ตอนที่แล้วบทที่ 3 ทักษะดาบสุริยันสังหารปีศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 การเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่

บทที่ 4 ศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานสมบูรณ์แบบ


บทที่ 4 ศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานสมบูรณ์แบบ

ลาแก่สองตัว ตัวหนึ่งเดินนำหน้าและอีกตัวตามหลัง พวกมันเดินออกจากเมืองอย่างรวดเร็ว

 

เฉินจี้ก้มหน้าลงอย่างเคร่งขรึม

 

เขาไม่คาดคิดว่าเสินอี้จะตกลงออกเมืองจริงๆ และยังผิดวิสัยปกติที่พาเขามาด้วย

 

นี่ควรจะเป็นเรื่องดี แต่ว่า...

 

เฉินจี้หันกลับไปมอง เขาเห็นหัวหน้าหน่วยเสินนั่งอยู่บนหลังลา มือข้างหนึ่งพลิกดูตำรา อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

ตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อนที่จะติดต่อกับเหล่าปีศาจ ฝ่ายเสินอี้จะส่งคนไปซื้อสุราและเนื้อสัตว์ชั้นดีมาเซ่นไหว้ เขาเรียกมันว่า "ของกำนัล"

 

แน่นอนว่า เฉินจี้ไม่ชอบประเพณีนี้มาโดยตลอด

 

แต่ตอนนี้เขากลับกังวลขึ้นมา เมื่อต้องเดินทางด้วยตัวเปล่าในวันนี้ หากเขาจัดการกับปีศาจสองตัวนั้นไม่ได้ ชาวนาหลายร้อยคนในหมู่บ้านวัดหลิวลี้จะถูกกินจนหมดภายในเวลาไม่นาน

 

"หันหลังกลับมามองอะไรนักหนา รีบนำทางไปสิ อย่ามัวอิจฉาหน้าตาอันหล่อเหลาของข้า!"

 

เสินอี้อ่านตำราจบอย่างคร่าวๆ แล้วค่อยๆ ปิดมันลง

 

บนหน้าจอปรากฏข้อความเพิ่มขึ้นอีกสองบรรทัด

 

【หมัดทะยานไล่เมฆา (ยังไม่บรรลุ)】

 

【แปดก้าวอสรพิษวิญญาณ (ยังไม่บรรลุ)】

 

หนึ่งชุดหมัดและหนึ่งชุดวิชาตัวเบา บวกกับวิชาดาบปราบปีศาจที่เคยเรียนมาก่อน

 

นี่คือวิชาทั้งหมดที่สืบทอดโดยผู้บัญชาการแห่งแผนกปราบปีศาจ

 

หากสามารถฝึกฝนทั้งสามรูปแบบให้ถึงขั้นตอนสำเร็จขั้นต้น จะสามารถจัดการกับปีศาจตัวเล็กๆ ได้

 

เสินอี้ไม่ลังเล เขานำอายุขัยปีศาจที่เหลือทั้งหมดทุ่มเทให้กับวิชาตัวเบาที่เขาขาดแคลนมากที่สุด

 

ไม่ว่าดาบจะคมแค่ไหน มันก็ต้องไล่ตามทัน มันถึงจะมีประโยชน์

 

【โฮสต์มีพื้นฐานและร่างกายที่แข็งแรง โฮสต์ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีก็สำเร็จวิชาแปดก้าวอสรพิษวิญญาณ】

 

【สามปีผ่านไป ร่างกายของโฮสต์ช่างคล่องแคล่วจับตัวได้ยาก วิชาตัวเบาบรรลุขั้นต้น】

 

【หกปีผ่านไป แปดก้าวอสรพิษวิญญาณกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณ โฮสต์สำเร็จวิชานี้ในระดับขั้นสุดยอด】

 

【สิบเอ็ดปีผ่านไป โฮสต์ดั่งภูตผีปีศาจ การโจมตีไร้รูปร่าง วิชาตัวเบาบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ】

 

【อายุขัยที่เหลือของปีศาจ: ยี่สิบห้าปี】

 

...

 

เสินอี้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

การเทอายุขัยให้กับศาสตร์การต่อสู้ ความก้าวหน้าที่แท้จริงนั้น ยังอ้างอิงถึงสภาพร่างกายปัจจุบันของเขาด้วย

 

เหมือนกับสำนวน "รู้เพียงหนึ่งรู้ได้ถึงสิบ" นักรบผู้หลงใหลในศาสตร์การต่อสู้ การฝึกฝนวิชาย่อมรวดเร็วกว่าผู้อื่น

 

เขาปรับท่าทางการขี่ลาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้นมาก ราวกับว่าเขาสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้ไกลถึงสามถึงห้าจั้ง

 

น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้ลองใช้มัน

 

เสินอี้รวบรวมจิตใจ เทอายุขัยที่เหลือของปีศาจลงในเพลงหมัดทะยานไล่เมฆา ในขณะที่ฝึกฝนวิชาก็คาดหวังว่าจะได้รับความรู้เกี่ยวกับ "ขอบเขตเริ่มต้น" อีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ครั้งนี้ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย

 

【แม้โฮสต์จะไม่เก่งเรื่องหมัดมวย แต่ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสิบแปดปี โฮสต์ก็ยังสามารถทำให้หมัดรวดเร็วดั่งสายฟ้า ฝ่ามมือของโฮสต์สามารถทุบหินออกจากกัน วิชาหมัดทะยานไล่เมฆาบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ】

 

【ปีที่ยี่สิบ: โฮสต์ไม่มีความก้าวหน้า รู้สึกสับสน โฮสต์คิดว่ากำลังเสียเวลา】

 

【ปีที่ยี่สิบสาม: โฮสต์เริ่มสงสัยตัวเอง รู้สึกว่าเพลงหมัดนี้เมื่อถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว มันเหมือนจะถึงจุดสิ้นสุด】

 

【ปีที่ยี่สิบห้า: ด้วยการครุ่นคิดมาหลายปี ความเชี่ยวชาญของโฮสต์ในเพลงหมัดก็พัฒนาขึ้น พรสวรรค์ด้านหมัดมวยก็เพิ่มพูนขึ้น】

 

เมื่อใช้อายุขัยปีศาจจนหมดสิ้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็ปรากฏบนหน้าจอทั้งหมด

 

【หมัดทะยานไล่เมฆา (สมบูรณ์แบบ)】

 

【แปดก้าวอสรพิษวิญญาณ (สมบูรณ์แบบ)】

 

【ความเชี่ยวชาญด้านมวยและฝ่ามือ: สามารถลดเวลาฝึกฝนวิชามวยและฝ่ามือ เพิ่มโอกาสในการรู้แจ้ง】

 

นอกเหนือจากวิชาทั้งสองที่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เขายังได้รับสิ่งที่คล้ายกับพรสวรรค์ แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ "ขอบเขตเริ่มต้น" ที่เสินอี้ต้องการ

 

เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วถามว่า "คิดๆ ดูแล้ว มันถึงเวลาที่แผนกปราบปีศาจจะมาตรวจตราเมืองของเราแล้วใช่ไหม?"

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินจี้ผู้ทุ่มเทให้กับการนำทาง เขารู้สึกตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน โดยไม่หันกลับมา เขาตอบว่า "เรียนใต้เท้าเสิน ยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนขอรับ"

 

เขาเข้าใจดีว่านี่คือเสินอี้กำลังเตือนสติเขา

 

เจ้าหน้าที่ทั้งเมืองไป๋อวิ๋นล้วนสมรู้ร่วมคิดและทุจริตทั้งสิ้น งานที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ การผ่านการตรวจสอบของแผนกปราบปีศาจ และส่งมอบคำตอบว่าเมืองนี้สงบสุข

 

หากเกิดข้อผิดพลาด คนกลุ่มนี้ครึ่งหนึ่งอย่างน้อยต้องเอาศีรษะไปแขวนไว้ที่หน้าตลาด และศีรษะที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลาที่สุดก็คงหนีไม่พ้นใต้เท้าเสินผู้นี้

 

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนพฤติกรรมไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นว่าเขากำลังรอข้าอยู่!

 

ถ้าจะพูดว่า ในจวนเจ้าเมืองยังมีคนผู้หนึ่งที่คาดหวังการมาถึงของแผนกปราบปีศาจละก็…คงมีเพียงเฉินจี้เท่านั้น เขาหวังจริงๆ ว่า เสินอี้จะถูกประหาร!

 

จากความทรงจำเก่าของเสินอี้ เขาเป็นเพียงเจ้าหน้าระดับต่ำ ไม่มีสิทธิ์ติดต่อสื่อสารกับแผนกปราบปีศาจ

 

หากเขาต้องการฝึกฝนวิชาดาบขั้นสูง เขาก็ต้องเฝ้ารออย่างอดทน

 

ถ้าเขาสามารถก้าวเข้าสู่ "ขอบเขตเริ่มต้น" ได้อย่างสมบูรณ์ภายในหนึ่งเดือน เขาจะมีโอกาสเข้าร่วมกับแผนกปราบปีศาจหรือเปล่านะ?

 

แย่ชะมัด! อายุขัยของปีศาจยังไม่เพียงพอ!

 

ในขณะที่ความคิดของเขากำลังล่องลอย ลาแก่สองตัวก็หยุดลงตรงหน้าคันนา

 

เสินอี้มองไปที่วัดร้างบนเนินเขา รูปปั้นเทพเจ้าถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง ปกคลุมไปด้วยฟาง แท่นบูชาก็พังทลายลงครึ่งหนึ่ง เต็มไปด้วยวัชพืช

 

ชาวนาไม่แม้แต่จะสักการะเทพเจ้า แสดงให้เห็นถึงความขุ่นเคืองในใจ

 

"ใต้เท้า เชิญท่านทางนี้"

 

เฉินจี้ผูกลาแก่ไว้แล้วชี้ไปอีกทิศทาง

 

ทั้งสองรีบเดินข้ามคันนา ชาวนาที่เฝ้ารอยืนอยู่ไกลๆ เป็นกลุ่ม ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียว มองมาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

เมื่อมองเห็นเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของทั้งคู่ ชาวนาทั้งหมดกลับไปนั่งยองๆ ไม่ร้องเรียน ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ พวกเขารู้ดีว่าใครเป็นผู้ก่อความทุกข์ยาก

 

“......”

 

เฉินจี้ถูกสายตาจากระยะไกลจ้องมอง ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาปรากฏริ้วรอยละอายใจขึ้นเล็กน้อย

 

เมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่งของเสินอี้ ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ความละอายก็กลายเป็นความโกรธแค้น

 

เขาปรับหมวกไม้ไผ่เพื่อปกปิดใบหน้าส่วนใหญ่  “มันคือบ้านหลังนี้ ถูกลูกหลานของเตียวขนเหลืองโจมตีตอนกลางคืน...ใต้เท้าเข้าไปดูก็รู้แล้ว”

(เตียวหรือตัวมิ้งค์นั่นเอง)

มันคือเตียวไม่ใช่พังพอน…

 

ปีศาจเองก็มีกองกำลังเช่นกัน ส่วนใหญ่พวกมันจะรวมตัวกันตามลักษณะสายเลือด ตั้งตนเป็นใหญ่บนภูเขา

 

แต่ละกลุ่มก็มีความต้องการจากเมืองไป๋อวิ๋นแตกต่างกัน บางกลุ่มต้องการเนื้อสด บางกลุ่มต้องการหญิงสาวสวย บางกลุ่มก็ต้องการสมบัติล้ำค่า

 

ในบรรดาเหล่าปีศาจ มีกลุ่ม 'เตียวขนเหลือง' ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเสินอี้มากที่สุด

 

หัวหน้าของกลุ่มนี้คือ 'เตียวเฒ่าขนเหลิง' ซึ่งมันเรียกตัวเองว่า 'หวงผีจื่อต้าอ๋อง' (ราชาเตียวขนเหลือง)

 

“เปิดประตู”

 

เฉินจี้พยักหน้า

 

เขาใช้จังหวะนั้นผลักประตูไม้เปิดออก เผยให้เห็นภายในกระท่อมแคบๆ เต็มไปด้วยสีแดงคล้ำที่น่าขยะแขยง

 

ภายในกระท่อมมืดสลัว บนโต๊ะมีลำตัวที่ถูกแยกส่วนวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ ส่วนที่วางไม่พอจะถูกแขวนไว้บนคานด้วยเชือกฟาง

 

เตียวขนเหลืองตัวหนึ่งนั่งอยู่บนเตียง มันกำลังถือต้นขาอยู่ในมือ เคี้ยวเนื้อเน่าอย่างเมามัน

 

ดวงตาของมันแหลมคม เปรียบเสมือนสุนัขเฝ้ายามที่ซื่อสัตย์

 

เมื่อมองเห็นใบหน้าของผู้มาเยือน ดวงตาของมันก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย "ข้าคิดว่าเป็นผู้ใดซะอีก เจ้ามาทำไม?"

 

เสินอี้เดินเข้าไปในบ้าน กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาแตะจมูก เขามองไปรอบๆ

 

เฉินจี้เคยเห็นภาพแบบนี้มาแล้ว แต่เมื่อเขาเข้ามาในบ้านหลังนี้เป็นครั้งที่สอง ใบหน้าของเขาภายใต้หมวกไม้ไผ่ก็ยังบิดเบี้ยวเล็กน้อย มือที่จับด้ามดาบสั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง เขาอดไม่ได้ที่จะดึงดาบออกมา

 

ด้วยพรสวรรค์อันล้ำเลิศของเขา เขาฝึกฝนวิชาของแผนกปราบปีศาจจนบรรลุ "สำเร็จขั้นต้น" ด้วยเวลาสามปีเท่านั้น เขาจึงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะต่อสู้กับเตียวปีศาจตัวนี้ และมีโอกาสสูงที่จะได้รับชัยชนะ

 

สาเหตุที่เขาอดทนต่อความโกรธแค้นและกลับไปรายงานต่อแผนกนั้น ประการแรกก็คือเพื่อปกป้องน้องสาวที่บ้าน ประการที่สองคือเขายังสู้กับ "ราชาเตียวขนเหลือง" ผู้อยู่เบื้องหลังไม่ได้ หากเขาโจมตีโดยปราศจากการไตร่ตรอง อาจนำมาซึ่งภัยร้ายแรงยิ่งกว่า

 

...

 

ทันใดนั้น มือที่ทรงพลังก็ยื่นออกมาอย่างเงียบๆ กดดาบยาวของเขาให้กลับเข้าไปในฝัก

 

เฉินจี้กลับมาสติ จ้องมองใบหน้าด้านข้างของเสินอี้อย่างจดจ่อ ต้องการดูว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองอย่างไร

 

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะโหดเหี้ยมแค่ไหน อย่างน้อยก็ควรมีความรู้สึกบ้างเมื่อเห็นเผ่าพันธุ์เดียวกันถูกกิน

 

ในที่สุด เสินอี้ก็มองไปที่เตียวขนเหลือง ดวงตาของเขาไร้ซึ่งความเศร้าโศกหรือความสุข มุมปากของเขาโค้งขึ้น เผยให้เห็นฟันสีขาวเรียงเป็นระเบียบ ถูกต้อง เขา...ยิ้มออกมา

เมื่อเห็นเช่นนั้น หัวใจของเฉินจี้ก็ค่อยๆ ช้าลง เขาละสายตาลงด้วยความผิดหวัง ไม่ต้องการฟังบทสนทนาของทั้งสองอีกต่อไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด