ตอนที่แล้วบทที่ 2 ลองก่อนสิบปี?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 ศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานสมบูรณ์แบบ

บทที่ 3 ทักษะดาบสุริยันสังหารปีศาจ


บทที่ 3 ทักษะดาบสุริยันสังหารปีศาจ

เสิ่นอี้รู้สึกว่าทักษะดาบปราบปีศาจนี้ไม่ธรรมดา

 

ชาติก่อนเขาใช้เวลาไม่ถึงห้าปีก็ฝึกทักษะ "ทักษะทะลวงกระดูก" จนสำเร็จ แต่การฝึกทักษะดาบนี้ แม้จะทุ่มเทความสนใจอย่างเต็มที่ แต่กว่าจะบรรลุระดับสำเร็จขั้นต้น เขาใช้เวลาไปแปดปี

 

เขาต้องใช้เวลาถึงสามสิบสามปี ถึงจะสำเร็จระดับสมบูรณ์แบบ และเข้าใจความลี้ลับบางประการ

 

หากสามารถจับความลี้ลับนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่เหมือนกับศาสตร์การต่อสู้ทั่วไปอย่างแน่นอน

 

ความคิดของเขาพลันเคลื่อนไหว อายุขัยปีศาจสิบปีถูกหลอมรวมเข้ากับทักษะดาบปราบปีศาจทันที

 

【โฮสต์ยังคงฝึกฝนทักษะดาบปราบปีศาจที่บรรลุระดับสมบูรณ์ไปแล้ว เวลาผ่านไปสิบปี เร็วดั่งดีดนิ้วมือ ความลี้ลับนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่พรสวรรค์ของโฮสต์ไม่ดีนัก ทำให้ยากที่จะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้】

 

“……”

 

“แค่นี้?”

 

เสินอี้รู้สึกอึดอัดในใจ นี่มันสิบปีเต็มๆ เลยนะ! ยังเป็นสิบปีที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเป้าหมายโดยละทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน!

 

แค่ไปรับจ้างทั่วไป เลิกเล่นทุกอย่าง สิบปีก็ซื้อบ้านในอำเภอเล็กๆ ได้แล้ว

 

แต่พอเอาไปลงทุนกับศาสตร์การต่อสู้ มันกลับไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย

 

เขาลงทุนไปมากขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะถอนตัว เสินอี้จึงตัดสินใจทุ่มเทต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว

【ปีที่สิบเจ็ด ในที่สุดโฮสต์ก็จับความลี้ลับนั้นได้ และเริ่มลองบันทึกมันลงในตำรา】

【ปีที่ยี่สิบเจ็ด โฮสต์ใช้พลังกายพลังใจทั้งหมดเพื่อพัฒนาจนความลี้ลับสมบูรณ์แบบ โฮสต์ตั้งชื่อว่า "ทักษะดาบสุริยันสังหารปีศาจ"】

 

【อายุขัยปีศาจที่เหลือ: สามสิบหกปี】

 

 ……

 

"สร้างศาสตร์การต่อสู้ด้วยตัวเอง?"

 

ทันใดนั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะดาบก็ปรากฏขึ้นในใจของเสินอี้

 

หลังจากดูดซึมจนเสร็จสิ้น เขาก็พบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้

 

บนแผงข้อมูล มีข้อความปรากฏขึ้นหลังทักษะดาบ

 

【ขอบเขตเริ่มต้น:ดาบสังหารปีศาจสุริยัน】

 

มันไม่ใช่ศาสตร์การต่อสู้ใหม่ แต่คล้ายกับทักษะพิเศษที่พัฒนาต่อยอดจากทักษะดาบเดิม ดังนั้นจึงไม่มีค่าความชำนาญ

 

หลังจากผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลาหกสิบปี เขาก็พบอย่างสิ้นหวังว่าพลังของมนุษย์มีขีดจำกัด

 

ด้วยร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าวิถีดาบจะชำนาญแค่ไหน การฝึกฝนร่างกายอย่างหนักก็ไม่อาจต่อกรกับปีศาจร้ายตัวจริงได้

 

เขาจึงเสนอแนวคิดใหม่ในการดึงพลังแก่นแท้โลหิตภายในร่างกาย กลั่นกรองมันให้เป็นพลังปราณ และใช้ดาบในมือควบคุมพลังปราณนั้นอีกที

 

"ขอบเขตเริ่มต้น?"

 

เสินอี้มองไปที่คำนำหน้า

 

ครั้งล่าสุดที่เขาเห็นคำนี้คือในคำแนะนำหลังจากสังหารปีศาจสุนัข

 

ปีศาจสุนัขเพิ่งเริ่มเปิดสติ ดังนั้นยังไม่ถึงขอบเขตเริ่มต้น

 

นั่นหมายความว่าทักษะดาบสุริยันสังหารปีศาจนี้ มันได้มาถึงขอบเขตขั้นเริ่มต้นแล้ว

 

"ถ้ายังคงฝึกฝนทักษะดาบสุริยันสังหารปีศาจต่อไป มีโอกาสที่จะสร้างศาสตร์การต่อสู้ขอบเขตเริ่มต้นได้โดยตรง แทนที่จะเป็นแค่ทักษะดาบธรรมดาใช่ไหม?"

 

เสินอี้ปิดแผงข้อมูล ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

แต่แล้วเขาก็ระงับความคิดที่จะเทอายุขัยที่เหลือทั้งหมดลงไปอย่างมีสติ

 

เห็นได้ชัดว่าการสร้างศาสตร์การต่อสู้ด้วยตัวเองนั้นยากกว่าการพัฒนาศาสตร์การต่อสู้ที่มีอยู่ เขาเทอายุขัยปีศาจลงในจำนวนเท่ากัน การลงทุนกับศาสตร์การต่อสู้ที่มีอยู่ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

 

เขาจำได้ว่าศาสตร์การต่อสู้ที่ผู้บัญชาการกองปราบปีศาจ(เจิ้นหมัวซือ) สอนเมื่อครั้งก่อนนั้นมีมากกว่าหนึ่งประเภท เขาเองก็มีสถานะที่ไม่เลวร้ายในจวนเจ้าเมือง การจะได้รับมันมาก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

 

"พักก่อนเถอะ"

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์มากมาย จิตใจของเสินอี้ผ่อนคลายลง เขาถูกความง่วงเข้าปกคลุม

 

ทันใดนั้น พ่อลูกตระกูลหลิวก็มาส่งน้ำร้อนที่เตรียมไว้ เด็กสาวเอาเท้าของเสินอี้แช่ในน้ำร้อน และนวดอย่างตั้งใจด้วยมือหยาบกร้าน

 

เสินอี้หลับตาพริ้ม เขาถอนหายใจยาว

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับการถูกคนอื่นปรนเปรอ

 

ดูจากท่าทางขี้ขลาดของทั้งคู่ ถึงแม้ว่าเขาจะมาเป็นเจ้าของที่โหดร้ายในบ้านหลังนี้ตั้งแต่วันนี้ มันก็คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?

 

แต่เสินอี้ลืมตาขึ้น พูดเพียงคำขอบคุณเบาๆ "พอแล้ว เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะพักคืนเดียวแล้วจากไป"

 

เขาไม่ได้แสดงอารมณ์อื่นมากนัก

 

อย่างไรก็ตาม การกระทำอันโหดร้ายของอดีตเจ้าของร่างยังคงอยู่ แม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีอ่อนโยนเพียงใด มันยังคงสร้างความหวาดกลัวให้กับพ่อลูกคู่นี้โดยไม่เจตนา

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ตาเฒ่าหลิวก็ตกตะลึง ดวงตาสีขุ่นมัวของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

 

แต่เขาก็รีบตั้งสติ ดึงลูกสาวไว้แล้วพยักหน้ารัวๆ "ใต้เท้าเสิ่นไม่จำเป็นต้องเกรงใจ อยากอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ มีอะไรก็บอกข้าน้อยได้เลย"

 

ทั้งคู่รีบยกอ่างน้ำร้อนออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน เข้าไปหลบในห้องอื่น

 

เด็กสาวนั่งมองผ่านหน้าต่าง นอนไม่หลับทั้งคืน หลับตาเห็นแต่ใบหน้ายิ้มเหยียดของนายท่านเสิ่น พอลืมตาเห็นแต่ศพสุนัขปีศาจที่นอนตายอยู่ในสวน

 

จนกระทั่งไก่ขันตอนเช้า นางมีอาการง่วงนอน ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นเงาดำอยู่ข้างนอก

 

ชายหนุ่มสวมชุดเจ้าหน้าที่สีดำ รูปร่างสูงโปร่ง สะพายดาบที่เอว ดูสง่างาม

 

เขาแอบออกจากลานบ้าน ตอนออกไปก็ยกประตูที่สุนัขปีศาจพังขึ้นมาพิงไว้ ให้มันพอปิดกั้นลมหนาวได้บ้าง

 

"ท่านพ่อ ใต้เท้าเสิ่นไปแล้ว"

 

"หะ... ไปแล้ว? ดีมาก...ไปซะที..."

 

...

 

หมอกยามเช้าชุ่มฉ่ำ ไอหมอกจางๆ ลอยคลุ้งไปทั่วถนน

 

เสินอี้เดินออกมาจากหมอก ยืนอยู่หน้าสิงโตหินสองตัว

 

จวนเจ้าเมืองไป๋อวิ๋น...

 

เขาเดินเข้าประตูข้างอย่างคล่องแคล่ว มุ่งหน้าไปที่ห้องทำงาน

 

แผนกของจวนเจ้าเมืองไป๋อวิ๋นมีทั้งหมดแปดแผนก เสินอี้เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง มีลูกน้องอยู่แปดคน หัวหน้าโดยตรงของเขาคือซ่งฉางเฟิง เขาอยู่ตำแหน่งหัวหน้าแผนกลงทัณฑ์(ซิงฝาง)

 

ภายในห้องทำงาน

 

เสินอี้หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เขาหยิบเอกสารบนโต๊ะมาพลิกดูสองสามหน้า แต่กลับพบว่าอ่านไม่เข้าใจ

 

นี่ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีการศึกษา แต่ยังเป็นหลักฐานอีกประการหนึ่งว่าเจ้าของร่างเดิมไม่สนใจงานราชการ

 

ราชวงศ์ต้าเฉียนเผชิญปัญหาปีศาจร้ายออกอาละวาดมานานหลายปี แม้จะมีการจัดตั้งแผนกปราบปีศาจขึ้น แต่จำนวนเจ้าหน้าที่ก็ยังคงไม่เพียงพออยู่เสมอ

 

ในตอนแรก การจัดการกับภัยพิบัติประเภทปีศาจ จะดำเนินการโดยหน่วยงานท้องถิ่นเป็นหลัก  แต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แผนกปราบปีศาจจึงเข้ามาควบคุมพื้นที่และจัดการกับปีศาจร้ายทั้งหมดเอง

 

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทั้งหมดถูกปลดออกจากตำแหน่ง สูญเสียการควบคุมพื้นที่ทั้งหมด

 

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าของร่างเดิมที่มีหัวใสจึงมีโอกาสกอบโกยผลประโยชน์

 

ด้วยความสามารถในการเจรจาต่อรองกับเหล่าปีศาจร้าย เจ้าของร่างเดิมทำให้เมืองไป๋อวิ๋นดูสงบสุขภายนอก เขาเป็นที่ไว้วางใจจากเบื้องบน และยังช่วยให้ลูกน้องไม่ต้องต่อสู้กับปีศาจร้ายแบบประจันหน้า ลดจำนวนผู้บาดเจ็บเสียชีวิตลง เจ้าของร่างเดิมได้รับการยกย่องอย่างมาก

แถมเขายังมีความสามารถในการจัดการธุระต่างๆ ได้อย่างดี ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี เจ้าของร่างเดิมก็เริ่มมีเค้าลางว่าจะก้าวขึ้นมาแทนที่ซ่งฉางเฟิง

 

แต่แน่นอนว่า ไม่ได้มีทุกคนที่ยอมรับเขา

 

เสินอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า รวมไปถึงไหสุราที่กระจัดกระจายอยู่ใต้โต๊ะ เขาหยิบไหสุราขึ้นมาหนึ่งใบแล้วนั่งลง นิ่งคิดไปชั่วครู่

 

ทันใดนั้น ชายหนุ่มผอมบางก็รีบวิ่งเข้ามา

 

เขาเห็นเสินอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แววตาแรกของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก แต่เขาปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ถอดหมวกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา เขาก้มตัวลงคารวะ "ข้าน้อยคารวะใต้เท้าเสิน"

 

ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าเฉินจี้ เขามีอายุน้อยที่สุดในห้องนี้ แต่ชื่อเสียงของเขานั้นไม่ธรรมดา

 

สาเหตุก็มาจากพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของเขา ในอดีตเขาเคยได้รับคำชมเชยจากผู้บัญชาการแผนกปราบปีศาจด้วยซ้ำ

 

น่าเสียดายที่ด้วยความหนุ่มแน่นและมั่นใจเกินเหตุ ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ต่อปีศาจร้ายหลายครั้ง และถูกเบื้องบนตำหนิอย่างรุนแรง จนทำให้เขาถูกส่งมาให้เสินอี้เป็นผู้อบรม

