ตอนที่แล้วChapter 72 แผลเก่าของเป่ยเจี้ยน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 74 แชมป์โซนกลุ่ม การต่อสู้ภายในสำนักไท่กู่เจิ้ง.

Chapter 73 สำนักที่จะคว้าแชมป์


“ติ๊ง!”

“ศิษย์ห้าคนเข้าสู่รอบที่ห้า ภารกิจมหากาพน์สำเร็จ 40%  โฮสน์ได้รับคะแนน 20 แต้มสนับสนุน.”

“ติ๊ง!”

“คะแนนสนับสนุน : 92 / 500.”

จุนซ่างเซียวกล่าวออกมาว่า “ผ่านรอบห้าได้ ก็จะเข้าสู่รอบรองและรอบชิงกลุ่มและชิงชนะเลิศที่มีเพียงสี่คน สี่คนในรอบชนะเลิศ หากว่าศิษย์ของข้าได้เข้ารอบสามคนก็ถือว่าได้สามลำดับแรก ภารกิจก็จะสมบูรณ์ 100% สินะ.”

ระบบกล่าว “ไม่ผิด.”

เพียงไม่นาน การต่อสู้รอบที่สี่ก็จบลง.

จาก 32 คน หายไปครึ่งหนึ่งและได้เข้ารอบครึ่งหนึ่ง.

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้ารอบมา นับว่าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าทุกคนล้วนแต่เป็นศิษย์ในสำนักระดับสูงแทบทั้งหมด พวกเขามีพลังที่แข็งแกร่งมาก.

เหล่าผู้ชมเองก็พอคาดเดาได้ว่า เหล่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่เข้ารอบ ล้วนแต่มีพลังที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง.

หลังจากได้พักผ่านไปชั่วครู่ กรรมการก็ประกาศออกมาเสียงดัง “การต่อสู้รอบห้าคู่ที่หนึ่ง หลี่ชิงหยางปะทะซุนเห่าเทียน!”

“ฟิ้ว!”

“ฟิ้ว!”

หลี่ชิงหยางและซุนเห่าเทียนก้าวขึ้นเวที.

ทั้งสองที่ยกมือขึ้นประสานระดับอก เมื่อกรรมการสั่งเริ่ม ทั้งคู่ก็เข้าต่อสู้กันในทันที.

คู่ต่อสู้แข็งแกร่งเล็กน้อย หลี่ชิงหยางที่ไม่เร่งรีบจบการต่อสู้ในทันที ทว่าเขาต่อสู้อย่างระมัดระวัง.

“ปัง! ปัง!”

เสียงหมัดและเท้าเข้าปะทะกัน พลังวิญญาณที่ผันผวนฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ.

การต่อสู้ของทั้งสองที่หนักหน่วงรุนแรง ทำให้เหล่าผู้ชมเต็มไปด้วยความสนใจจ้องมองมาเป็นสายตาเดียวกัน.

นี่สิถึงจะเป็นการประลองที่ถูกต้อง.

เดินทางมาตั้งไกล กับไม่ได้ชมการต่อสู้ที่ที่รุนแรงโดดเด่นเลย ตั้งแต่ละรอบแรกแทบจะจบลงภายในลมหายใจเดียว ตอนนี้เหล่าผู้ชมพึงพอใจสนุกสนานขึ้นมาในทันที!

“ตูมมม! ตูมมม!”

เพียงเวลาไม่นาน ซุนเห่าเทียนและหลี่ชิงหยางก็ปะทะกันไปกว่า 20 กระบวนท่าแล้ว ทว่ายิ่งการปะทะกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรงลง.

เพราะว่าหลี่ชิงหยางนั้นไม่ได้ใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างกายเลย แต่ร่างกายของเขานั้นมีความแข็งแกร่งระดับสูง อีกฝ่ายที่ผลาญพลังวิญญาณในการปกป้องร่างกาย จนเวลานี้แขนขาเริ่มชา แม้แต่หนังหัวที่เริ่มชาหนึบขนทั่วร่างลุกตั้งชัน.

หลี่ชิงหยาง ซูเซียวโม่และเถียนซี ทั้งสามคน แม้นว่าจะไม่ได้ฝึกฝนห้องปั้นกล้ามเนื้ออย่างบ้าคลั่งเช่น เซียวจุ้ยจื่อ แต่ก็เข้าใช้ห้องปั้นกล้ามเนื้อวันล่ะ 5-6 ชั่วยาม กายเนื้อของพวกเขาเองก็ยกระดับสูงขึ้นเช่นกัน ด้วยการต่อสู้ทุกครั้งได้จบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่ได้เผยความสามารถออกมาให้คนอื่น ๆ ได้เห็นเท่านั้น.

เพราะว่าเซียวจุ้ยจื่อไม่สามารถเปิดชีพจรได้ ทำให้เขาก้าวเดินไปบนเส้นทางกลั่นร่างกายอย่างเดียว.

ส่วนทั้งสามนั้นพัฒนาทั้งพลังวิญญาณและกายเนื้อไปพร้อม ๆ กัน.

“ตูมมมมม!”

ท้ายที่สุด พวกเขาก็ต่อสู้กันไปอีกสิบกระบวนท่า ซุนเห่าเทียน ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ก่อนถูกหลี่ชิงหยางอัดกระเด็นหล่นตกเวที.

“การต่อสู้รอบห้าคู่แรก ผู้ชนะหลี่ชิงหยาง!”

......

จากนั้นก็เป็นฝั่งโซนการต่อสู้ของลู่เชียนเชียน คู่ต่อสู้ก็ลอยกระเด็นออกไปจากสนามแทบจะในทันทีเหมือนเดิม.

สตรีผู้นี้ไม่ได้ฝึกฝนห้องปั้นกล้ามเนื้อเลย นางที่อยู่ภายในค่ายกลรวมวิญญาณแทบจะตลอดเวลา ตลอดหลายวันมานี้ นางได้รวบรวมสร้างพลังวิญญาณพายุหมุนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก.

หลี่ชิงหยางเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยกายเนื้อที่แข็งแกร่ง ส่วนนางนั้นเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยพลังวิญญาณที่บริสุทธ์กว่า ฝ่ายตรงข้าม.

ซูเซียวโม่และเถียนซีเองก็ใช้พลังวิญญาณและกายเนื้อ รวมกัน โจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ล่วงตกเวที.

การต่อสู้ในรอบนี้อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย ไม่ได้จบลงในทันที ทว่ากับพลังที่พวกเขาแสดงออกมา ก็ถือว่าเหนือกว่าคู่ต่อสู้อย่างสิ้นเชิง.

กับสิ่งที่พวกเขาทุกคนแสดงออกมา.

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เฝ้ามอง พวกเขาไม่สามารถที่จะคาดเดาพลังบ่มเพาะที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ได้เลย.

“นี่ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้ง ยังไม่ได้เอาจริงอีกรึ?”

“บางทีคู่ต่อสู้คงอ่อนแอเกินไป พวกเขาจึงไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริงออกมา.”

“นี่มันสำนักระดับเก้าไม่ใช่รึไง แล้วจะมีศิษย์ที่โดดเด่นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มากมายต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัย แม้แต่จ้องมองไปยังจุนซ่างเซียวบนที่นั่งผู้ชม.

เพียงแค่มือใหม่ระดับเปิดชีพจร จะสามารถฝึกฝนซูเซียวโม่และเถียนซีผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ทั่วไป ให้มีความสามารถน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร!

“น่าเกรงขามไปแล้ว.”

“แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร...”

เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่เข้ารอบ ได้จ้องมองหลี่ชิงหยางและพรรคพวกคนอื่น ๆ ที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่ยากเย็น พลางขมวดคิ้วแน่น.

ในเวลานี้ พวกเขา มองศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ใช่ขนมหวานอีกต่อไป แต่เป็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่พวกเขาไม่ต้องการพบเจอ.

เหล่าผู้ชมบนเวทีเอง เวลานี้ก็ตะลึงงันไม่แพ้กัน.

เหล่าศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้ง ผ่านเข้ารอบมาจนถึงเวลานี้ มันยิ่งกว่าเป็นโคตรม้ามืดของการแข่งขันประลองยุทธ์สำนักซะอีก.

สิ่งที่พวกเขาบอกได้ในเวลานี้ คนกลุ่มนี้มีความสามารถจริง ๆ!

“สามโซนการแข่งขัน ศิษย์ของพวกเขาเข้าชิงผู้ชนะประจำโซนการต่อสู้แล้ว หากพวกเขายังชนะอีก ไม่ได้เท่ากับศิษย์สำนักระดับเก้าได้เข้าเข้ารอบแปดผู้แข็งแกร่งสร้างสถิติใหม่ขึ้นมาได้หรอกรึ?!”

“รอบชิงชนะโซนต่อสู้หรือรอบแปดผู้แข็งแกร่ง คู่ต่อสู้ของพวกเขาล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับศิษย์ยุทธ์ มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก.”

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงของกรรมการก็ดังขึ้น “การต่อสู้รอบที่ห้าคู่ที่เจ็ด เซียวหลินเย่ ปะทะ เซียวจุ้ยจื่อ!”

“มาแล้ว.”

จุนซ่างเซียวที่จ้องมองด้วยแววตาจริงจัง.

เซียวจุ้ยจื่อที่ก้าวขึ้นเวที ก่อนหน้านี้เขาเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์เปิดชีพจรทั้งหมด ไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง เซียวหลิงเย่ระดับศิษย์ยุทธ์ นี่สิถึงจะเรียกว่าการประลองที่แท้จริง!

“เริ่มได้!”

“ถางตี้หลินเย่ หลายเดือนมานี้ฝึกฝนอยู่ที่สำนักหยินกู่ ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมามากมาย จะต้องทุบมันได้แน่!”

เหล่าลูกหลานตระกูลเซียว ที่เวลานี้เอ่ยกล่าวด้วยความหวัง.

แม้นว่าเซียวจุ้ยจื่อจะเอาชนะคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่า แต่พวกเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายโชคดีเท่านั้น จิตใจของพวกเขาที่แทบพังทลาย ทว่าหากเซียวหลินเย่เอาชนะได้ ความไม่พอใจของพวกเขาก็จะสลายหายไปได้.

ในเวลานี้พวกเขาทำได้แค่ใช้คำว่า โชคดี เพื่อปลอบใจตัวเอง เหล่ากลุ่มคนตระกูลเซียวเวลานี้แทบอดรนทนไม่ไหว.

“ชิ.”

บนที่นั่งฝั่งอาวุโสตระกูลเซียวที่แค่นเสียง “ชนะมาหลายรอบแล้วไง หากพบกับหลินเย่แล้ว ทุกอย่างก็ถือว่าจบ.”

เหล่าคนตระกูลเซียวที่มั่นใจในตัวเซียวหลินเย่มาก ต้องไม่ลืมว่าเซียวหลินเย่อยู่ในระดับศิษย์ยุทธ์ และยังได้ฝึกฝนที่สำนักหยินกู่อีกตั้งหลายเดือน.

“ตระกูลเซียว เซียวหลินเย่ นี่มันตัวเก็งของการประลองยุทธ์สำนักเลยไม่ใช่รึ? ดูเหมือนว่าเส้นทางม้ามืดของเซียวจุ้ยจื่อจะจบสิ้นแล้ว.”

“ข้าได้ยินมาว่า เขาเป็นทายาทตระกูลเซียวที่มีพรสวรรค์ไม่เลว ทว่าเมื่อก่อนเขาอยู่ใต้เงาของเซียวจุ้ยจื่อตลอด จนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามพลังฝึกตนถดถอยและหายไป เขาจึงสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าได้.”

“เฮ้อ หลายปีก่อนทุกคนต่างก็เรียกว่าเขาว่า ตี้ตี้ของเซียวจุ้ยจื่อ ดูเหมือนว่าเวลานี้จะไม่มีคนเอ่ยถึงมันอีกแล้ว.”

เซียวหลินเย่ที่ก้าวขึ้นเวที ได้ยินเสียงของผู้คนพูดคุยกัน แววตาของเขาที่แผ่ความเย็นชาออกมาช้า ๆ.

ห้าปีที่แล้ว กับคำว่าตี้ตี้ของเซียวจุ้ยจื่อ มันเป็นราวกับฝันร้ายของเขา ถึงแม้นว่าเขาจะแสดงความสามารถมากมายเท่าไหร่ ก็ยังอยู่ใต้เงาของเซียวจุ้ยจื่อ.

ข้าไม่ยอมรับ ข้าไม่ยินดียิ่งนัก!

ดังนั้นเขาจึงได้พยายามอย่างหนัก จนกระทั่ง....อีกฝ่ายถดถอยกลายเป็นเพียงคนพิการ แต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝนอย่างหนักเลย.

“กึก.”

เซียวจุ้ยจื่อที่ยืนอยู่บนเวที.

“ถางเกอ ข้าจะทุบตีเจ้าต่อหน้าสายตาของทุกคน ให้พวกเขาได้รู้ ว่าข้าเซียวหลินเย่ ไม่ใช่ตี้ตี้ของเซียวจุ้ยจื่ออีกต่อไป.”เซียวหลินเย่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา.

เซียวจุ้ยจื่อกล่าว “เจ้าเองก็พอใช้ได้.”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่จ้องมองมาด้วยความสนใจ ราวกับว่าการประลองในครั้งนี้เป็นการย้อนเวลาไปเมื่อห้าปีที่แล้ว กำลังมองการแย่งชิง ผู้มีพรสวรรค์ไร้คู่เปรียบ!

เซียวหลินเย่ที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา “เจ้าไม่แม้แต่เปิดชีพจร มีคุณสมบัติอันใดมาพูดว่าข้า พอใช้ได้!”

“พอใช้ได้ พอใช้ได้.”เซียวจุ้ยจื่อเอ่ย.

“กึก แก๊ก!”

เซียวหลินเย่ที่กำหมัดแน่น ด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด.

กับการต้องเป็นเงาของเซียวจุ้ยจื่อมาโดยตลอด ความอัดอั้นที่เป็นเหมือนปมด้อย ทำให้เขาควบคุมระงับตัวเองเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว.

“เริ่มต่อสู้!”เสียงกรรมการที่ตะโกนออกมาเสียงดัง.

“ฟิ้ว!”

สิ้นเสียงกรรมการ เซียวหลินเย่ที่เต็มไปด้วยความโกรธ พุ่งออกไปด้วยความเร็ว มือทั้งสองข้างที่วาดมือทำสัญลักษณ์ปลดผนึก พร้อมกับระเบิดพลังวิญญาณ ฟาดฝ่ามือที่เอ่อล้น เปี่ยมล้นไปด้วยพลังวิญญาณออกมา.

“ฝ่ามือ เจ้าแม่กวนอิม(เชียน โซร่ว)”

“นี่มันทักษะยุทธ์ระดับสามัญขั้นกลางของสำนักหยินกู่แน่นอน!”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็ตื่นตกใจอุทานออกมาเสียงดัง.

“ตูมม!ตูมม!ตูมม!-”พริบตาเดียว ฝ่ามือมากมายจากทุกทิศทุกทาง ก็โจมตีไปยังเซียวจุ้ยจื่อ ทว่าอีกฝั่งกลับยืนสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว.

“นี่มัน......”

เหล่าผู้ชมที่เวลานี้ถึงกับมุมปากกระตุก.

ทายาทตระกูลเซียวนั้นมีระดับศิษย์ยุทธ์ และยังใช้ทักษะยุทธ์สามัญขั้นกลาง แต่กลับไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายเขยื้อนออกจากตำแหน่งยืนได้เลย นี่ร่างกายของเขาทรงพลังขนาดใหนกัน.

“ซูมมม!”ฝ่ามือของเซียวหลินเย่ที่ กระแทกด้วยความรุนแรงและความเร็ว พลังแต่ละฝ่ามือนั้นอย่างน้อยก็มีมากกว่า 2500 จิน.

ช่างน่าเศร้า แม้ว่าจะกระแทกไปทุกตำแหน่ง ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่กับไม่สะเทือนอีกฝ่ายเลย.

“น่ารังเกียจ!”

เซียวหลินเย่รู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง แต่ไม่คาดคิดเลยว่า มันจะเกินกว่าที่เขาคาดไว้ แม้แต่ทักษะยุทธ์ยังไม่สามารถทำอะไรร่างอีกฝ่ายได้เลย!

เซียวจุ้ยจื่อเอ่ย “ตี้ตี้ข้าสอนเจ้าในอดีต การต่อสู้นั้นไม่สามารถรีบเร่งได้ และไม่ควรปล่อยให้จิตใจวุ่นวาย ไม่สงบ ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมไปหมดแล้ว.”

“ไอ้ขยะ! แกมีคุณสมบัติใดมาสั่งสอนข้า!”เซียวหลินเย่ที่โกรธเกรี้ยวมากขึ้นกว่าเดิม ฝ่ามือของเขาที่รวมพลังทั้งหมดโจมตีด้วยพลังหลายพันจิน.

“ตูมมม!”

เซียวจุ้ยจื่อควรหลบแต่กับไม่หลบ.

หลากหลายผู้ฝึกยุทธ์ที่อุทานเสียงดัง.

เซียวหลินเย่ที่รวบรวมพลังที่จุดเดียว ได้ใช้ฝ่ามือเจ้าแม่กวนอิมออกมาอีกครั้ง การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขา แต่จนแล้วจนรอดกับไม่สามารถทำอะไรเซียวจุ้ยจื่อได้เลย.

บนที่นั่งผู้ชม.

ใบหน้าของอาวุโสใหญ่ตระกูลเซียวที่ใบหน้ากลายเป็นอัปลักษณ์มากขึ้นและก็มากขึ้น จิตสังหารที่ระเบิดแผ่ออกมามากขึ้นและก็มากขึ้น.

ยิ่งเวลานี้ เซียวหลินเย่ไม่สามารถทำอะไรเซียวจุ้ยจื่อได้ จิตใจของเขายิ่งวุ่นวายสับสน หากเป็นไปด้วยสถานการณ์เช่นนี้ คงจะไม่สามารถทนระงับตัวเองเอาไว้ได้ในเร็ว ๆ นี้.

หลังจากโจมตีเสร็จ.

เมื่อเซียวจุ้ยจื่อไม่เป็นอะไร เซียวหลินเย่ก็ถอยหลังกลับออกมา แขนข้างซ้ายของเขาที่ดูเหมือนว่าทิ้งลงด้านล่าง ไม่สามารถยกขึ้นได้ถนัด.

ที่ข้อต่อไหล่ของเขาเวลานี้เหมือนว่าจะบวมปูด ดูเปราะบางราวกับจะหลุดออกจากกัน.

การโจมตีที่รุนแรง ย่อมมีแรงสะท้อนที่รุนแรงเช่นกัน ทำให้เซียวหลินเย่เวลานี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด มือข้างหนึ่งของเขาที่เผลอยกขึ้นกุมไหล่อย่างไม่ตั้งใจ ถอยหลังออกมาสองสามก้าว.

เซียวจุ้ยจื่อเอ่ย “นี่เจ้าได้รับบาดเจ็บก่อนมาที่นี่แล้วรึ?!”

ใช่แล้ว.

ตั้งแต่ฝึกฝนที่สำนักหยินกู่ แขนของเซียวหลินเย่ก็ได้รับบาดเจ็บมาก่อนแล้ว แม้นว่าจะไม่ได้แสดงผลออกมา แต่มันก็เป็นการบาดเจ็บซ่อนเร้นตั้งแต่แรกแล้ว.

“พบแล้วรึ? ......”ใบหน้าของเซียวหลินเย่ที่บิดเบี้ยวมืดมน.

เซียวจุ้ยจื่อที่ส่ายหน้าไปมา “เจ้าได้รับบาดเจ็บก่อนมาต่อสู้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า รีบยอมแพ้ไปซะ”

น่ารังเกียจ!

เขากำลังดูแคลนข้า?

ยกโทษให้ไม่ได้ ไม่สามารถยกโทษให้ได้อีกแล้ว!

เซียวหลินเย่ที่กัดฟันก่อนที่จะกำหมัดทั้งสองข้าง พลังวิญญาณที่แผ่ไปยังมือทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเริ่มบุกอีกครั้ง.

เพียงไม่นานหลังจากนั้น อากาศที่บิดม้วน ฝุ่นผงที่คละคลุ้งกระจายไปรอบ ๆ พื้นที่ดังกล่าว.

แต่กระนั้นเซียวจุ้ยจื่อกับไม่เขยื้อนเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายที่โจมตีอย่างบ้าคลั่งเสียงดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว.

แม้นว่าจะเป็นฝ่ายเซียวหลินเย่ที่บุกกระหน่ำแต่เพียงฝ่ายเดียว ทว่ายิ่งเขาโจมตีมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเท่านั้น ร่างกายของเขาที่กำลังสั่นสะท้าน ใบหน้าขาวซีดมากขึ้นเรื่อย ๆ.

การโจมตีที่บ้าคลั่งแต่กลับไร้ซึ่งผลต่อเซียวจุ้ยจื่อ แววตาของเขาที่สั่นไหว ความเร็วของเขาที่ลดลงเรื่อย ๆ แม้แต่พลังโจมตีเองก็ด้วย.

......

“ร่างกายของเซียวจุ้ยจื่อแข็งแกร่งเกินไปแล้ว หากทายาทตระกูลเซียวไม่สามารถสร้างบาดแผลให้อีกฝ่ายได้ อีกไม่นานเขาจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเอง.”

“ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่มีทางที่จะทำอะไรร่างของเขาได้ คงมีเพียงแค่ต้องใช้อาวุธเท่านั้น.”

“งานประลองยุทธ์สำนักทุกครั้งก็ไม่เคยอนุญาตให้ผู้เข้าร่วม ใช้อาวุธมาโดยตลอด ในความเห็นของข้า ทายาทตระกูลเซียวนั่นจบสิ้นแล้ว.”

“วิ้ง วิ้ง ไม่แม้แต่เปิดชีพจร จะต้านการโจมตีจากระดับศิษย์ยุทธ์ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!”

“ดูนั่น ใบหน้าของเหล่าอาวุโสตระกูลเซียว เวลานี้เขียวคล้ำแทบบ้าไปแล้ว.”

“เขาที่ฝึกฝนกายเนื้อไปจนถึงระดับสัตว์ประหลาด แต่กับถูกไล่ออกจากตระกูลเซียว จะไม่ให้เขียวได้อย่างไรล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า.”

เหล่าผู้ชมที่จ้องมองการต่อสู้ พร้อมกับวิพากวิจารณ์ไปต่าง ๆนานา.

เหล่าอาวุโสตระกูลเซียวบนที่นั่งผู้ชม ที่ใบหน้าเปลี่ยนสีกันทุกคน แม้แต่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น.

พวกเขาจะยอมรับได้อย่างไรว่าขยะที่ถูกไล่ออกจากตระกูลแล้ว แต่กับต่อสู้รับมือกับเซียวหลินเย่ได้อย่างสูสี เรื่องเช่นนี้....เป็นไปได้อย่างไร.

สูสีรึ?

เหล่าอาวุโสตระกูลเซียวคงจะไร้เดียงสาไปหน่อย.

เซียวจุ้ยจื่อเวลานี้ ได้เห็นจุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามหมดแล้ว ที่ไหล่ของเซียวหลินเย่ ได้รับบาดเจ็บ เวลานี้เซียวจุ้ยจื่อ หากเริ่มลงมือโจมตีไปยังไหล่ของฝ่ายตรงข้ามล่ะ หมดสภาพแล้ว.

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปย่อมสามารถมองเห็นได้ว่า ทายาทตระกูลเซียวที่ใช้พลังมากกว่าอีกฝ่ายจนเทียบกันไม่ได้เลย.

“ตูมมมมม!”

เพียงไม่นาน หมัดของเซียวจุ้ยจื่อก็กระแทกไปยังไหล่ของเซียวหลินเย่.

ทว่าเวลานี้ได้ยินเสียง “กึก แก๊ก”ใบหน้าของเซียวหลินเย่ที่บิดเบี้ยวเหย่เก ถอยหลังออกไปสองสามก้าว ที่หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาจำนวนมาก.

“ฟิ้ว!”

เซียวจุ้ยจื่อที่ขยับตามด้วยความเร็ว อ้อมไปด้านหลัง มือของเขาที่ยื่นออกไปกุมที่ลำคออีกฝ่าย พร้อมกับมือข้างหนึ่งกดไปที่ไหล่และเท้าที่เหยียบไปที่หลังกดลง.

“พรึด โครม!”

เซียวหลินเย่ที่ล้มฟุบแนบลงกับพื้นอย่างแรง ใบหน้าบิดเบี้ยวเจ็บปวดเป็นอย่างมาก.

“จบแล้ว.”หลากหลายผู้ชมที่เริ่มส่ายหน้าไปมา.

ด้วยอาการบาดเจ็บที่ไหล่นั้นรุนแรงมาก เขาไม่สามารถต้านเอาไว้ได้เลย.

จบรึ? ไม่เลย!

หลังจากที่เซียวจุ้ยจื่อเหยียบเซียวหลินเย่ล้มลง มือของเขายังคงกำไปที่ลำคอ กล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “จำเอาไว้ ถางเกอก็คือถางเกอตลอดกาล ถึงจะกลายเป็นขยะ เจ้าก็ไม่สามารถเหนือกว่าข้าได้.”

“ปัง! ปัง!”

ฝ่ามือขวาของเขาที่ฟาดไปยังกบาลของอีกฝ่าย กระแทกจมลงไปบนพื้น.

ในเวลานี้ ความภาคภูมิใจ ท่าทางหยิ่งผยองของเขาหายไปโดยสิ้นเชิง เขาที่ถูกทุบมีสภาพไม่ต่างจากเป่ยเจี้ยนก่อนหน้านี้.

จุนซ่างเซียวที่ยักไหล่ “ตัวเก็งรึ? ก็แค่ขยะ.”

“......”

ปากของอาวุโสสำนักต้าหงถึงกับกระตุก.

กับศิษย์ที่ไม่แม้แต่เปิดชีพจร กับทุบตีทายาทพรสวรรค์ตระกูลตระกูลเซียวจนเละ หากไม่เห็นด้วยตา พูดไปใครจะเชื่อ!

“ปัง!”

พริบตานั้น เสียงที่ดังสนั่น ถึงกับทำให้เขาตกใจแทบกระเด้งโดดหนีจากที่นั่ง.

อาวุโสต้าหงที่ค่อย ๆ หันหน้าจับจ้องมองไปยังข้าง ๆ เห็นสิ่งที่เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งบอกว่าเป็นของเล่น ปากกระบอกของมันที่ปล่อยควันออกมา ตำแหน่งที่มันชี้ออกไปนั้นอยู่ไม่ไกลออกไปนัก บนแท่นที่นั่งกลายที่ห่างออกไปเป็นรูขนาดใหญ่.

เสียงปืนที่ดังลั่น ทำให้เหล่าผู้ชมทั้งหมดถึงกับตื่นตระหนกจดจ้องมองมาพร้อม ๆ กัน.

สายตาจำนวนมากที่จ้องมองไปยังจุนซ่างเซียว ที่ชี้บางอย่างไปยังทิศทางที่นั่งของอาวุโสใหญ่ตระกูลเซียวด้วยแววตาตื่นตกใจ ยิ่งพื้นที่ดังกล่าวปรากฏรูขนาดครึ่งเมตรเกิดขึ้น ยิ่งทำให้ทุกคนสั่นสะท้าน

“เจ้าสำนักยิงปืนอย่างงั้นรึ?”

หลี่ชิงหยางและซูเซียวโม่ที่เผยท่าทางประหลาดใจ.

“เมื่อกี้เสียงอะไรนะ?”

“เสียงเหมือนกับดอกไม้ไฟเลย!”

ทุกคนต่างก็พูดจากันไปมาเสียงดังอื้ออึง.

“กึก!”

จุนซ่างเซียวที่ก้าวขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ ชี้ปืนไปยังอาวุโสใหญ่ตระกูลเซียว “นั่งลง!!”

อาวุโสใหญ่ตระกูลเซียวที่ใบหน้าอัปลักษณ์จนถึงขีดสุด ทว่ากับสิ่งของที่มีควันพุ่งออกมานั้น ทำให้เขาได้แต่ต้องนั่งลงอย่างช่วยไม่ได้.

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาจับได้ก่อนหน้านี้ ลำแสงที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงนั่น มันยังเปี่ยมไปด้วยพลังที่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก หัวใจของเขาถึงกับหวาดผวา สั่นไปมา.

“จุ้ยจื่อ.”

จุนซ่างเซียวที่ถือปืน กล่าวออกมาอย่างสดใส “จงกระทำตามสิ่งที่เจ้าต้องการ แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าหลายปีมานี้ทุกคนเข้าใจผิด เปิ่นจั้วจะช่วยดูให้กับเจ้าเอง ใครกล้ากระทำการไร้เหตุผล ข้าจะระเบิดหัวมัน.”

เซียวจุ้ยจื่อที่เผยยิ้ม ก่อนที่จะยกหมัดขึ้นกระหน่ำต่อยลงไปฝ่ายตรงข้ามต่อ.

จนกระทั่ง เซียวหลิงเย่ที่ถูกกระหน่ำต่อยกลายเป็นครึ่งเป็นครึ่งตาย หัวที่ปวดบวมราวกับหัวหมู จึงถูกเหวี่ยงลงเวทีไป.

“การต่อสู้รอบที่ห้าคู่ที่เจ็ด ผู้ชนะเซียวจุ้ยจื่อ!”

……

เสียงของกรรมการที่ดังก้องไปทั่วสนาม เหล่าผู้ชมทั้งหมด กลายเป็นเงียบกริบ พวกเขานิ่งงัน ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นอะไรที่ยากจะยอมรับได้ จนเวลาผ่านไปนานเหมือนกัน ถึงได้สติกลับคืนมา......

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด