ตอนที่แล้วบทที่ 45: [เนื้อเรื่องเสริม] เอวาเจลีน ครอส (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 47 : [สำรวจอิสระ] ทวิอัศวิน

บทที่ 46: [เนื้อเรื่องเสริม] ทีมหลัก (2)


บทที่ 46: [เนื้อเรื่องเสริม] ทีมหลัก (2)

“ท่านเลือกที่จะไม่เชิญคุณเอวานเจลีนเข้าร่วมกลุ่มของเราเนี่ยนะครับ?”

ไอเดอร์กดดันฉันจนตัวติดกำแพง

"คุณเอวานเจลีนน่ะเป็นทรัพยากรที่สําคัญมากเลยนะครับ"

“…จะบอกว่าฉันไม่คล้อยตามเลยก็คงไม่ได้หรอก”

อันที่จริงฉันตั้งใจจะเอาเธอเข้ากลุ่มด้วย อยากเอาเธอเข้ากลุ่มแบบสุดใจ!

คิดดูสิ ตัวละคระดับ SSR แนวหน้าสองคนที่ด่าน 3 เนี่ยนะ? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นลูคัสและเอวานเจลีนอีก?

’ไม่ว่าเกมจะปรับความยากมากแค่ไหน การมีสองคนนั้นอยู่ข้างฉันก็จะทำให้การผ่านด่านเป็นไปอย่างราบรื่น!'

ทว่า-

– ฉันน่ะต้องการให้ลูกสาวของฉันได้หลบหนีจากสถานที่ที่ต้องสาปนี้ หน้าที่ที่ต้องสาปนี้ ไปใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบและสนุกสนาน

ฉันได้ให้คำมั่นสัญญากับเขาไปแล้ว

– ได้โปรดใช้ชีวิตอย่างอิสระ... ตามที่ใจลูกต้องการเถอะนะ...

มันเป็นความปรารถนาสุดท้ายของมาร์คกราฟที่จากไป

คำวิงวอนของเขาที่กำลังจะตายคือการปลดปล่อยลูกสาวของเขาจากภาระของตระกูล

“ฉันต้องรักษาสัญญา ฉันจะให้เธอเลือกทางเดินของเธอเอง”

“นายท่าน ท่านไม่กังวลว่าจะพลาดโอกาสอันสำคัญยิ่งยวดนี้ไปเหรอ? หากมีเธอกับเรามันย่อมดีไม่ใช่หรือ? ต่อให้ใช้กำลังก็ไม่เป็นไรหรอกน่าา”

"ฉันไม่คิดที่จะปฏิเสธและเพิกเฉยต่อความเป็นมนุษย์เพียงเพื่อทำให้เกมนี้มันจบลงหรอกนะ"

ไอเดอร์ส่ายหัวไปมาด้วยความสับสน

"แต่ความสําเร็จของท่านในการเอาชนะความยากระดับนรกไอรอนแมนก็เกิดจากการไม่สนใจความเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอครับ?"

“นั่นก็จริง”

ฉันได้เสียสละทุกตัวละครในทุกด่านของเกม ใช้พวกเขาเหมือนเบี้ยที่ใช้แล้วทิ้ง

ส่วนภารกิจย่อย หีบสมบัติ การท้าทาย มีชีวิตนับไม่ถ้วนที่ฉันต้องเสียไปเพื่อเอามันมา

ฉันเสียสละทุกชีวิตเพื่อผลลัพธ์ นั่นคือวิธีที่ฉันสามารถพิชิตความยากระดับนรกไอรอนแมนได้

“ทว่าหากฉันใช้วิธีการเดียวกันในครั้งนี้ นั่นก็หมายความว่าฉันยังไม่ได้พัฒนาเลย”

ฉันยิ้มอย่างแผ่วเบา

“เป้าหมายของฉันคือการเป็นตัวเองในแบบที่ดีกว่าเมื่อก่อน”

ไอเดอร์มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ซับซ้อน

"แต่หากท่านทำเช่นนี้ สักวันอาจจะจบลงด้วยความหายนะ"

“ถ้างั้นฉันก็พร้อมน้อมรับมัน”

ฉันไม่มีเจตนาที่จะแสร้งทําเป็นนักบุญ และฉันก็ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ประหลาดด้วย

แม้แต่ในดินแดนที่ชีวิตถูกพรากไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ ฉันก็ยังโหยหาที่จะยังคงเป็นมนุษย์

นั่นแหละคือสิ่งสำคัญ

“ยังไงก็เถอะ ไอเดอร์ ได้โปรดดูแลเอวานเจลีนให้ดีด้วย เธอเป็นแค่เด็กวัยรุ่นที่กำลังสับสนอยู่ เธอคงต้องมึนงงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่แน่”

“ตามที่ท่านบัญชา นายท่าน”

เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน ไอเดอร์ก็พยักหน้าด้วยความเคารพและหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อพูด

“จะว่าไปแล้วนะ นายท่าน”

"อืม?"

"คือว่ามันมีปัญหาเรื่องหอกกับโล่ของคุณเอวานเจลีนที่ท่านทำพังไป"

“โอ้ เรื่องนั่นสินะ”

ฉันได้ทำลายอุปกรณ์ของเอวานเจลีนด้วยหมัด 777 ของฉันและยังไม่ได้ไปจัดการอะไรมันเลย

ซึ่งในตอนนี้ไอเดอร์ที่กำลังลังเลใจก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

“จากการตรวจสอบ ปรากฎว่าทั้งหอกและโล่นั้นมีระดับ SSR …”

“…”

"พวกมันไม่สามารถซ่อมแซมได้ ทั้งยังยากที่จะหาวัตถุดิบมาทดแทน ท่านจะให้ทำเช่นไรกันครับ..."

หัวของข้ารู้สึกโล่งไปชั่วขณะ

ไอเท็มระดับ SSR ทั้งคู่เลยเหรอ?

นั่นหมายความว่าพวกมันไม่เพียงแค่มีราคาแพง แต่ยังหายากมากเช่นกัน

ฉันควรจะตกตะลึงในศักยภาพของหมัดฉันที่ทำลายพวกมันในการโจมตีครั้งเดียวหรือเปล่าเนี่ย?

“คือว่า คือว่าฉันสามารถสร้างของทดแทนได้หรือเปล่า?”

“ในการสร้างอุปกรณ์ระดับสูง ผมต้องการแกนเวท…”

เวรแล้วสิ ฉันใช้แกนเวทมนตร์ที่เหลือทั้งหมดในการผลิตปืนใหญ่เวทมนตร์แล้ว

“คราวนี้ฉันจะใช้โชคแก้ไขสถานการณ์บ้าบอนี้ได้ไหมเนี่ย? นายว่า นายว่าเราจะสามารถใช้โชคของฉันแก้ไขเรื่องบ้าๆ นี้ได้หรือเปล่า?”

“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้นะครับ…”

“เวรเอ๊ย!”

อาการปวดหัวเริ่มปรากฏ ทำให้ฉันได้แต่นวดสันจมูกพร้อมกับถอนหายใจอย่างอ่อนเพลีย

“เรียกทั้งกลุ่มของฉันออกมา”

ถึงเวลาแล้วสำหรับการเดินทางไปในดันเจี้ยน

ดวงตาที่อดนอนอดนอนของฉันเบิกกว้าง ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว

“ได้เวลาล่าแกนเวทแล้ว!”

เรื่องอุปกรณ์ เราก็แค่ประดิษฐ์มันขึ้นมาใหม่ไม่ใช่หรือไงกัน?!

***

ด้วยเหตุนี้ หลายชั่วโมงต่อมา เงาแห่งราตรีก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณคฤหาสน์

“ดูเหมือนว่าจะผ่านมาสักพักแล้วนะที่กว่าเราจะได้มารวมตัวกัน”

ฉันพูดกับสหายที่รวมตัวกันหน้าฉัน

“ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ทุกคนพักผ่อนกันเพียงพอหรือยัง?”

กลุ่มของฉันต่างมากันครบ มีฉัน ลูคัส เดเมี่ยน จูปิเตอร์ และ...

“ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะคะ?!”

ลิลลี่ดูไม่พอใจยิ่ง

ทันทีที่ถูกเรียกตัว ลิลลี่ก็พยายามหลบหนี แต่ฉันได้คาดไว้แล้วว่าเธอจะพยายามหนี ดังนั้นจึงมียามประจำการอยู่รอบๆ ห้องปฏิบัติการเล่นแร่แปรธาตุด้วย

ลิลลี่ถูกจับกุมเพราะกำลังหลบหนี เธอถูกลากมาที่นี่ด้วยความไม่เต็มใจ ลิลลี่ที่หัวเสียก็ได้แต่ประท้วง

“เราหาสมาชิกใหม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เอามาแทนที่ฉันล่ะ!”

จริงอยู่เราได้เกณฑ์ตัวละครผู้กล้าหลายคนจากสมาคมทหารรับจ้าง

ปัญหาคือค่าสถานะของพวกเขาทั้งหมดต่างมีระดับสีเทากัน ซึ่งนั่นคือระดับ N

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังขาดความสามารถพิเศษอีก

แน่นอนว่าพวกเขามีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นนักรบที่มีคุณค่าในการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง แต่ความเป็นจริง พวกเขายังไม่พร้อมที่จะลงทีมหลัก

ดังนั้นการเอาพวกเขาไปใส่ในทีมย่อยย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากขั้นตอนการกรอง…ก็ทำให้ลิลลี่ผู้ใช้ไฟระดับ R ได้ถูกเรียกตัวกลับมาอยู่ในทีมหลัก

นอกจากนี้ ลิลลี่ยังมีระดับมากกว่า 20 ในการต่อสู้ครั้งก่อน ทั้งยังได้รับทักษะอาชีพที่จำเป็นอย่าง ’ปืนใหญ่ไฟ’ ด้วย

มันเป็นทักษะลูกไฟที่ทรงพลัง อีกทั้งด้วยความที่เธอเป็นนักเวทย์ พลังไฟที่เธอปลดปล่อยออกมาจึงสามารถสร้างความเสียหายได้สูงกว่าตัวละครทั่วไป

“สิ่งของที่ท่านได้มอบหมายให้ช่างตีเหล็กนั้นมันจำเป็นต้องได้รับการประสานงานกับโรงปฏิบัติการของนักเล่นแร่แปรธาตุด้วย! ฉันจะดูแลมันอย่างดีเลยนะคะ! ขอร้องเถอะนะคะฝ่าบาท ได้โปรดเถอะนะ?!”

ลิลลี่ร้องวิงวอนพลางเกาะขาฉัน

"อืมม..."

ฉันคร่ำครวญพลางหันหน้าไปทางอื่น

ฉันไม่ได้คิดที่จะให้ลิลลี่อยู่ทีมหลักไปตลอดอยู่แล้ว

การนำสหายที่ได้รับบาดเจ็บที่ขาเข้าไปในดันเจี้ยนอันตรายนั้นเป็นสิ่งที่ประมาทอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าตอนนี้ฉันไม่มีตัวละครไหนจะมาแทนที่เธอได้

’ถ้าเพียงแต่ฉันสามารถเกณฑ์ตัวละครฮีโร่ระดับ R ที่มีความสามารถมาได้ ฉันคงเอาพวกเขามาแทนตำแหน่งของลิลลี่แล้ว…'

ฉันลองใช้วิธีสรรหาตัวละครเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ได้มาน้อยมาก

อัตราคนที่มายังสมาคมทหารรับจ้างยังคงน้อยอยู่เช่นกัน ส่วนที่ได้มาก่อนหน้านี้...ก็คงเพราะพวกเขาถูกหลอกกันมา

’มันคงจะโชคดีไม่น้อยถ้าฉันสามารถเกณฑ์ NPC ที่มีความสามารถในดันเจี้ยนมาได้ แต่การจะทำเช่นนั้นมีแต่ต้องพึ่งโชค…'

ฉันคิดกับตัวเองพลางเท้าคาง

’ก้าวต่อไปของฉันควรจะทำยังไงดีนะ...?’

“ฝ่าบาท ได้โปรดเมตตาด้วยเถอะนะคะ!”

ลิลลี่ได้ใช้ถ้อยคำอย่างเป็นทางการ เพื่อร้องขออย่างสิ้นหวัง

ทันใดนั้นเอง-

“พวกท่านกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนกัน?”

เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งได้ทำลายความเงียบลงไป ทุกสายตาหันจับจ้องไปที่มาของเสียง

เอวานเจลีนผู้มีสีหน้างุนงงประดับประดาบนใบหน้าของเธอกำลังเดินเข้ามาหาเราจากคฤหาสน์

พอไม่มีชุดเกราะอยู่ เธอก็ดูตัวเล็กและเข้ากับสถานที่แห่งนี้ยิ่ง…

"หือ?!"

ลิลลี่รับรู้ถึงพลังระดับ SSR ที่แผ่ออกมาจากเอวานเจลีน เธอจึงรีบถามฉันด้วยดวงตาของที่เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

“องค์ชาย! เธอเป็นใครกันคะเนี่ย?!”

“… มีบางคนในหมู่พวกเราที่ยังไม่ได้พบเธอสินะ ทุกคนทักทายเธอสิ”

ฉันได้แต่ต้องแนะนำเธอให้คนอื่นรู้จักด้วยความไม่เต็มใจ

“นี่คือเอวานเจลีน ครอส ลูกเพียงคนเดียวของมาร์คกราฟครอส”

เมื่อรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของมาร์คกราฟ ลิลลี่และเดเมี่ยนต่างก็ก้มศีรษะอย่างรวดเร็วด้วยความเคารพ

จูปิเตอร์ที่เพิ่งสูบบุหรี่เสร็จก็กล่าวทักทายอย่างมากมารยาท

“ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียพ่อด้วยนะ คุณเอวานเจลีน”

เอวานเจลีนแสดงความเคารพอย่างไร้ที่ติที่ขัดเกลามากมายตอบกลับไป มันราวกับว่าเธอได้รับการฝึกฝนในสถาบันการทหารมา

“ขอบคุณที่เห็นอกเห็นใจ แต่ฉันเองก็กำลังพยายามอยู่”

จากนั้นสายตาของเอวานเจลีนก็มองมาที่ฉัน

“แล้วสรุปท่านกำลังไปไหนกันแน่?”

แม้ฉันจะลังเลที่จะบอก แต่ฉันก็ตอบตามความเป็นจริง

“ดันเจี้ยน”

“ดันเจี้ยน? แต่ที่นี่มัน…”

เธอหยุดพูดไปกลางคัน ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

“อย่าบอกนะว่าเป็นดันเจี้ยนที่อยู่ข้างใต้ทะละสาบ!”

“เธอก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”

“ทะเลสาบเป็นเพียงแหล่งที่อยู่ของสัตว์ประหลาด ส่วนดันเจี้ยนที่อยู่ใต้มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าตำนานที่ดูเกินจริงเท่านั้นแหละ”

เอวานเจลีนยักแขนของเธอพลางกอดอก

“นักผจญภัยไร้เดียงสาจำนวนมากต่างแห่กันไปที่ทะเลสาบ ถูกล่อลวงด้วยสมบัติในตำนาน แต่ก็ไม่เคยมีใครกลับมาเลย”

"ก็ไม่จริงเสียทีเดียว เราได้เดินทางไปที่นั่นและกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว”

เอวานเจลีนหรี่ตาลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฉันได้แต่ยักไหล่ตอบ

“และเราก็พร้อมที่จะเดินทางไปที่นั่นอีกครั้งด้วย”

“ที่ท่านพูดมาหมายความว่าไงกันแน่”

เอวานเจลีนถามอีกครั้งเพื่อขอคำยืนยัน

“ท่านจะบอกว่าที่นั่นมีดันเจี้ยนที่ทางตระกูลครอสของเรา ซึ่งอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนไม่รู้จัก ทั้งยังเคยไปที่นั่นมาแล้วเนี่ยนะ? ท่านจะกล่าวอ้างเช่นนั้นหรือ?”

“ประโยคหลังที่เธอกล่าวมาถูกต้องแล้ว เอวานเจลีน ส่วนประโยคหน้า บางทีตระกูลของเธออาจรู้เรื่องนี้กันอยู่แล้ว แต่คงมีเพียงเธอที่ไม่รู้ก็เท่านั้น”

“…!”

เอวานเจลีนกัดริมฝีปากของเธอแน่น

เธอไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดของตระกูลครอสตามธรรมเนียม

เพราะเธอเลือกเส้นทางของนายทหารชั้นสูงที่ราชบัณฑิตยสถานแห่งเวทมนตร์

ซึ่งอาจเพราะทางตระกูลครอสเก็บความลับเรื่องดันเจี้ยนใต้ทะเลสาบไว้ เธอจึงไม่ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้เลย

“ไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่ มันก็ไม่มีสำคัญเลย เพราะเรากำลังจะไปที่นั่น”

เนื่องด้วยฉันไปพังอาวุธของเธอเข้า ก็คงมีแต่ต้องลงดันเจี้ยนเพื่อหามาคืนเท่านั้น

ในขณะที่ฉันโบกมือไปมา เอวานเจลีนที่สงสัยก็ก้าวเข้ามาข้างหน้า

“ฉันจะไปด้วย!”

"ว่ายังไงนะ?"

“แม้ว่ามันอาจจะไม่มีหลักฐาน แต่ฉันก็จบการศึกษาสูงสุดจากราชบัณฑิตยสถานแห่งเวทมนตร์ ฉันสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าฉันมีประโยชน์ในการต่อสู้มากกว่าคนอื่นอีก รุ่นพี่”

เอวานเจลีนเน้นคำว่า ’รุ่นพี่’ ราวกับต้องการบังคับให้เขายอมรับเธอไปด้วย

’ดูเหมือนว่าเธอต้องการทำให้ชัดเจนว่าเธอก็จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถเช่นเดียวกันสินะ’ ฉันตีความคำพูดเธอในใจ

จากนั้นฉันได้แต่ถอนหายใจออกมา

“ฉันเข้าใจแล้วรุ่นน้อง แต่ว่า-”

“ได้โปรด ฉันขอร้องล่ะ ท่านช่วยพาฉันไปด้วยทีเถอะ หากมีบางอย่างอยู่ใต้ทะเลสาบจริงๆ ฉันก็จำเป็นต้องไปดูด้วยตาของฉัน”

"อืม...."

“ในฐานะสมาชิกคนสุดท้ายของตระกูลครอส พ่อแม่ของฉันทั้งคู่ต่างตกเป็นเหยื่อของสัตว์ประหลาดในทะเลสาบ ฉันเชื่อว่าฉันมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะตรวจสอบเรื่องนี้”

ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงได้แต่เลือกที่จะนิ่งเงียบไป

ดูเหมือนจะมีปัญหาแล้วสิ ความตั้งใจของฉันตอนแรกคือไม่อยากให้เธอเผชิญหน้ากับอันตรายมหึมาที่แฝงตัวอยู่ใต้ทะเลสาบ

’พ่อของเธอก็ปรารถนาแบบนั้นเช่นเดียวกัน...’

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฉันก็พยักหน้าตอบ

“งั้นร่างกายเธอพร้อมแล้วหรือยัง?”

แทนที่จะตอบคำถาม เอวานเจลีนก็คลี่ผ้าพันแผลบนแขนของเธอออก

บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ และรอยถลอกทั้งหมดได้รับการเยียวยาอย่างไร้ที่ติ ว่าแล้วเชียว ความสามารถในการรักษาของเธอนั้นเหมาะสมกับการเป็นแท๊งค์ระดับ SSR ยิ่ง

"แล้วจิตใจล่ะ?"

"ว่ายังไงนะคะ?"

“เธอสงบจิตสงบใจได้แล้วหรือยัง?”

“…”

เธอเพิ่งรู้เรื่องการตายของพ่อตัวเองเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ สภาพอารมณ์ของเธอคงค่อนข้างแปรปรวนมาก

“การไม่ได้ใช้ออกแรงรังแต่จะเพิ่มความเจ็บปวดให้รุนแรงขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ฉันทำได้คงมีแต่ทำให้ตัวเองกระฉับกระเฉงขึ้นเท่านั้น”

เมื่อมัดผมที่ไม่เป็นระเบียบของตนแล้ว เอวานเจลีนก็จ้องมองมาอย่างแน่วแน่

"แล้วว่ายังไงคะ? จะให้ฉันร่วมด้วยไหม?”

"...ได้"

ฉันไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธอีกต่อไป

ฉันเหลือบมองไปทางด้านข้าง ที่นั่น ลิลลี่กำลังจ้องมองมาทางฉันอย่างเคร่งเครียด

“ลิลลี่ เธออยู่ในครอสโรดต่อ”

"เย่~!"

ลิลลี่ตะโกนพลางเต้นรำยังสนุกสนานบนรถเข็นของตัวเอง เธอดูมีความสุขเป็นอย่างมาก...

“ว่าแต่ท่านเห็นหอกและโล่ของฉันหรือเปล่า?”

เมื่อสังเกตส่วนทุกคนในทีมมีอุปกรณ์ครบครัน เอวานเจลีนก็เอ่ยถามออกมาทันที

“ฉันจำได้ว่าก่อนสติ ฉันยังมีมันอยู่ในมืออยู่เลย…”

“อะแฮ่ม อะแฮ่ม! คือ…พวกมันได้รับความเสียหายเล็กน้อย ดังนั้นฉันจึงส่งพวกมันไปซ่อมกับช่างตีเหล็กแล้ว”

ฉันรีบเดินไปหาไอเดอร์ เขารีบไปที่โกดังทันที

“ตอนนี้เธอยืมอุปกรณ์สำรองที่เรามีก่อนได้”

“อืม…ก็คงต้องงั้นแหละนะ”

ไอเดอร์กลับมาจากโกดังพร้อมหอกและโล่ในเวลาเพียงไม่กี่นาที

"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ผมคว้าอันแรกที่เห็นมาให้เลยล่ะครับ…!”

สิ่งที่เขาเอามาเป็นหอกและโล่ทหารม้าขนาดใหญ่ แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าอุปกรณ์ก่อนหน้าของเอวานเจลีน แต่ก็ยังค่อนข้างใหญ่พอสมควร

เอวานเจลีนรับอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นมาอย่างมีความสุข

“มันเป็นอุปกรณ์เดียวกับที่ฉันใช้ตอนยังเด็กเลย ไม่ได้เจอกับพวกแกนานเลยนะ”

ตู้ม! ฟู่ม!

เอวานเจลีนหมุนหอกทหารม้าขนาดใหญ่ ราวกับหมุนกระบอง จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความยินดี

“มันเบากว่าที่ฉันคุ้นเคยเล็กน้อย… แต่ฉันก็คิดว่ามันน่าจะใช้ได้แล้วล่ะ”

สำหรับฉัน มันดูเหมือนก้อนเหล็กขนาดใหญ่มากกว่านะ เนี่ยนะเรียกว่าเบา?

’ก็สมกับที่เธอมีค่าความแข็งแกร่ง 35 แหละ’

“ต่อให้มีฉันห้าคน เธอก็ยังคงเอาชนะฉันได้ด้วยแขนข้างเดียวแหง…”

"เอาล่ะ ฉันพร้อมแล้ว”

เอวานเจลีนได้จับหอกของเธอไว้ด้วยสายหนังที่เอวของเธอ จากนั้นก็กล่าวยืนยัน

“ว่าแต่สรุปท่านจะให้ฉันเข้าร่วมด้วยแล้วใช่ไหม?”

"แน่นอน แน่นอน ฉันย่อมดูแลรุ่นน้องเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”

ฉันเปิดหน้าต่างระบบและเพิ่มเอวานเจลีนเข้าไปในทีมหลัก ปล่อยให้ลิลลี่ออกไป

[ทีมหลัก (5/5)]

– ระดับ 5 แอช (EX)

– ระดับ 31 ลูคัส (SSR)

- ระดับ 37 จูปิเตอร์ (SR)

– ระดับ 24 เดเมี่ยน (N)

– ระดับ 35 เอวานเจลีน (SSR) <ตัวละครรับเชิญ>

เสียงระฆังส่งสัญญาณว่าองค์ประกอบทีมได้เปลี่ยนไป

ค่ายกลตอนนี้กลายเป็นผู้บัญชาการ 1 อัศวิน 2 ผู้รักษา 1 นักเวทย์ 1

[องค์ประกอบทีมถูกเปิดใช้งาน]

> (ผู้บัญชาการ 1) สมรภูมิของทหารรักษาการณ์: ขวัญกำลังใจของทีมนี้จะไม่หวั่นไหว

> (อัศวิน 2 คน) ทวิอัศวิน: เพิ่มการป้องกันทางกายภาพของสมาชิกทีมทั้งหมดขึ้น 20%

องค์ประกอบทีมเมื่อมีอัศวิน 2 คนได้ถูกเปิดใช้งาน ทำให้ทีมของเราค่อนข้างแข็งแกร่ง

“…”

“ทำไมท่านถึงมองฉันแบบนั้นกันล่ะ?”

"ไม่มีอะไรหรอก"

ฉันยักไหล่ให้กับเอวานเจลีนที่ดูกำลังงุนงง

จากนั้นฉันก็นึกถึงมาร์คกราฟที่กำลังจะตายในอ้อมแขนของฉัน มันทำให้ฉันรู้ไม่สบายใจกับการตัดสินใจของตัวเองเลย แต่การได้มีแท๊งค์ระดับ SSR มาอยู่ร่วมทีมก็ทำให้ฉันรู้สึกดีไม่น้อย

ผมได้แต่ยิ้มกับตัวเอง

“ฉันหวังเพิ่งเธอแล้วนะ รุ่นน้องเอวานเจลีน”

พอกล่าวจบ เอวานเจลีนก็ขมวดคิ้ว

“คือว่าท่านจะเอาแต่เรียกฉันว่ารุ่นน้องอีกนานแค่ไหนกันเนี่ย?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด