ตอนที่แล้วตอนที่ 1 คนเดินทางข้ามเวลาที่โชคร้ายที่สุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3 เข้าตำหนักอ๋องอวี้ครั้งแรก

ตอนที่ 2 ไม่มีครอบครัวอีกต่อไป


ตอนที่ 2 ไม่มีครอบครัวอีกต่อไป

เมื่ออาได้ยินดังนั้น ก็กระซิบบอกลั่วหลานว่า:

“เจ้ากลับเข้าห้องไปก่อนเถิด”

สายตาของลั่วหลานเย็นชา ขณะเดินเข้าไปในลานบ้าน เมื่อนางก้าวเข้าไป อาสะใภ้ของนางก็ผุดลุกขึ้นยืนเหมือนคนบ้า ยกนิ้วชี้หน้าด่าทอนางราวกับสิงโตที่กำลังโกรธจัด

“นังเด็กเลว เจ้าออกไปทำอันใดแต่เช้าถึงเพียงนี้? ประเดี๋ยวเจ้าบ้านี่ก็หาว่าข้าบังคับให้เจ้าออกไป เขากลัวนักไม่ใช่หรือว่าเจ้าจะฆ่าตัวตาย? เหตุใดเจ้าถึงกลับมาแล้วล่ะ? เหตุใดเจ้าไม่ตายไปเสียเลย”

“หุบปาก!”

ทันใดนั้นเสียงของอาดังขึ้น เขาก้าวเข้าไปหาอาสะใภ้อย่างรวดเร็ว คว้าคอเสื้อนางแล้วตวาด

“เจ้ามันผู้หญิงสารเลว หากยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย”

“บีบคอข้าให้ตาย ถ้าทำได้ก็บีบคอข้าให้ตายเลยสิ” อาสะใภ้ยืดคอจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง

อาโกรธยิ่งโมโหเพราะคำพูดของนาง ตอนนี้เขาจึงบีบคอนางจริง ๆ ทันใดนั้นชุนฮวาและต้าเป่าที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านรีบวิ่งออกมาห้าม

“ท่านพ่อ ท่านกำลังทำอันใดอยู่?”

“ท่านพ่อ ถ้าท่านบีบคอท่านแม่จนตาย พวกเราจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”

“ท่านพ่อ ปล่อยนะ...”

“ท่านพ่อ ปล่อย...”

ด้วยความพยายามร่วมกันของชุนฮวาและต้าเป่า ในที่สุดอาก็ยอมปล่อยมือด้วยความหงุดหงิด อาสะใภ้ไอสองสามครั้ง ชุนฮวาหันกลับไปหาลั่วหลาน แล้วจ้องมองนางอย่างเย็นชา

“สุ่ยลั่วหลาน เจ้ามันตัวอัปมงคล ตั้งแต่เจ้ามา พ่อกับแม่ของข้าก็ทะเลาะกันเรื่องเจ้าบ่อย ๆ รีบไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด”

ทันทีที่นางพูดจบ อารีบกระโจนเข้ามาตบหน้าลูกสาวดัง ‘เพียะ!’

“สุุ่ยชุนฮวา ถ้าเจ้ายังกล้าพูดเหลวไหลอีก พ่อจะทุบตีเจ้าให้ตายไปเลย”

ชุนฮวายกมือขึ้นจับแก้มตัวเอง จ้องมองพ่อของตน แล้วกัดฟันตะโกน:

“ท่านทำร้ายลูกสาวของตัวเอง เพื่อปกป้องเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าจริงหรือ? ได้ ถ้าท่านอยากให้ข้าตาย ท่านไม่จำเป็นต้องทุบตีข้าหรอก ให้ข้าตายเองเลยดีกว่าหรือไม่?”

หลังจากพูดจบ นางจะวิ่งชนกำแพงดินที่ค่อนข้างผุพัง ต้าเป่าและอาสะใภ้เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปห้ามนาง

ลั่วหลานมองเหตุการณ์ทั้งหมด ด้วยสายตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความสมเพช จากนั้นหันหลังเดินกลับไปยังโรงเก็บฟืน

สุ่ยลั่วหลานทนครอบครัวนี้มามากพอแล้ว แม้ว่าตอนนี้นางจะมีความสามารถ แต่นางไม่ต้องการทำอันใดเพื่อครอบครัวนี้อีกต่อไป ครอบครัวที่ปราศจากความรักในครอบครัว

ลานหน้าบ้านตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย หลังจากที่นางเดินจากมา เสียงด่าทอของอาสะใภ้ก็ลอยมาเข้าหูนางเป็นครั้งคราว

“เราเลี้ยงดูสิบเจ็ดปีแล้ว ไม่อาจเลี้ยงอย่างไร้ประโยชน์ได้ หากนางไม่ต้องการแต่งงานเข้าวังหลวง นางก็ต้องแต่งงานกับลูกชายของจางหยวนไว่จากตงถุน”

“เหลวไหล ลูกชายของจางหยวนไว่เป็นคนปัญญาอ่อน เจ้าต้องการทำร้ายหลานเอ๋อร์”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากจะเลี้ยงดูนางไปตลอดชีวิตหรือ? นางเป็นแค่ของชดเชย วันนี้ข้าบอกเลยว่า ถ้าเจ้าไม่บังคับให้นางแต่งงานเพื่อหาเงินให้ข้า ข้าจะไม่อยู่กับเจ้าอีกต่อไปแล้ว ข้าจะ... ข้าจะพาต้าเป่ากับชุนฮวาไป เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่เจอข้ากับลูกไปตลอดชีวิต”

เมื่อฟังเสียงด่าทอด้วยความโกรธข้างนอก ลั่วหลานที่ทนไม่ไหวอีกต่อไปก็เปิดประตูออกมา แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา :

“พวกท่านหยุดเถียงกันได้แล้ว ข้ายินดีจะแต่งงานเข้าวังหลวง”

คำพูดของนางทำให้อาสะใภ้ที่ตะโกนอยู่เมื่อครู่นี้เงียบลงทันที ในขณะที่อาส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ได้นะ หลานเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของอาสะใภ้เจ้า เจ้าไม่อาจแต่งงานกับคนใกล้ตายได้”

ลั่วหลานกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วพูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า “แต่งงานกับคนใกล้ตาย ยังดีกว่าถูกบังคับให้ตายเจ้าค่ะ”

หลังจากทิ้งคำพูดประโยคนี้ไว้ นางก็ปิดประตูอย่างเย็นชา ขณะนี้ราวกับว่าหัวใจของนางแตกเป็นเสี่ยงไปหมดแล้ว

แต่งงานกับคนใกล้ตายแล้วอย่างไรล่ะ? ในเมื่อสวรรค์อนุญาตให้นางเดินทางข้ามเวลามาเป็นคนขี้ขลาดเช่นนี้ นางก็ควรเป็นคนขี้ขลาดให้ถึงที่สุดไปเลย!

คืนนั้นนางไม่ได้ทำอาหารเป็นครั้งแรก และไม่มีใครเรียกให้นางไปกินข้าวด้วย แต่แล้วอาของนางก็มาเคาะประตูห้องก่อนกินข้าว

“หลานเอ๋อร์...”

อาเป็นคนที่นางไม่สามารถปฏิเสธได้มากที่สุด นางจึงเปิดประตูออก แล้วเห็นอายืนอยู่ตรงหน้านางด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“หลานเอ๋อร์ อาขอโทษนะ มากินปลาเถอะ”

เมื่ออาพูดเช่นนี้ ตาก็เริ่มแดงแล้ว

ลั่วหลานหยิบข้าวกับปลาจากมืออา นี่เป็นครั้งแรกที่นางจะได้กินอาหารร้อน ๆ ในรอบหลายปี เมื่อก่อนอาสะใภ้มักจะบอกอาเสมอว่านางกินข้าวแล้ว ไม่ยอมให้นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วย ซ้ำยังบอกอาด้วยว่าหลังจากทำอาหารในครัวเสร็จ นางก็กินข้าวในครัวเลย อาจึงไม่รู้ว่านางได้กินเพียงของเหลือและข้าวเย็นชืดมาโดยตลอด

“ท่านอา ปลาตัวนี้น่ากินจังเลย ท่านจับมาได้หรือเจ้าคะ? รีบเข้ามาก่อนเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปวังหลวงแล้ว คืนนี้จะได้คุยกับท่านอาก่อน”

อาพยักหน้าพลางเช็ดน้ำตา ปลาตัวนั้นเขาเข้าเมืองไปซื้อมา นี่อาจเป็นมื้อสุดท้ายของหลานเอ๋อร์ที่บ้าน นางอยากกินปลา เขาจึงพยายามหามาให้อย่างเต็มที่ เพื่อให้นางได้กินสมใจ

อานั่งอยู่บนม้านั่งไม้ที่พังอยู่ตรงนั้นมานานกว่าสิบปี มองนางกินข้าวกับปลาในชามจนหมด แล้วถอนหายใจยาว

“หลานเอ๋อร์ อารู้ดีว่าเจ้ายอมตกลงแต่งงานกับท่านอ๋อง เพราะกลัวอาสะใภ้กับอาจะทะเลาะกัน แต่ท่านอ๋องคนนั้นกำลังจะตาย ถ้าเขาตาย เจ้า... เจ้า...”

เมื่อมาถึงจุดนี้ อาไม่อาจพูดต่อได้แล้ว ชายสูงเจ็ดฉื่อคนนี้เริ่มร้องไห้เหมือนเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าทำผิด

เพื่อไม่ให้อาต้องกังวลใจ ลั่วหลานจึงเม้มริมฝีปากแล้วคลี่ยิ้ม

“ท่านอา ไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ ชะตาอาจลิขิตให้ข้าหนุนนำสามี หากข้าไปที่นั่น บางทีท่านอ๋องอาจจะไม่ตายก็ได้ ท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นข้าจะรู้สึกไม่สบายใจ”

“หลานเอ๋อร์ อาจะไปคุยกับอาสะใภ้ของเจ้าอีกครั้ง ให้หาครอบครัวดี ๆ ให้เจ้า” หลังจากที่อาพูดจบ ก็กำลังจะจากไป

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ”

ลั่วหลานหยุดอาที่กำลังจะออกไป แล้วพูดว่า “แต่งงานเข้าวังหลวง จากนั้นข้าจะได้เป็นพระชายา ด้วยสถานะของข้า บางทีข้าอาจจะมีชีวิตที่ดีได้สักสองปี”

อาถอนหายใจ เขารู้ว่าต่อให้ไปคุย อาสะใภ้ก็ไม่ยอม

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกไม้ออกจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้ลั่วหลานด้วยมือที่สั่นเทา

“หลานเอ๋อร์ นี่คือสิ่งที่ติดตัวเจ้ามาตอนที่อาพบเจ้า เดิมทีเจ้ายังมีผ้าห่มผืนเล็กและเสื้อผ้าชิ้นเล็ก ๆ ด้วย แต่ผ่านไปหลายปี ของพวกนั้นจึงายไปหมดแล้ว เจ้าเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้เถิด อาไม่มีอันใดจะให้เจ้าอีกแล้ว”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ อาก็ร้องไห้อีกครั้ง ลั่วหลานรับผ้าเช็ดหน้ามาถือไว้ มีอักษรสองตัวที่ปักด้วยด้ายสีน้ำเงิน: ลั่วหลาน

ปรากฏว่าชื่อของนางมาจากสิ่งนี้นี่เอง แต่นางไม่ได้มีความรู้สึกกับผ้าเช็ดหน้าปักผืนนี้มากนัก เพราะนางไม่ได้รู้สึกคุ้นเคย

นางเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ในแขนเสื้อ มองอาแล้วปลอบโยนเขา:

“ท่านอย่าเศร้าไปเลยเจ้าค่ะ แค่ต้องแต่งงาน นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องเผชิญ ข้าดีใจที่จะได้แต่งงานเข้าวังหลวง แถมยังจะได้เป็นพระชายาด้วย ยอดเยี่ยมมากเลยเจ้าค่ะ”

อารู้ว่านางพยายามปลอบใจเขา เขาจึงกลั้นน้ำตาไว้ แล้วพูดว่า:

“หลานเอ๋อร์ ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานก็พูดออกมาเถิด อาจะหาทางปกป้องเจ้าทุกวิถีทาง”

“ข้าอยากแต่งงาน ข้าไม่เคยบอกว่าไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ”

ลั่วหลานจงใจเผยรอยยิ้มกว้าง นางต้องสร้างความมั่นใจให้กับคนเพียงคนเดียวในโลกที่ห่วงใยนาง

อาถอนหายใจยาว แล้วเปิดประตูออกด้วยความสิ้นหวัง

คืนนั้นลั่วหลานนอนไม่หลับทั้งคืน ในวันแรกที่นางเดินทางมาที่นี่ นางต้องตัดสินใจว่านางจะแต่งงานกับชายที่กำลังจะตาย พูดแล้วก็ฟังดูค่อนข้างเหลวไหล แต่แล้วอย่างไรล่ะ ไม่ต้องพูดถึงว่านางคือลั่วหลานที่เดินทางข้ามเวลามา ต่อให้เจ้าของร่างเดิมยังมีชีวิตอยู่ นางก็จะเข้าวังหลวงเพื่ออาโดยไม่ลังเลใจเลยอยู่ดี

เช้าวันรุ่งขึ้น อาสะใภ้ทำกับข้าวสี่อย่างเป็นครั้งแรก แล้วบอกให้ลั่วหลานมากินข้าววร่วมโต๊ะเดียวกันเป็นครั้งแรก แต่ลั่วหลานปฏิเสธ นางเพียงแค่พูดอย่างเย็นชากับอาสะใภ้ที่มีหน้าตายิ้มแย้ม:

“หลังจากที่ข้าแต่งงานเข้าตำหนักท่านอ๋อง พวกท่านจงรับเหรียญเงินเป็นค่าตอบแทนไป จากนั้นพวกเราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน”

ประโยคนี้เป็นผลมาจากการที่นางนอนคิดทั้งคืน แน่นอนว่าอาสะใภ้มีความสุขมาก แม้ไม่อยากแสดงออกมากเกินไป แต่นางก็ยังฝืนพูดบางอย่างที่ขัดกับสิ่งที่คิดในใจ

“เจ้าพูดเรื่องอันใด ที่นี่จะเป็นบ้านเกิดของเจ้าเสมอ หากเจ้าอยากกลับมาก็ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ”

...............................................................................