ตอนที่แล้วบทที่ 45: ดุจอสูรและปีศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 47 : การต่อสู้อันดุเดือดกับหมาป่าทมิฬขั้นสาม

บทที่ 46: เผชิญหน้าสัตว์อสูร


บทที่ 46: เผชิญหน้าสัตว์อสูร

ลู่หยุนและเสี่ยวเฉินต่างก็หยิบตำราเล่มเก่าๆ ที่เป็นสีเหลืองขึ้นมาแล้วพลิกดู

ในมือของลู่หยุน มีคัมภีร์วรยุทธ์ที่ชื่อ วิชากระบี่พยัคฆ์ทมิฬ ซึ่งเป็นวิชายุทธ์ชั้นยอด

ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งในมือของเสี่ยวเฉินก็คือวิชาดาบชื่อ วิชาดาบพริบตา ซึ่งเป็นวิชายุทธ์ชั้นยอด

ขณะที่ลู่หยุนใช้กระบี่และเสี่ยวเฉินใช้ดาบ วิชายุทธ์ทั้งสองนี้จึงดูเหมือนกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ

“เราจะจัดการกับหีบสมบัติทั้งสองหีบนี้ยังไงดี?” หลังจากเก็บตำรายุทธ์ไปแล้ว ลู่หยุนก็ถามด้วยท่าทางค่อนข้างลำบากใจ

หีบแต่ละใบมีน้ำหนักอย่างน้อยๆ ห้าสิบกิโล ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าจะสามารถแบกพวกมันกลับไปได้

“เรื่องนั้นง่ายมาก”

ทันทีที่สิ้นเสียงตอบ เสี่ยวเฉินก็หยิบถุงผ้าสีเหลืองใบเล็กออกมา ทันใดนั้น เขาก็เก็บหีบใหญ่ทั้งสองใบเข้าไปข้างใน

ลู่หยุนรู้ได้โดยธรรมชาติว่าถุงผ้าใบเล็กนั้นเป็นกระเป๋ามิติ

กระเป๋ามิติถึงแม้จะมีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่ภายในก็มีพื้นที่ใหญ่เป็นตารางเมตร

และแม้พื้นที่จะเล็ก แต่มันก็ใช้งานได้จริง และราคาของมันก็สูงมากด้วยเช่นกัน โดยมีราคาอย่างน้อยหมื่นตำลึงต่อถุง

ลู่หยุนเคยเห็นมันมาก่อน แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่มีคะแนนการมีส่วนร่วมไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงมองข้ามมันไป

โถงกิจการภายในของสถาบันศึกษาวรยุทธ์ไม่เพียงแต่จะมีกระเป๋ามิติเท่านั้น แต่มันยังมีแหวนมิติอีกด้วย

พื้นที่ภายในกระเป๋ามิติจะมีขนาดใหญ่สุดประมาณ 1 ตารางเมตรเท่านั้น

แต่แหวนมิตินั้นแตกต่างออกไป ขนาดพื้นที่ภายในนั้นมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้ว พวกมันก็มีพื้นที่เริ่มต้นที่ 10 ตารางเมตร

แหวนมิติในโถงกิจการภายในมีสามขนาด มีสิบ ห้าสิบและหนึ่งร้อยตารางเมตร

เนื่องจากแม้แต่กระเป๋ามิติเขาก็ยังไม่มีปัญญาจ่าย ดังนั้นลู่หยุนจึงไม่ได้สนใจจะดูราคาของแหวนมิติเลย

“กระเป๋ามิติค่อนข้างมีประโยชน์ มันคุ้มค่าที่จะครอบครอง ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราออกไปข้างนอก เราก็แบกทุกอย่างไปด้วยไม่ได้” เสี่ยวเฉินพูดอย่างสบายๆ ขณะที่เขาผูกกระเป๋ามิติไว้ที่เอวของเขา

“ถึงอย่างนั้นกระเป๋ามิติก็มีขนาดเล็กเกินไป ดังนั้นข้าจึงสนใจแหวนมิติมากกว่า”

เสี่ยวเฉินมองลู่หยุนด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะตอบกลับว่า “หลังจากที่เราจัดการกับเรื่องนี้เสร็จแล้วและกลับไปที่สถาบันศึกษาวรยุทธ์แล้ว เราก็จะแบ่งมันด้วยกัน”

“ย่อมได้”

ไม่นานทั้งสองก็ออกจากห้องลับ

ขณะที่พวกเขาออกไปข้างนอก พวกเขาก็เห็นหัวหน้าหวังซึ่งเพิ่งจะกลับมา

หัวหน้าหวังมีเหงื่อบนหน้าผากและหายใจหอบเล็กน้อย หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เขาก็พูดช้าๆ ว่า “เจ้านั่นเร็วเกินไปและรู้จักภูมิประเทศแถบนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นข้าจึงตามมันไม่ทัน”

เสี่ยวเฉินไม่ได้สนใจ แต่ลู่หยุนก็ถามอย่างสงสัยว่า “แล้วใครคือคนที่หนีไปได้?”

“อู๋เซิง มันคือที่ปรึกษาและเป็นรองเพียงหัวหน้าหมู่บ้านซ่งซิงเท่านั้น” หัวหน้าหวังตอบ

“อู๋เซิง?”

ลู่หยุนสงสัยเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีก เขากลับจุดคบเพลิงแล้วโยนเข้าไปในบ้านแทน

ในไม่ช้า เปลวเพลิงก็ลุกไหม้บ้านด้านหลังพวกเขาและลามไปยังอาคารใกล้เคียง

เมื่อเห็นเพลิงไหม้ลามขยายใหญ่ขึ้น ลู่หยุนก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬจะเหลือแค่เพียงนามเท่านั้น และจุดหมายต่อไป กลุ่มหมาป่าทมิฬ!”

ระหว่างทาง หัวหน้าหวังอธิบายให้ลู่หยุนและเสี่ยวเฉินทราบเกี่ยวกับสถานการณ์และรายละเอียดของกลุ่มหมาป่าทมิฬ

เหตุผลที่ว่าทำไมกลุ่มหมาป่าทมิฬจึงถูกตั้งชื่อเช่นนี้ก็เป็นเพราะผู้นำของพวกเขาครอบครองสัตว์อสูรหมาป่าทมิฬที่อยู่ขั้นสองขั้นสูงสุด

นอกจากนี้ เนื่องจากสัตว์อสูรตัวนี้ กลุ่มหมาป่าทมิฬจึงสามารถเอาชีวิตรอดมาจากการกวาดล้างในมณฑลเมฆาเขียวและยังสามารถตั้งถิ่นฐานกลับขึ้นมาในเทือกเขาเมฆาเขียวได้

ด้วยสัตว์อสูรขั้นสองขั้นสูงสุดนี้เอง ฐานที่มั่นของกลุ่มหมาป่าทมิฬนั้นจึงอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาเมฆาเขียวมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ

ในขณะที่ทั้งสามคนเดินหน้าต่อไป ลู่หยุนก็เริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่เป็นเพราะพวกเขากำลังเข้าใกล้ส่วนลึกของเทือกเขาเมฆาเขียวมากขึ้นเรื่อยๆ และความเป็นไปได้ในการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกก็คือพวกเขาไม่ได้พบกับสัตว์อสูรใดๆ เลยในระหว่างทาง และไม่เคยเห็นแม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างกระต่ายด้วย

ความผิดปกติทั้งหมดนี้ทำให้ทั้งสามคนระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ลู่หยุนถึงกับชักกระบี่หัวพยัคฆ์ออกมาจากฝักและกำมันไว้แน่นเพื่อเตรียมพร้อมสู้

ตราบเท่าที่อันตรายปรากฏขึ้น เขาก็จะรีบจัดการปิดฉากมันลงให้ได้โดยเร็วที่สุด

และไม่ต้องพูดถึงเรื่องความคมและความแข็งแกร่งของกระบี่หัวพยัคฆ์เล่มนี้เลย แค่ออร่าพลังของลู่หยุนเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับสัตว์อสูรขั้นสองทั้งหมด

“ห้ะ?” ทันใดนั้นดวงตาของลู่หยุนก็จับจ้องไปที่คราบเลือดบนวัชพืชและพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล

“สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นร่องรอยที่พวกสัตว์อสูรและสัตว์ป่าทิ้งไว้ในตอนที่พวกมันถูกล่า อย่างไรก็ตาม เราก็อยู่ไม่ไกลจากฐานทัพของกลุ่มหมาป่าทมิฬแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ควรจะมีสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรปรากฎตัวขึ้นที่นี่สิ?” หัวหน้าหวังกล่าวอย่างงงงวย

คำพูดของเขายังได้จุดประกายความสงสัยของลู่หยุนกับเสี่ยวเฉินขึ้นมาด้วย

พวกเขาทั้งสามคนเดินหน้าต่อไป และในระหว่างทาง พวกเขาก็เห็นรอยเลือดมากมายและแม้แต่เศษแขนขาของสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ซึ่งดูน่าตกใจ

“นั่น… รอยเท้าหรอ?” ทันใดนั้นดวงตาของเสี่ยวเฉินก็ถูกดึงดูดโดยร่องรอยบางอย่างข้างๆ ซากกวาง

ลู่หยุนเองก็หันไปมองที่รอยเท้าด้วยเช่นกัน รอยเท้าขนาดมหึมาได้สร้างแรงสั่นสะท้านให้กับจิตใจของเขา

รอยเท้านี้มีความกว้างหนึ่งไม้บรรทัดและยาวเกือบเมตร หากมันเป็นรอยเท้าจริงๆ เจ้าของรอยเท้านี่ก็จะต้องน่ากลัวมากแน่นอน

ท้ายที่สุดแล้ว สัตว์อสูรธรรมดาบ้านไหนกันจะสามารถมีรอยเท้าใหญ่ขนาดนี้ได้? เจ้าของรอยเท้านี้จะต้องใหญ่โตและทรงพลังขนาดไหนกัน?

“เป็นไปได้ไหมว่าสัตว์อสูรภายในส่วนลึกของเทือกเขาเมฆาเขียวจะได้ปรากฎตัวออกมาแล้ว?”

ใบหน้าของหัวหน้าหวังซีดลงเมื่อเห็นรอยเท้าขนาดมหึมา

“ถ้าเป็นสัตว์อสูรที่ออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาจริงๆ งั้นการทำภารกิจต่อไปก็คงจะอันตรายแน่นอน”

เสี่ยวเฉินพูดอย่างไม่แยแส “หัวหน้าหวัง ถ้าท่านกลัว ท่านก็สามารถกลับไปก่อนได้เลย น้องลู่และข้าจะไปต่อตามลำพังเอง”

“ฮ่าฮ่า อย่าพูดแบบนั้นสิ นอกจากนี้ เราก็ยังเกือบจะถึงที่นั่นแล้ว โอกาสที่เราจะเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรนั้นน่าจะน้อยมาก”

ทันใดนั้น จู่ๆ ลู่หยุนก็ชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “หัวหน้าหวัง ดูนั่นสิ มีกลุ่มอาคารตั้งอยู่ที่นั่น นั่นคือฐานของกลุ่มหมาป่าทมิฬใช่ไหม?”

หัวหน้าหวังรีบมองไปในทิศทางที่ลู่หยุนชี้ และในไม่ช้าเขาก็ยิ้มออกมา

“ใช่แล้ว นั่นคือฐานทัพของกลุ่มหมาป่าทมิฬ”

ด้วยการยืนยันของหัวหน้าหวัง ทั้งลู่หยุนและเสี่ยวเฉินก็ยิ้มและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ

การเข้าไปลึกกว่านี้อีกจะเป็นอันตรายต่อพวกเขาด้วยเช่นกัน

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ ข้างในเป็นกลุ่มอาคารไม้ซึ่งเมื่อพิจารณาจากขนาดแล้ว มันก็สามารถรองรับคนได้อย่างน้อยสองถึงสามร้อยคน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่ไม่มีการลาดตระเวนโดยรอบเลย และสถานที่แห่งนี้ก็ยังเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

มันเงียบจนทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง

“กลิ่นเลือดฉุนมาก!” เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว

เมื่อสายลมพัดผ่านมา ลู่หยุนก็ตรวจพบกลิ่นคาวเลือดที่ฉุนและรุนแรงตามที่เสี่ยวเฉินพูดถึง

“โครกกกก!”

ในขณะนั้นเอง เสียงคำรามของสัตว์อสูรก็ดังมาจากด้านหลังประตู มันทำให้ประตูที่ค่อนข้างทรุดโทรมอยู่แล้วส่งเสียงดังเอี๊ยด และต้นไม้โดยรอบก็สั่นสะเทือนเสียงดัง...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด