมีทักษะทางการแพทย์อยู่บ้าง ข้าจะไม่ทนดูท่านนอนรอความตายอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ของท่านหรือของข้าเอง ข้าจะดูแลท่านอย่างดี ดังนั้นต่อจากนี้ไป อย่ามาตะโกนใส่ข้าอีกนะ เพราะมันไร้ความหมาย ข้าเป็นคนหน้าหนามาก ข้าไม่มีที่จะไป ข้าจึงจะไม่ออกไปเพราะถูกท่านตะโกนไล่หรอกเพคะ”
นางพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลมาก มือนางก็เบามากเช่นกัน เบาจนตอนที่นางทายาให้ เขาไม่รู้สึกอันใดเลย เขาเหม่อมองใบหน้าจริงจังของนาง รู้สึกเศร้าใจอย่างอธิบายไม่ถูกในใจ
จู่ ๆ นางก็ถามว่า:
“เจ็บหรือไม่เพคะ?”
แม้ว่าเขาจะต่อต้านนางในใจ แต่เขาก็ยังตอบ:
“ไม่เจ็บ”
ลั่วหลานขมวดคิ้ว จากนั้นนางก็บีบต้นขาของเขาอย่างแรง แต่ใบหน้าของชายหนุ่มไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ดูเหมือนว่าขาของเขาคงไม่มีความรู้สึกไปแล้ว แต่เขานอนอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลย
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าเขาน่าสงสารมาก ได้แต่นอนนิ่งราวกับหุ่นเชิดที่ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่เฝ้ารอความเมตตาจากผู้อื่น ชายคนนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร นางควรดูแลเขาให้ดี
นึกได้เช่นนั้นนางจึงเริ่มพูดอีกครั้ง
“ขาของท่านนอนราบอยู่บนเตียงนี้มานานแล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะสูญเสียความรู้สึกไป เมื่อแผลที่ขาหายแล้ว ข้าจะนวดให้ท่าน บางทีอาจจะกลับมารู้สึกก็ได้”
คำพูดของนางลอยเข้าหูชายหนุ่มราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ ในความทรงจำของเขา มันนานมากแล้วที่ไม่มีใครอ่อนโยนกับเขาถึงเพียงนี้
ทันใดนั้น หยาดน้ำตาสองหยดก็รินไหลออกมาจากหางตาของเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดีใจหรือโศกเศร้ากันแน่
ทุกอากัปกิริยาของเขาย่อมอยู่ในสายตาของลั่วหลาน แต่นางจะไม่ทัก ไม่เช่นนั้นเขาจะยิ่งอับอายมากกว่าเดิม
นางแกล้งทำเป็นหยิบผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดหน้าเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วพูดเสียงแผ่วเบา:
“แม้อาการป่วยของท่านจะร้ายแรงมาก แต่ท่านยังมีสติ ซึ่งหมายความว่าอวัยวะภายในของท่านไม่มีปัญหา โรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับอวัยวะภายใน สามารถรักษาให้หายขาดได้ง่าย ดังนั้นท่านต้องให้ความร่วมมือกับข้าอย่างเชื่อฟัง”
คำพูดของนางเหมือนแม่ที่กำลังเกลี้ยกล่อมลูก
เหลิ่งอวี้ที่ไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานาน จู่ ๆ ก็จ้องมองนาง ทุกการเคลื่อนไหวของสตรีผู้นี้ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน แล้วถ้านางมาทำเช่นนี้เพราะมีเป้าหมายบางอย่างล่ะ? แต่อย่างน้อยนางก็ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะทำร้ายเขาเลย
“ขอโทษ!”
ทันใดนั้นเขาก็พูดคำนี้ออกจากปาก ลั่วหลานที่กำลังเช็ดหน้ารู้สึกประหลาดใจ
นางมองเขา ก่อนเผยรอยยิ้มอบอุ่นราวกับแสงตะวันยามเช้า
ผู้ชายคนนี้ยังพอรับมือได้ง่ายอยู่
นางมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดถึงต้องขอโทษข้าด้วย?”
ชายหนุ่มปากแข็งมองนางด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก
“ไม่ว่าเจ้าจะมีจุดประสงค์อันใดในการทำเช่นนี้กับข้า ข้าก็อยากจะขอบคุณที่เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดให้ข้า ทายาให้ข้า ไม่มีใครใส่ใจดูแลข้าเช่นนี้มานานแล้ว”
เมื่อพูดจบ เขาก็หัวเราะเยาะตัวเอง “แม้ว่าเจ้าจะต้องการฆ่าข้าก็ตาม”
“เหตุใดข้าต้องฆ่าท่านด้วย?”
.....................................................................................