 

บิดามารดาของเฉินจี้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงต้องพาน้องสาวมาอาศัยอยู่ในเมืองไป๋อวิ๋น

 

พอดีว่าเจ้าของร่างคนก่อนเป็นคนเจ้าชู้

 

ทำให้ทั้งคู่ต่อสู้กันทั้งเปิดเผยและลับๆ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมจำนนต่อเสินอี้ โดยแลกกับคำสัญญาว่าเสินอี้จะไม่แตะต้องน้องสาวของเขา จึงทำให้เขาคลายกังวลลงได้บ้าง

 

โอ้! ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนกำลังสร้างศัตรู เพื่อแส่หาความตายกันนะ?

 

เสินอี้ค้ำคางด้วยมือ จมดิ่งอยู่กับความคิด จนกระทั่งเฉินจี้เป็นผู้ความเงียบขั้นมาก่อน

 

"ใต้เท้าเสิน ข้าน้อยเพิ่งกลับมาจากวัดหลิวลี้ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่หมู่บ้าน"

 

เฉินจี้รำลึกถึงคำสั่งของหัวหน้าก่อนหน้านี้ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความลังเล แต่เขาก็อธิบายอย่างรวดเร็ว "ถึงแม้ว่าท่านจะเคยบอกไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวนอกเมือง แต่ครั้งนี้ปีศาจตัวนี้ไม่เคารพกฎเกณฑ์ มันดันมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน"

 

เขาพูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนจะกังวลเป็นพิเศษว่าจะถูกเสินอี้ขัดจังหวะ ดูเหมือนว่าเขาเคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว

 

“ข้าน้อย…หวังว่า…ใต้เท้าเสิน… จะ…จะไป…เอ่อ...เจรจา…”

 

ในขณะที่พูดคำว่า “เจรจา” ใบหน้าของเฉินจี้ก็แดงก่ำด้วยความอับอาย ถึงกระนั้น เขาก็พยายามควบคุมน้ำเสียงให้แสดงความเคารพอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องการขัดเคืองกับอีกฝ่าย

 

ท้ายที่สุด ตามตัวตนของเสินอี้ เขามักจะจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวในลักษณะลวกๆ และไม่เคยสนใจ

 

ถ้าเจ้าต้องการให้อีกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า เจ้าต้องทำให้พวกเขามีความสุขก่อน

 

“ข้าจำได้ว่าเมื่อครั้งที่แล้ว ผู้บัญชาการแผนกปราบปีศาจนำตำราทักษะต่อสู้มาให้สามเล่ม เจ้าได้ยืมไปใช่หรือไม่?”

 

เสินอี้ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้อง แล้วยืดเส้นยืดสายอย่างสบายอารมณ์

 

“หะ?”

 

เฉินจี้ยืนงงอยู่ตรงนั้น ใต้เท้าเสินนี่ไม่ได้ฟังอะไรที่เขาพูดเลยหรือไง?

 

“เอาให้ข้าดูหน่อย” เสินอี้ยื่นมือออกไป

 

เฉินจี้สูดหายใจลึกๆ เดินไปที่โต๊ะของเขา หยิบตำราสามเล่มที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เส้นเลือดเริ่มปูดโปนขึ้นบนหลังมือของเขา

 

เขายืนนิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็ส่งมอบให้ด้วยความเจ็บปวด

 

ตามนิสัยของอีกฝ่าย ตำราทักษะปราบปีศาจอันล้ำค่านี้ ถ้าไม่ได้ถูกนำไปรองขาโต๊ะ มันก็ถูกใช้เป็นของเล่นแปลกๆ หรือไม่ก็มอบให้หญิงสาวคนใดคนหนึ่งเพื่อความสนุกสนาน เขาไม่ยอมอ่านมันอย่างแน่นอน

 

เสินอี้รับตำรา เดินออกจากประตูอย่างช้าๆ

 

ทิ้งไว้เพียงเฉินจี้ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขากำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

 

ไอ้คนแซ่เสินผู้นี้ มันไม่ถามอะไรเลย ชีวิตของผู้คนนอกเมืองไม่ใช่ชีวิตหรืออย่างไร?!

 

ทันใดนั้น ครึ่งตัวคนก็โผล่ออกมาจากประตู

 

เป็นเสินอี้ที่กลับมา สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความสงสัย  "เจ้ามัวยืนงงอะไรอยู่ นำทางข้าไปสิ?"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด