ตอนที่แล้วChapter 60 เปิดภารกิจมหากาพย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 62 โปรดลบคำว่า ทายาทสายตรงของตระกูลเซียวออกด้วย.

Chapter 61 การฝึกฝนโหมดปิศาจ


จุนซ่างเซียวที่เชื่อมต่อเส้นชีพจรทั้งสิบสองเส้นได้ ตรงตามเงื่อนไข ภารกิจมหากาพน์เปิดขึ้น เขาจับจ้องมองด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ “เข้าร่วมการแข่งขัน มันจะง่ายขนาดนั้นเลยรึ?”

เขาที่เริ่มตรวจสอบรายระเอียดลึกลงไป-ภารกิจมหากาพน์【1】.

รายระเอียดภารกิจ : 10 วันหลังจากนี้จะมีงานประลองยุทธ์สำนักของมนทลชิงหยางที่จัดขึ้นทุก ๆ สองปี ให้โฮสน์นำศิษย์ห้าคนเข้าร่วม.

เงื่อนไข : ต้องได้สามอันดับแรก.

การล้มเหลวของภารกิจ : ไม่ได้ลงทะเบียนในเวลาที่กำหนด,ศิษย์ของท่านตกรอบแรก.

รางวัลภารกิจ : ???

เครื่องหมายคำถามสามดอก จุนซ่างเซียวถึงกับปากกระตุก “เครื่องหมายคำถาม หมายความว่าอย่างไงกัน!”

ระบบกล่าว “รางวัลภารกิจมหากาพย์นั้น มีการประเมินความสำเร็จของโฮสน์ ดังนั้นจึงไม่สามารถระบุรางวัลได้ในตอนนี้.”

“เงื่อนไขที่ยังไม่สรุป เกณฑ์ของมันคือศิษย์ของข้าต้องได้สามอันดับแรกทั้งสามคนสินะ!”จุนซ่างเซียวครุ่นคิด.

ระบบอธิบาย “เงื่อนไขของภารกิจนั้นได้กำหนดไว้ว่า ศิษย์ของท่านต้องครอบครองสามอันดับแรก เพราะมีจำนวนศิษย์เข้าร่วมเพียงห้าคน หากว่ามีมากกว่านั้น รางวัลย่อมเปลี่ยนไป.”

จุนซ่างเซียวกล่าว “ได้สามอันดับแรก ก็ถือว่าทำภารกิจสำเร็จ ซึ่งหากทำได้แค่นั้น รางวัลที่ได้ก็จะต่ำงั้นรึ?”

“ไม่ผิด.”

“งั้นหากได้สี่อันดับแรก ก็เท่ากับว่าทำได้มากกว่าเกณฑ์ จะได้รางวัลที่สูงขึ้นงั้นรึ?”

“ถูกต้อง.”

จุนซ่างเซียวกล่าวต่อ “แล้วหากไม่ได้เข้าร่วมล่ะ?”

ระบบตอบ “หากไม่เข้าร่วมก็เท่ากับภารกิจล้มเหลว โฮสน์จะต้องถูกลงโทษ ไม่สามารถตัดผ่านระดับได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง.”

“นานแค่ใหน?”

“สิบปี.”

จุนซ่างเซียวถึงกับสะดุ้ง กล่าวออกมาว่า “เช่นนั้น มีแต่ต้องเข้าร่วมภารกิจมหาภาพน์.”

......

หลี่ชิงหยางที่ลากสังขารที่อ่อนแรง ก้าวเข้ามาทีละก้าวอย่างยากลำบาก “เจ้าสำนัก มีอะไรจะกล่าวงั้นรึ?”

หลังจากปั้นกล้ามเนื้อหนึ่งชั่วยาม ร่างกายของเขาก็เจ็บปวดไปทั่วร่างระบมไปหมด.

จุนซ่างเซียวกล่าว “เจ้าเคยได้ยินงานประลองยุทธ์มนทลชิงหยางหรือไม่?”

“เคยได้ยิน.”

หลี่ชิงหยางที่ลูบใบหน้าไปมาด้วยความเจ็บปวดกล่าวออกมาว่า “มันจัดขึ้นทุก ๆ สองปี จากการคำนวณก็น่าจะเริ่มขึ้นในอีกสิบวันนี้.”

ทันใดนั้น เขาที่ราวกับตระหนักอะไรบางอย่างได้ เอ่ยกล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนัก ไม่ใช่ว่าสำนักเราก็จะเข้าร่วมงั้นรึ?”

“ไม่.”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว.”

“แต่ว่า ข้าวางแผนที่จะเข้าร่วม.”

หลี่ชิงหยางถึงกับปากระตุกกล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนัก งานประลองยุทธ์นั่นเต็มไปด้วยสำนักระดับสูง สำนักไท่กู่เจิ้งของเราเข้าร่วม มีแต่เป็นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น.”

จุนซ่างเซียวที่กอดอกมือข้างหนึ่งยกขึ้นสีคาง “นี่เจ้าไม่มั่นใจในสำนักตัวเองงั้นรึ?”

หลี่ชิงหยางเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง “ที่ศิษย์รู้มา งานประลองยุทธ์นั้น เหล่าสำนักต่าง ๆ จะส่งศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดออกมาต่อสู้กัน ความแข็งแกร่งอย่างน้อยก็เทียบเท่าระดับศิษย์ยุทธ์.”

“งั้นรึ?”จุนซ่างเซียวที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย.

ศิษย์ของเขานั้นมีเพียงระดับเปิดชีพจร การให้ไปต่อสู้กับระดับศิษย์ยุทธ์ถือว่าเสียเปรียบมาก อีกทั้งจะต้องได้สามอันดับแรกด้วย.

หลี่ชิงหยางกล่าวต่อ “งานประลองยุทธ์สำนักครั้งที่แล้ว ผู้ชนะเลิศเป็นศิษย์จากสำนักขั้นหก มีความแข็งแกร่งศิษย์ยุทธ์ขั้นที่สาม.”

จุนซ่างเซียวที่ขมวดคิ้วแน่น.

หากว่ามีระดับศิษย์ยุทธ์ชั้นที่สามเข้าร่วม ศิษย์ของเขาจะสามารถรับมือได้รึ?

ภารกิจมหากาพย์?

ดูเหมือนว่าจะเป็นโหมดนรกแล้ว!

จุนซ่างเซียวกล่าว :“แล้วต้องไปลงทะเบียนแข่งขันที่ใหน?”

นี่เจ้าสำนักจะเข้าร่วมจริง ๆ รึ? แม้นว่าหลี่ชิงหยางจะไร้ซึ่งคำพูด ทว่าก็ต้องตอบตามจริง “การประลองยุทธ์สำนักนั้นจัดขึ้นที่เมืองหลี่หยาง.”

“เมืองหลี่หยาง? ไม่ใช่ว่าเมืองที่มีตระกูลจุ้ยจื่ออยู่หรอกรึ?”

“ครับ เจ้าสำนัก.”

จุนซ่างเซียวที่เงียบไปชั่วครู่และกล่าวออกมาว่า “ไปบอกลู่เชียนเชียน ซูเซียวโม่และ เถียนซี เซียวจุ้ยจื่อด้วย เปิ่นจั้วจะเปิดฝึกฝนโหมดปิศาจให้กับพวกเจ้าตั้งแต่พรุ่งนี้.”

“ฝึกฝนโหมดปิศาจงั้นรึ?”ใบหน้าของหลี่ชิงหยางที่กลายเป็นโง่งม.

จุนซ่างที่ก้าวเข้าไป ตบไปที่บ่า กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “สิบวันหลังจากนี้งานประลองยุทธ์สำนัก เปิ่นจั้วจะส่งพวกเจ้าเข้าร่วมและจะต้องได้สามอันดับแรกด้วย.”

“หา?”

หลี่ชิงหยางที่กลายเป็นงงงวย.

......

หากภารกิจมหากาพย์ล้มเหลว จะถูกผนึกพลังฝึกตนสิบปี ถึงแม้นว่ามันจะเป็นโหมดนรก จุนซ่างเซียวก็ต้องทำมันอย่างเต็มกำลัง.

ลู่เชียนเชียนและหลี่ชิงหยางอาจจะมีโอกาสมากที่สุด ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ส่วนซูเซียวโม่และ เถียนซี แม้นว่าจะใช้ได้ ทว่าด้วยสิบวันกับการฝึกโหมดปิศาจ ย่อมสามารถยกระดับพวกเขาได้ไม่มากก็น้อย.

ส่วนเซียวจุ้ยจื่อที่เขาต้องการส่งไปประลองด้วยนั้น ก็เพื่อที่จะให้เขาได้พิสูจน์ตัวเอง แสดงให้ตระกูลเซียวและทุกคนได้เห็นว่าเขาไม่ใช่ขยะ.

เรื่องนี้ อาจจะยากสักเล็กน้อย......

เช้าวันถัดมา.

ยกเว้นคนที่ไปทำภารกิจ จุนซ่างเซียวได้ประกาศให้ศิษย์ทุกคนได้รับรู้ จากนั้นได้นำกลุ่มลู่เชียนเชียน ศิษย์ทั้งสี่มายังค่ายกลรวมวิญญาณระดับต้น เขากล่าวออกมาว่า ”พวกเจ้าจะต้องบ่มเพาะพลังให้มากกว่าสองชั่วยาม.

ซูเซียวโม่และ เถียนซีที่แววตาลุกโชนร้อนแรงขึ้นมาทันที.

ลู่เชียนเชียนที่เอ่ยสอบถามออกมา “เจ้าสำนักคิดจะส่งพวกเราเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนัก ของมนทลชิงหยางจริง ๆ รึ?”

จุนซ่างเซียวที่จ้องมองทุกคนด้วยแววตาจริงจัง “ไม่เพียงแค่เข้าร่วม ทว่าพวกเจ้าจะต้องได้สามอันดับแรกให้กับเปิ่นจั้ว!”

“ยาก.”ลู่เชียนเชียนกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย.

จุนซ่างเซียวกล่าว “ยากอย่างไรก็ต้องแข่ง บอกกับเปิ่นจั้วดัง ๆ ว่าพวกเจ้าจะทำสำเร็จ!”

“ทำได้!”

หลี่ชิงหยาง ซูเซียวโม่และเทียนหยางตะโกนรับเสียงดัง.

“ไปบ่มเพาะด้านในซะ!”

“รับทราบ!”

คนทั้งสี่ที่ก้าวเข้าไปในค่ายกล เริ่มบ่มเพาะพลัง.

......

ภายในห้องฝึกฝน.

เซียวจุ้ยจื่อที่ก้มหน้าก้มตากล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนัก ส่งศิษย์พี่คนอื่นเข้าร่วมเถอะ ศิษย์นั้นยากจะชนะใครได้ มีแต่จะเป็นภาระเปล่า ๆ.”

แม้นว่าด้วยห้องปั้นกล้ามเนื้อจะทำให้เขามองเห็นแสงความหวังที่จะแข็งแกร่ง ทว่าการเข้าร่วมประลองยุทธ์ของมนทลชิงหยาง สำหรับเขาแล้วก็ยังไม่มีความมั่นใจ.

จุนซ่างเซียวเอ่ย “นี่เจ้าต้องการจะหลบเลี่ยงหนีเช่นนี้อย่างงั้นรึ?”

เซียวจุ้ยจื่อกล่าวออกมาด้วยความเจ็บปวด “ศิษย์ไม่ต้องการให้สำนักเสียชื่อเสียงไปด้วย.”

หากเขาไปแล้ว ไม่ใช่เพียงตัวเขาเท่านั้นที่ถูกรังเกียจ และถูกดูแคลน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้สำนักไท่กู่เจิ้งแบกรับความอับอายคำว่าขยะไปพร้อมกับเขาด้วย.

จุนซ่างเซียวที่ตบไปที่บ่าของเซียวจุ้ยจื่อ กล่าวเสียงเคร่งขรึม “ภายในสิบวัน เปิ่นจั้วจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น จงไปแสดงพลังของเจ้าให้พวกเขาได้เห็น ถึงแม้นว่าเซียวจุ้ยจื่อคนนี้จะไม่มีรากวิญญาณ ไม่มีพลังบ่มเพาะ แต่ก็ยังคงเป็นสุดยอดพรสวรรค์ที่พันปีจะมีสักคน!”

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แม้แต่น้ำตาคลอ.

เซียวจุ้ยจื่อที่จ้องมองไปยังเจ้าสำนัก หัวใจที่รู้สึกค่อย ๆอบอุ่น ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจที่มากล้น แม้แต่ไม่เห็นว่าเขาเป็นคนไร้ค่า.........

“กึก แก๊ก!”

หมัดทั้งสองของเซียวจุ้ยจื่อที่กำแน่น กล่าวออกมาเสียงดัง.“ศิษย์เข้าใจแล้ว!”

“ฟิ้ว!”

จุนซ่างเซียวที่โบกมือ ส่งเข้าเข้าไปในห้องปั้นกล้ามเนื้อ เปิดใช้งานเวลา 10 ชั่วยาม.

ขณะถูกทุบด้วยค้อนที่เจ็บไปทั่วร่าง เซียวจุ้ยจื่อที่โคจรวิชาบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็นไปด้วย ซึ่งทำให้กายเนื้อของเขาถูกยกระดับขึ้นเป็นสองเท่า.

ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น!

ข้าจะต้องพิสูจน์ตัวเอง!

ข้าจะไม่ให้สำนักถูกดูถูกไปด้วย.

ด้วยความมุ่งมั่นหัวใจที่แข็งแกร่ง เซียวจุ้ยจื่อที่กินอาหารเพียงมื้อเดียว นอนเพียงหนึ่งชั่วยาม เวลาอื่น ๆ นั้นถูกใช้ไปในห้องปั้นกล้ามเนื้อ.

จุนซ่างเซียวใช้แต้ม 40 แต้มสนับสนุน ซื้อห้องปั้นกล้ามเนื้ออีกสองห้อง เพื่อให้หลี่ชิงหยาง ซูเซียวโม่และ เถียนซี หลังจากที่พวกเขาบ่มเพาะในค่ายกลรวมวิญญาณแล้ว พวกเขาก็จะถูกส่งเข้าห้องปั้นกล้ามเนื้อต่อ.

พวกเขาทั้งสามเองก็กินอาหารแค่มื้อเดียวเหมือนกัน นอนเพียงหนึ่งชั่วยาม เวลาครึ่งหนึ่งอยู่ในค่ายกลรวมวิญญาณ ครึ่งหนึ่งอยู่ในห้องปั้นกล้ามเนื้อ.

มีเพียงลู่เชียนเชียนที่ไม่ได้เข้าใช้ห้องปั้นกล้ามเนื้อ นางที่นั่งอยู่ในค่ายกลรวมวิญญาณดูดซับพลังวิญญาณอยู่ตลอดเวลา.

การฝึกฝนโหมดปิศาจของศิษย์ทั้งห้าได้เริ่มขึ้นแล้ว นั่นก็เพื่อที่จะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์สำนักที่กำลังจะเริ่มขึ้นนั่นเอง.

......

เมืองหลี่หยาง.

ขณะศิษย์ของเขากำลังฝึกฝนโหมดปิศาจอยู่นั้น จุนซ่างเซียวก็เดินทางมายังเมืองแห่งนี้.

ลานยุทธ์ทางทิศใต้ของเมือง อีกไม่กี่วันหลังจากนี้จะมีงานชุมนุมประลองยุทธ์สำนักขึ้นนั่นเอง เวลานี้เหล่าอาวุโสของสำนักต่าง ๆได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าโต๊ะลงทะเบียน สำหรับส่งรายชื่อศิษย์เพื่อที่จะเข้าร่วมงาน.

“ถัดไป.”

ชายวันกลางคนที่ตะโกนออกไปเสียงดัง.

จุนซ่างเซียวที่ก้าวเข้ามา.

ชายวัยกลางคนกล่าวโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง ขณะจุ่มหมึกเอ่ยออกมาว่า

“สำนัก.”

“ไท่กู่เจิ้ง.”

กึก.

ชายวัยกลางคนที่มือถือพู่กันชะงัก เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ.

เหล่าอาวุโสสำนักต่าง ๆ ที่มาลงทะเบียนถึงกับชะงักงันจดจ้องมองไปยังจุนซ่างเซียวด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อด้วยเช่นกัน.

“เฮ้ สำนักไท่กู่เจิ้งรึ?”

“นั่นไม่ใช่สำนักระดับเก้าหมู่บ้านชิงหยางหรอกรึ?”

“งานประลองสำนักที่จัดขึ้นสองปีครั้ง ที่มีเพียงสำนักระดับแปดเข้าร่วม นี่เขาคิดจะมาเข้าร่วมสนุกเท่านั้นรึไง?”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด