ตอนที่ 3 เข้าตำหนักอ๋องอวี้ครั้งแรก
ตอนที่ 3 เข้าตำหนักอ๋องอวี้ครั้งแรก
กลับมาหรือ? นางกลับมาได้หรือ? นางไม่อยากกลับมาหรอก
นางยิ้มเย้ยหยัน นอกจากผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว นางไม่ได้เอาอันใดไปจากบ้านนี้เลย
เมื่อเช้านี้นางไม่เห็นอา บางทีเขาอาจไม่อยากเห็นลั่วหลานถูกส่งตัวไป จึงไปแอบร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่ง
ขณะเดินออกจากบ้าน ลั่วหลานมองย้อนกลับไปยังบ้านที่นางอาศัยอยู่มาสิบเจ็ดปี รอยยิ้มผ่อนคลายปรากฏบนใบหน้า วันนี้นางกำลังจะหนีไปจากที่นี่ ต่อให้จะมีความยากลำบากและอันตรายมากมายรออยู่เบื้องหน้า นางก็เต็มใจ
อาสะใภ้ไปยืมลามาจากที่ไหนสักแห่ง ด้านหลังลามีเกวียนไม้ผูกไว้ ซึ่งสามารถรองรับได้เพียงสองคน อาสะใภ้เข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม
“หลานเอ๋อร์ วันนี้เจ้าจะได้แต่งงาน แต่ครอบครัวของเราไม่มีของดีอันใดจะให้เลย ข้าก็เลยไปยืมเกวียนลาของป้าหวังมา เพื่อไปส่งเจ้าที่นั่นเอง”
ภายในใจของลั่วหลานเต็มไปด้วยความดูถูก ไม่ได้อยากจะไปส่งนางหรอก แค่อยากไปรับเงินค่าตอบแทนเท่านั้นแหละ แต่อีกไม่นานเรื่องก็จะจบลง นางไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
นางมองย้อนกลับไป กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่นี่อีกครั้ง แล้วกระซิบแผ่วเบา:
“ท่านอา ลาก่อนเจ้าค่ะ”
นางทิ้งคำพูดนี้ไว้ข้างหลัง แล้วก้าวขึ้นไปบนเกวียนไม้ที่ทรุดโทรม อาสะใภ้ยกแส้ฟาดลา เกวียนก็แล่นไปข้างหน้า
อาที่ซ่อนตัวอยู่หลังบ้านน้ำตาไหลพราก เขาเอาแต่ตีอกชกหัวตัวเอง เกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ ไม่อาจหาครอบครัวดี ๆ ให้หลานเอ๋อร์แต่งงานได้ แต่เขาจะทำอย่างไรได้ ลั่วหลานอาศัยอยู่ที่บ้านมาสิบเจ็ดปี ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงความยากลำบากที่นางต้องเผชิญ และการถูกกดขี่สารพัดที่ทำให้นางต้องทนทุกข์ แต่นางกลับไม่ยอมบอกเขาเลย เขาไม่มีความกล้าพอที่จะไล่ภรรยาและลูก ๆ ออกไป เพราะลั่วหลานจริง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงทำได้เพียงเมินเฉย เขารู้สึกผิดกับนางมาก แล้วตอนนี้เขายังส่งนางเข้ากองไฟอีก เขาไม่กล้าออกไปส่งนาง ทำได้แค่แอบเฝ้ามองนางจากไป
หมู่บ้านที่ครอบครัวของลั่วหลานอาศัยอยู่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง แม้ว่าเกวียนเล่มเล็กจะค่อย ๆ แล่นไป แต่ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ถึง หลังจากเข้าสู่เมืองหลวง อาสะใภ้ของนางขับเกวียนตรงไปยังประตูวังหลวง
สถานที่แห่งนั้นหรูหรามาก เหนือทับหลังมีตัวอักษรสีทองสะดุดตาเป็นพิเศษ สลักไว้ว่า: ตำหนักอ๋องอวี้
อาสะใภ้หันมามองลั่วหลาน นึกอยากจัดผมที่ปลิวไปตามลมของนางให้เรียบร้อย แต่นางเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา แล้วปฏิเสธ
ทันใดนั้น องครักษ์สองคนเข้ามาถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“มาทำอันใด?”
อาสะใภ้รีบทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านทั้งสอง พวกข้ามาที่นี่ตามประกาศหลวง”
พูดจบ นางก็ยกประกาศหลวงขึ้นตรงหน้าองครักษ์ องครักษ์เหลือบมองนาง จากนั้นมองลั่วหลาน แล้วพูดอย่างเย็นชา:
“โปรดรอก่อนเถิด ข้าจะเข้าไปรายงาน”
อาสะใภ้รีบพยักหน้า แล้วถูฝ่ามือไปมาอย่างแรง ดูไม่มีความอดทนเลย
ลั่วหลานเพียงแค่มองนางด้วยสีหน้าเย็นชา ริมฝีปากยกยิ้มหยันชัดเจน
แต่อาสะใภ้ก็ยังชวนคุยอย่างไม่ใส่ใจ “หลานเอ๋อร์ อีกไม่นานจะเข้าฤดูหนาวแล้ว ดูตำหนักแห่งนี้สิ ตำหนักนี้งดงามเพียงใด! คราวนี้เจ้าไม่ต้องทนหนาวแล้ว อยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องที่นี่ให้ดี ถ้าท่านอ๋องยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งวัน เจ้าก็จะใช้ชีวิตเสวยสุขได้อีกหนึ่งวัน”
ลั่วหลานไม่สนใจจะคุยกับนาง เพียงแค่มองประตูด้วยความงุนงง ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่นางต้องอาศัยอยู่หรือ?
สักพักองครักษ์ก็ออกมา
“เฮ้ พ่อบ้านบอกว่าพวกเจ้าควรรออยู่ที่สวนหลังตำหนักสักพัก ประเดี๋ยวเขาจะเข้าไปทูลฉางกุ้ยเฟยให้ เพราะท่านต้องเป็นผู้คัดเลือกเอง”
อาสะใภ้ขมวดคิ้วบ่นพึมพำ:
“ใกล้จะตายอยู่แล้ว จะต้องคัดเลือกอันใดอีก? วุ่นวายเสียจริง”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด?”
องครักษ์ยกดาบในมือขึ้น แล้วถามว่า “ข้าบอกไว้ก่อนว่าอย่าได้พูดจาเหลวไหล เมื่อเข้าไปในตำหนัก อย่าเพ่นพ่าน แค่หยุดรอเท่านั้น ไม่เช่นนั้นถ้าหัวหลุดจากบ่า ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เตือน”
อาสะใภ้ได้ฟังดังนั้นก็หน้าซีดด้วยความตกใจ ก่อนจะพยักหน้ารับ
จากนั้นลั่วหลานกับอาสะใภ้ถูกส่งไปยังสวนหลังตำหนักอันเงียบสงบ มีคนสองคนคอยเฝ้าประตูอยู่ ราวกับกลัวว่าพวกนางจะหนีไป
นี่คือสวนหลังตำหนัก แต่กลับดูรกร้างว่างเปล่า เหมือนถูกทิ้งมาเป็นเวลานาน
อาสะใภ้เดินไปมาในสวนอย่างกระวนกระวายใจ ส่วนลั่วหลานเข้าไปนั่งในห้องอย่างสงบ ไม่เอ่ยคำใดแม้สักคำ นางไม่อยากคุยกับอาสะใภ้ ไม่อยากพูดอันใดเลย
หากจะบอกว่าไม่ได้เกลียดนางก็คงเป็นเรื่องโกหก แต่สุดท้ายนางก็เลี้ยงดูลั่วหลานมาสิบเจ็ดปีแล้ว ฉะนั้นจึงสามารถยุติความสัมพันธ์นี้ได้ด้วยเงินพันตำลึง
พวกนางมารออยู่ที่นี่จนถึงช่วงบ่าย ไม่มีใครมาดูแลเรื่องอาหารกลางวัน ราวกับว่าพวกนางถูกลืมไปแล้ว
อาสะใภ้ไปถามหลายครั้ง แต่คำตอบที่ได้คือต้องรอก่อน ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรอต่อไป!
จนกระทั่งมืดค่ำ ประตูตำหนักก็ค่อย ๆ เปิดออก อาสะใภ้รีบเรียกนางทันที
สตรีผู้สง่างามที่เดินนำเข้ามาน่าจะอายุราวสี่สิบปี แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา สวมผ้าโพกศีรษะอันวิจิตรงดงาม แต่ใบหน้าของนางเย็นชามาก
เมื่อพ่อบ้านเห็นอาสะใภ้ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ประตู ก็ตะโกนเสียงเย็น:
“นี่คือฉางกุ้ยเฟย เหตุใดยังไม่คุกเข่าลงอีก?”
อาสะใภ้ได้ยินเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลง แล้วโบกมือให้ลั่วหลานที่กำลังยืนตะลึงอยู่ข้าง ๆ
“หลานเอ๋อร์ มาคุกเข่าลงเร็วเข้า”
ฉางกุ้ยเฟยมองลั่วหลาน จากนั้นโบกมือทันที “พวกเจ้าออกไป ข้าจะคุยกับสตรีผู้นี้สักหน่อย”
แม้ว่าอาสะใภ้จะลังเล แต่นางก็ต้องตามองครักษ์ออกไป
ลั่วหลานเดินไปหาฉางกุ้ยเฟย แล้วถอนสายบัวตามตัวอย่างที่นางเคยเห็นในละครโทรทัศน์
“ถวายบังคมกุ้ยเฟยเพคะ
ฉางกุ้ยเฟยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “อืม ลุกขึ้นเถิด เจ้ามีนามว่าหลานเอ๋อร์หรือ?”
“นามสกุลของข้าคือสุ่ย นามคือลั่วหลานเพคะ”
“สุ่ยลั่วหลาน…”
ฉางกุ้ยเฟยกล่าวซ้ำ “นามนี้ค่อนข้างไพเราะนัก”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉางกุ้ยเฟยเดินไปนั่งบนเก้าอี้ในห้อง แล้วชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “นั่งลงสิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ลั่วหลานได้เตรียมใจไว้แล้ว ว่าสิ่งที่นางจะพูดคงเกี่ยวกับท่านอ๋อง จึงนั่งตรงข้ามอีกฝ่ายโดยไม่มัวเกรงใจ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉางกุ้ยเฟยก็ถามว่า:
“เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับท่านอ๋องอวี้มากเพียงใด?”
“ไม่ทราบเลยเพคะ แค่ทราบจากประกาศหลวงว่าท่านประชวร”
ฉางกุ้ยเฟยถอนหายใจ ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเศร้าโศก “เขาป่วยหนักมาก ข้าไม่อยากทำให้ใครต้องอับอาย จึงต้องอธิบายก่อนล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เจ้าต้องเสียใจหลังจากยอมตกลง ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจเป็นเหมือนผู้หญิงเหล่านั้น ที่มองเพียงปราดเดียวก็วิ่งหนีไป เจ้าลองตรองดูให้ดีเถิด”
หลังจากพูดประโยคสุดท้าย สายตาของฉางกุ้ยเฟยก็เฉียบคมขึ้นทันที
ลั่วหลานรู้ว่าคำพูดของฉางกุ้ยเฟยมีนัยของการข่มขู่แฝงอยู่ โดยตั้งใจจะบอกนางว่านางเข้ามาได้ง่าย แต่ออกไปได้ยาก
มาถึงจุดนี้แล้ว นางไม่มีเหตุผลใดให้ต้องถอยหลังกลับ จึงส่ายหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ข้าไม่มีอันใดต้องเสียใจ และข้าจะไม่หนีไปไหน เป็นบุญของข้าที่จะได้รับใช้ท่านอ๋องเพคะ”
“ไม่มีใครบังคับหรือ?” ฉางกุ้ยเฟยเหมือนจะไม่เชื่อ
ลั่วหลานส่ายหน้า ตอบอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่มีเพคะ”
“คนที่ส่งเจ้ามาที่นี่คือแม่ของเจ้าหรือ?”
“ไม่ใช่เพคะ เป็นอาสะใภ้ของข้า แต่นางไม่ได้บังคับข้า ข้าทำด้วยความสมัครใจเพคะ”
ฉางกุ้ยเฟยถอนหายใจ “มีข่าวลือไปทั่วว่าอวี้เอ๋อร์เป็นคนที่กำลังจะตาย ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีชีวิตน่าเวทนาเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ถูกส่งเข้ามา ความจริงแล้วข้าก็รู้ด้วยว่าเวลาของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว แต่มันไม่ง่ายสำหรับเขาเลย เขาเคยต้องต่อสู้ในสนามรบเป็นเวลาหลายปี ข้าไม่อยากให้เขาตายเพียงลำพัง ดังนั้น...”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉางกุ้ยเฟยเหมือนจะไม่สามารถพูดต่อได้อีก แต่ลั่วหลานพูดขึ้นว่า:
“ข้ารู้ว่าหากท่านอ๋องอวี้สิ้นพระชนม์ พระชายาของท่านก็จะถูกฝังไปด้วยเพคะ”
“เจ้ารู้ด้วยหรือ?”
ฉางกุ้ยเฟยมองนางด้วยความประหลาดใจ “เป็นเช่นนั้นเจ้าก็ยังเต็มใจหรือ?”
.......................................................................................