ตอนที่แล้วChapter 61 การฝึกฝนโหมดปิศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 63 ยกระดับสิ่งก่อสร้างสำนัก เปิดหอหลอมยา

Chapter 62 โปรดลบคำว่า ทายาทสายตรงของตระกูลเซียวออกด้วย.


หลังจากที่จุนซ่างเซียวเอ่ยชื่อสำนัก เหล่าผู้ฝึกยุทธ์รอบ ๆ ต่างก็พูดคุยกันเงียบ ๆ น้ำเสียงของพวกเขาส่วนใหญ่แล้ว เต็มไปด้วยความดูแคลนเหยียดหยัน.

นี่เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด.

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ถูกส่งเข้าร่วมล้วนแต่เป็นสำนักระดับแปดขึ้นไปเกือบหมด ตอนนี้มีสำนักระดับเก้าเข้ามาลงทะเบียน เป็นเรื่องที่พวกเขาคาดไม่ถึงแม้แต่น้อย.

“เฮ้อ.”

จุนซ่างเซียวถอนหายใจ.

เขาคาดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะถูกดูแคลนตั้งแต่ต้นเช่นนี้ กับการแบ่งแยกความแข็งแกร่งที่ชัดเจนในทวีปชิงหยุนเช่นนี้ เป็นโลกที่โหดร้ายจริง ๆ.

นับตั้งแต่ยุคโบราณ ทุกคนต่างก็ถูกแบ่งเป็นระดับต่าง ๆแล้ว.

ไม่ว่าจะเป็นสังคมใดก็จะมีผู้อยู่จุดสูงสุดและต่ำสุดเสมอ ผู้ที่ถูกจัดอยู่ในชนชั้นที่ต่ำสุด การจะลืมหูลืมตาก้าวขึ้นไปยังระดับชั้นที่สูงกว่า เป็นเรื่องที่ยากเจียนตาย.

สำหรับสำนักไท่กู่เจิ้ง ถือว่าเป็นสำนักชั้นต่ำสุดในโลกใบนี้ สถานะของพวกเขาแทบจะไม่อยู่ในสายตาของสำนักอื่น ๆ เลย.

รอก่อนเถอะ.

ข้าจะนำสำนักของข้า กลายเป็นตัวตนที่โผทะยานยืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุดในทวีปชิงหยุนแห่งนี้ ให้ทุกคนได้กราบแทบเท้าด้วยความเคารพ.

จุนซ่างเซียวหาได้สนใจสายตาดูแคลนของคนอื่น เส้นทางของเขายังอยู่อีกยาวไกล แม้ว่ามันจะยากลำบากเขาก็ต้องก้าวต่อไป ไม่มีเวลาที่จะสนใจคนเหล่านี้.

ชายวัยกลางคนที่เอ่ยออกมาเล็กน้อย “งานประลองยุทธ์สำนัก แม้ว่าจะไม่ได้กำหนดระดับสำนัก ทว่าการเข้าร่วมลงทะเบียนต้องให้ตัวตนระดับสูงในการยื่นเรื่อง เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์มีคุณสมบัติพออย่างงั้นรึ?”

“ป๊าบ.”

จุนซ่างเซียวที่นำตราเจ้าสำนักออกมา พร้อมกับกระดาบสีขาววางไว้บนโต๊ะ “เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง จุนซ่างเซียว.”

ท่าทางของเขาที่เผยความภาคภูมิอย่างที่สุด.

คนอื่นอาจจะดูถูกดูแคลนเขาได้ แต่เขาจะไม่มีทางดูแคลนตัวเองเด็ดขาด.

ชายวันกลางคนจ้องมองกระดาษรับรองด้านหน้า กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “แท้จริงแล้วก็เป็นเจ้าสำนักจุนนี่เอง เสียมารยาทแล้ว.”

“เขาคือเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งที่ชี้แนะอาวุโสนิกายเขาชางซานที่เมืองชิงหยางหรือไม่?”

“คาดไม่ถึงเลยว่าจะหนุ่มขนาดนี้.”

“ข้าได้ยินมาว่า เขามีพลังบ่มเพาะเปิดชีพจรชั้นสี่ ชั้นห้าเท่านั้น แต่กลับสามารถตัดแขนอาวุโสสำนักหลิงชวนที่มีพลังบ่มเพาะเปิดชีพจรขั้นสิบสองได้!”

“ข้าได้ยินมาเหมือนกัน แต่ข้าคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น.”

“เปิดชีพจรขั้นห้า จะไปทำร้ายเปิดชีพจรขั้นที่สิบสองได้อย่างไงกันล่ะ.”

เรื่องที่เกิดขึ้นที่งานรับศิษย์ร้อยสำนัก เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เมืองหลี่หยางได้ยินมาบ้าง ทว่าก็ไม่มีใครเห็นจริง ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่า เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น.

จุนซ่างเซียวหาได้สนใจคนที่ว่ากล่าวนินทาเผาขนเขาแต่อย่างใด เขาเอ่ยออกมาว่า “ไม่ได้มีข้อห้ามใดที่ห้ามสำนักระดับเก้าเข้าร่วม เจ้าจะรออะไรอีกล่ะ ไม่สอบถามข้อมูลรับลงทะเบียนต่อรึ? หรือว่าจะเชิญข้านั่งดื่มชาก่อนรึอย่างไร?”

ใบหน้าของชายวัยกลางคนถึงกับกระตุก ทว่าด้วยภาระหน้าที่ เขาจึงระงับความโกรธเอาไว้และสอบถามต่อทันทีที “มีศิษย์เข้าร่วมกี่คน?”

“ห้าคน.”

“ชื่อ อายุ.”

“ลู่เชียนเชียน 16ปี หลี่ชิงหยาง 17 ปี ซูเซียวโม่ 16 ปี  เถียนซี 18 ปี เซียวจุ้ยจื่อ 17 ปี.”

ชายวัยกลางคนที่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “คนสุดท้ายนี้ใครนะ?”

“เซียวจุ้ยจื่อ.”จุนซ่างเซียวที่กล่าวซ้ำ.

“เซียวจุ้ยจื่อ?”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ไกลออกไป ต่างก็หัวเราะขึ้นมาในทันที “ไม่ใช่ขยะที่ถูกไล่ออกจากตระกูลเซียวหรอกรึ?”

“ฟิ้ว!”

จุนซ่างเซียวที่หันขวับ จ้องมองเขาด้วยแววตาเย็นชา “ลองพูดอีกครั้งดูสิ?”

แววตาที่เย็นยะเยือบ เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร ผู้ฝึกยุทธ์คนดังกล่าวที่หัวเราะเยาะ ทันใดนั้นถึงกับถอยหลังไปสองสามก้าว ขนลุกทั่วร่างตั้งชูชันทันที!”

ชายวัยกลางคนที่เอ่ยกล่าวออกมาเบา ๆ “เซียวจุ้ยจื่อคือคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทายาทของตระกูลเซียวใช่รึไม่?”

“โปรดลบคำว่า”ทายาท“ออกจากตระกูลเซียวด้วย เขาคือศิษย์ที่หายากของเปิ่นจั้ว.”จุนซ่างเซียวกล่าว.

ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสุดยอดพรสวรรค์ เป็นอนาคตของตระกูลใหญ่ แต่เพราะว่าพลังบ่มเพาะหดหาย จึงถูกไล่จากตระกูลตั้งแต่อายุ 12 กับตระกูลเช่นนี้ จุนซ่างเซียวคิดว่าไม่คู่ควรต่อเซียวจุ้ยจื่อแม้แต่น้อย การเอ่ยกล่าวถึง เป็นการเสียเกียรติยิ่งนัก.

ชายวัยกลางคนเข้าใจได้ พร้อมกับเขียนชื่อลงในแผ่นไม้ไผ่ห้าอันก่อนที่จะโยนกลับมา เอ่ยออกไปว่า “ในวันประลองยุทธ์ ให้ศิษย์ของเจ้าใช้มันยืนยันสถานะ หากทำหายจะต้องจ่ายค่าปรับ.”

จุนซ่างเซียวที่รับป้ายไม้ไผ่มา ขณะก้าวจากไป.

เขาที่หยุดที่ด้านหน้าผู้ฝึกยุทธ์คนก่อนหน้านี้ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กล้าด่าศิษย์เปิ่นจั้วว่าเป็นขยะอีก ครั้งหน้าข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่.....”

“ฮือ ฮา!”

เสียงดังฮือฮาดังขึ้นรอบ ๆ ทันที ฝ่ายตรงข้ามถึงกับหวาดผวาไปตาม ๆ กัน.

“ฮึ.”

จุนซ่างเซียวกล่าวหยัน “เพียงแค่นี้ก็ตื่นตกใจแล้ว ข้ารู้แล้วว่าใครกันแน่ ที่เป็นขยะ.”

“น่ารังเกียจ!”

ผู้ฝึกยุทธ์คนดังกล่าว ได้แต่กล้ำกลืนไม่กล้าบุกเข้าไป เพราะว่าภายในเมืองนั้นห้ามต่อสู้โดยเด็ดขาด แต่กระนั้นพวกเขากับรู้สึกหวาดกลัวสายตาของฝ่ายตรงข้ามอยู่เล็กน้อย.

จุนซ่างเซียวจากไปแล้ว.

ทว่าขณะที่เขาจากไปไม่นาน เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มาลงทะเบียนได้พูดคุยเรื่องดังกล่าวกันไม่หยุด.

“เซียวจุ้ยจื่อจะต้องเป็นเซียวจุ้ยจื่อของตระกูลเซียวแน่ ตั้งแต่กลายเป็นขยะถูกไล่ออกจากตระกูล ก็เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง.”

“หากเป็นเมื่อครั้งที่เขามีพรสวรรค์และมีพลังบ่มเพาะ ไม่ใช่แค่นิกายระดับสี่และห้าเท่านั้น แม้แต่นิกายระดับสองหรือสามก็ยังต้องการเขา ช่างน่าเสียดายเวลานี้เขากลายเป็นเพียงขยะ แม้แต่สำนักระดับเก้ายังต้องคิดหนักเลย.”

“ไม่รู้ว่าตระกูลเซียวได้ยินว่าลูกหลานที่ไล่ออกจากตระกูล เข้าร่วมสำนักระดับต่ำ จะรู้สึกอย่างไร?”

......

เมืองหลี่หยาง ตระกูลเซียว นี่คือตระกูลเก่าแก่ที่มีความเป็นมาหลายร้อยปี มีความแข็งแกร่งและธุรกิจที่กว้างขวาง มีชื่อเสียงมากยิ่งกว่าตระกูลหลี่เมืองชิงหยางซะอีก.

ในวันนี้ อาวุโสใหญ่ตระกูลเซียวที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่.

ประมุขตระกูลเซียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก ยกน้ำชาขึ้นจิบ กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “อาวุโสใหญ่ มีเรื่องอะไรอย่างงั้นรึ?”

อาวุโสใหญ่ที่กล่าวออกมาด้วยความโกรธ “ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาจากด้านนอก ว่าขยะที่ถูกไล่ออกจากตระกูล เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง และเวลานี้ยังเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนักอีกด้วย.”

“โอ้ว?”

ประมุขตระกูลเซียวที่เผยท่าทางประหลาดใจออกมา.

อาวุโสใหญ่ที่ทุบลงไปบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิดเป็นอย่างมาก กล่าวออกมาว่า “ตระกูลเซียวที่มีประวัติความเป็นมา กว่าสองร้อยปี ความแข็งแกร่งที่ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าสำนักระดับแปดเลย แต่ขยะนั่นกับเข้าร่วมสำนักระดับเก้า ไม่ใช่ว่าจงใจทำให้ตระกูลเซียวของพวกเราขายหน้าหรอกรึ?”

ประมุขตระกูลเซียวที่ยกน้ำชาขึ้นดื่ม ก่อนที่จะวางลง และเอ่ยออกมาว่า “เขาถูกไล่ออกไปแล้ว แม้แต่กลายเป็นขอทาน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเซียวอีก ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ.”

“พูดเช่นนั้นได้อย่างไร.”

“เรื่องนี้จะต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง แม้แต่ปล่อยข่าวนี้ออกมาแน่ เวลานี้มันกระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว จนตระกูลเซียวของพวกเรากลายเป็นตัวตลกไปแล้ว!”

“ข้าขอให้ประมุข มอบเหล้าพิษให้มันดื่ม ตายไปพร้อมกับพ่อแม่มัน ไม่ใช่แค่ไล่มันออกจากตระกูล!”

ยากที่จะเห็นอาวุโสใหญ่โกรธเกรี้ยว เซียวจุ้ยจื่อมากมายขนาดนี้.

ประมุขตระกูลเซียวที่วางน้ำชา พร้อมกับหมุนถ้วยน้ำชาไปมา กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “การจะสังหารขยะไร้ค่า ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายมาก ๆ รึ? ในความเห็นของข้า อาวุโสใหญ่ไม่เห็นจะต้องโกรธเกรี้ยวขนาดนี้เลย.”

......

ภายในลานสวนด้านใน.

“เจ้าได้ยินหรือไม่ ขยะเซียวจุ้ยจื่อเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง และยังเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนักที่จะจัดขึ้นที่เมืองลี่หยางด้วย.”

“ไม่มีรากวิญญาณ ไม่มีพลังบ่มเพาะ ไม่คิดเลยว่า มันจะกล้ามายังเมืองลี่หยาง?”

“งานประลองยุทธ์สำนักนั้นมีถังเกอเข้าร่วมด้วยหลายคน อาจจะได้พบกับเจ้าขยะนั่นก็ได้?”

(堂哥 tánggē (ถังเกอ) พี่ชายฝั่งพ่อ)

“งานประลองยุทธ์สำนักนั้นมีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก การที่ถังเกอพบกับเจ้าขยะนั้น คงจะยากสักหน่อย.”

“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น งานประลองยุทธ์สำนักที่จัดขึ้น ไม่เคยเห็นขยะเข้าร่วมเลย มันเริ่มทำให้ข้าสนใจเหมือนกัน.”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการเห็นเจ้าขยะถูกรังแกหรอกรึ?”

เหล่าผู้เยาว์ตระกูลเซียวต่างก็รวมตัวกันพูดคุยถึงเรื่องของเซียวจุ้ยจื่อ แววตาของทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความดูแคลนเหยียดหยันอย่างที่สุด.

ทุกคนต่างสนุกปาก กล่าวล้อเลียนขยะของตระกูล แม้แต่ด่าว่าพร้อมกับเสียงหัวเราะ อย่างไรก็ตามในเวลานี้ภายในสำนักไท่กู่เจิ้ง ภายในห้องฝึกฝน ห้องปั้นกล้ามเนื้อที่กำลังบีบอัดทับร่างกายของเซียวจุ้ยจื่ออย่างบ้าคลั่งโหดร้าย.

ถึงไม่มีพรสวรรค์ แต่กลับมีหัวใจที่ทรหดเป็นอย่างมาก!

“แข็งแกร่ง ข้าต้องแข็งแกร่ง!”

ผ่านไปอีกหนึ่งคืน เซียวจุ้ยจื่อที่โคจรวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นฟาดหมัดไปยังเครื่องทดสอบความแข็งแกร่ง ที่หน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อไหลออกมาเต็ม แม้แต่หมัดของเขายังมีโลหิตไหลซึมออกมาด้วย.

จุนซ่างเซียวที่นอนอยู่บนหลังคาห้องโถง จดจ้องมองไปยังฝั่งของห้องฝึกฝนได้ยินเสียงหมัดที่โจมตีทดสอบเครื่องวัดความแข็งแกร่ง เขาเอ่ยเสียงเบา “กับคำดูถูกดูแคลน และความเจ็บปวดทั้งหมดที่ได้รับ จงเปลี่ยนมันเป็นความแค้นและใช้ในงานประลองยุทธ์สำนักซะ.”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด