บทที่ 45: ดุจอสูรและปีศาจ
บทที่ 45: ดุจอสูรและปีศาจ
หัวหน้าหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลรินบนใบหน้าของเขา
ถึงอย่างนั้น ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า เขาจึงยังคงจับกระบี่หัวพยัคฆ์ของเขาเอาไว้แน่น
“เป็นไปไม่ได้! เจ้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง!”
เขาถือกระบี่หัวเสือไว้ในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งกดเอวที่มีเลือดไหลไว้ สายตาของเขาจดจ้องไปที่ลู่หยุนอย่างเหลือเชื่อ
ลู่หยุนเพิกเฉยต่อคำพูดของอีกฝ่าย เขามองไปมาระหว่างกระบี่หัวเสือของหัวหน้าหมู่บ้านกับกระบี่หักในมือของเขา จากนั้นเขาก็ส่ายหัว
เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมด้วยแววตาอันเย็นชา เลือดสดยังคงหยดลงมาจากใบกระบี่ที่หัก
“พวกเจ้ายังมัวรออะไรอีก? รีบฆ่ามันซะ!”
หัวหน้าหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬซ่งซิงตะโกนเสียงดังใส่พวกโจรที่อยู่ข้างหลังเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองย้อนกลับไป พวกโจรทั้งหมดต่างก็กำลังสั่นสะท้านด้วยความกลัวหรือไม่ก็ได้นอนจมกองเลือดไปแล้ว
ขณะเดียวกัน พวกโจรที่ยังรอดชีวิตอยู่ก็กำลังวิ่งหนีออกไปจากหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม ในชั่วพริบตา โจรที่กำลังวิ่งงหลบหนีด้วยความตื่นตระหนกอยู่ก็ต้องหยุดนิ่งไปโดยทันที พวกเขาชูมือทั้งสองข้างขึ้นคว้าคอของตนและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะหยุดเลือดสดไม่ให้ไหลพุ่งออกมา
ในไม่ช้า แววตาของพวกเขาก็สิ้นประกายแสง และพวกเขาก็ได้สูญเสียพลังชีวิตไป
“กระบี่ของเจ้าเป็นของข้าแล้ว!”
ลู่หยุนโยนกระบี่ที่หักทิ้งลงบนพื้น เขากำหมัดแน่นพร้อมกับปล่อยออร่าหยางพิสุทธิ์ออกมาคลุมหมัดและชกใส่หัวหน้าหมู่บ้านซ่งซิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
บู้มมมม!
ราวกับเสียงฟ้าร้องคำรามดังฟาดลงมาโดยไม่คาดคิด ซ่งซิงถูกโยนกระเด็นกลับไปโดยทันที แม้แต่กระบี่หัวเสือก็ยังหลุดกระเด็นออกจากมือของเขาและตกลงตรงหน้าลู่หยุน
ลู่หยุนหยิบกระบี่หัวเสือขึ้นมาจากพื้นและค่อยๆ ลูบนิ้วมือลงบนใบกระบี่ ความรู้สึกอันหนาวเย็นเคลื่อนขึ้นมาจากปลายนิ้วสู่จิตใจ “กระบี่ดี!”
ดวงตาของลู่หยุนเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจโดยไม่คิดจะปิดบัง
“เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับของขวัญของเจ้า ข้าจะมอบสิทธิพิเศษให้เจ้าได้เป็นเหยื่อรายแรกของกระบี่เล่มนี้!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซ่งซิงก็สั่นเทาด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเพลิงแค้น เขาหวังว่าเขาจะสามารถฆ่าเจ้าเด็กเหลือขอตรงหน้าเขาให้ตายได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว และลู่หยุนก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มบ้านนอกที่เขาจะสามารถฆ่าฟันหรือรังแกได้อีกต่อไป
ด้วยการแกว่งกระบี่เพียงครั้งเดียว หัวศีรษะขนาดกลมโตก็หล่นลงไปกลิ้งอยู่บนพื้น และร่างขนาดมหึมาของหัวหน้าหมู่บ้านซ่งซิงก็ล้มลงพร้อมกับเสียงกระแทกดังลั่น
มันเหลือเพียงความเงียบในห้องโถงภักดีชอบธรรม
มันคือความเงียบที่ทำให้จิตใจสั่นไหว
เสี่ยวเฉินยืนนิ่งพร้อมกับดาบในมือของเขา เขามองดูเหล่าโจรที่กำลังกลัวจนตัวสั่นอย่างเย็นชา ออร่าพลังปราณอันทรงพลังของเขาทำให้ร่างกายของพวกมันสั่นสะท้านมากยิ่งขึ้น
โจรส่วนใหญ่อยู่ในขอบเขตยุทธ์เท่านั้น และมันก็มีเพียงบางคนเท่านั้นที่โชคดีพอจะอยู่ในขอบเขตเส้นลมปราณขั้นต้น
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะโชคดียังไง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคมดาบของเสี่ยวเฉิน โชคดีก็ยังสามารถแปรเปลี่ยนเป็นโชคร้ายได้
และสิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวของเด็กทั้งสอง
คนหนึ่งทรงพลังราวกับอสูร ส่วนอีกคนก็เย็นชาราวกับปีศาจ!
เกือบจะพร้อมๆ กัน ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของพวกโจรที่กำลังหวาดกลัวจนสั่นสะท้าน
ลู่หยุนถือกระบี่หัวพยัคฆ์ซึ่งยาวเกือบครึ่งหนึ่งของเขาและเดินกลับเข้ามาในโถงภักดีชอบธรรม
ในช่วงเวลาที่เขากำลังจัดการกับหัวหน้าหมู่บ้านซ่งซิงอยู่นั้น เสี่ยวเฉินก็ได้สังหารเหล่าโจรไปหลายสิบคนแล้ว และโจรที่เหลือก็หวาดกลัวกับความแข็งแกร่งของเขา
ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่น่าเกรงขามนี้น่าทึ่งอย่างแท้จริง!
เมื่อเห็นลู่หยุนเดินกลับเข้ามา เสี่ยวเฉินก็พยักหน้าเล็กน้อย
ความจริงที่ว่าลู่หยุนได้สังหารหัวหน้าหมู่บ้านซ่งซิงซึ่งอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตเส้นลมปรารด้วยการเคลื่อนไหวเพียงสามถึงสี่ครั้งนั้นแสดงให้เห็นแล้วว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นสูงกว่าที่เสี่ยวเฉินคาดการณ์ไว้เสียอีก
ลู่หยุนเองก็ยิ้มให้เสี่ยวเฉินเช่นกัน “ว่ากันว่าผู้ฝึกดาบจะมีการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว และวันนี้ข้าก็ได้มาเห็นมันกับตาตัวเองแล้ว!”
“พวกนี้มันก็แค่พวกลิ่วล้อ!”
เสี่ยวเฉินส่ายหัว จากนั้นสายตาของเขาก็ดูเย็นชาชึ้นในขณะที่เขามองไปที่โจรที่เหลืออยู่ในห้องโถง
“แต่ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงพวกลิ่วล้อ แต่พวกมันก็ยังเป็นพวกสารเลวที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร้เมตตาด้วย!”
ขณะที่เขาพูด เขาก็สะบัดดาบยาวของเขา แสงดาบหลายสายพุ่งออกมาโดยทันที แสงดาบนั้นเหมือนกับดวงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับพร่างพราว มันทำให้พวกโจรตาบอดและทำให้พวกมันสูญเสียการรับรู้ทิศทาง
เมื่อแสงดาบหายไป เสี่ยวเฉินก็ได้เก็บกระบี่ของเขากลับเข้าฝัก ทั้งร่างกายและแม้แต่ใบดาบไม่มีเลือดติดอยู่เลยแม้แต่หยดเดียว ราวกับว่าการต่อสู้อันดุเดือดที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
เมื่อมองดูศพที่ร่วงหล่นล้มลงกับพื้น ลู่หยุนก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
เสี่ยวเฉินพูดถูก แม้ว่าโจรเหล่านี้จะสูญเสียผู้นำไปแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนธรรมดา พวกมันก็ยังคงเป็นตัวอันตรายที่ต้องถูกกำจัดอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ก็ยังเป็นพวกมือเปื้อนเลือดกันทั้งนั้น ดังนั้นการสังหารหมู่พวกมันในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรทำแล้ว
“อืม หัวหน้าหวังหายไปอยู่ไหนกัน?”
ทันใดนั้นลู่หยุนก็ตระหนักได้ว่าหัวหน้าหวังซึ่งบุกเข้ามาในโถงภักดีชอบธรรมพร้อมๆ กับพวกเขาได้หายตัวไป
“มีโจรคนหนึ่งวิ่งหนีไปก่อนหน้านี้ และหัวหน้าหวังก็ได้ไล่ตามมันไป!” เสี่ยวเฉินตอบแล้วเริ่มค้นซากศพ
ลู่หยุนผงะกับการกระทำของเขา
แต่หลังจากชะงักไปไม่นาน เขาก็เริ่มก้มลงและดำเนินการค้นศพร่วมกับเสี่ยวเฉิน
หลังจากผ่านไปสิบห้านาที ทั้งสองก็มองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มให้กันและกัน
การเก็บเกี่ยวครั้งนี้ได้มาไม่มากนัก ลู่หยุนพบเงินเพียงสองร้อยตำลึงกว่าเท่านั้น
ถึงอย่างนั้น เมื่อมองว่ามันเป็นรายได้พิเศษ ลู่หยุนก็รู้สึกค่อนข้างพึงพอใจกับมัน
“จะว่าไปเราลืมจับตัวประกันไว้รึเปล่า?” ดูเหมือนเขาจะเพิ่งคิดอะไรขึ้นได้ และเสี่ยวเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่อุทานออกมา
“ห้ะ?”
เมื่อเห็นการจ้องมองที่งุนงงของลู่หยุน เสี่ยวเฉินจึงกล่าวต่อว่า “มันน่าจะมีห้องเก็บสมบัติอยู่ในหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ ดังนั้นหากไม่มีใครนำทาง พวกเราก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะหามันพบ”
“ใช่แล้ว ข้าลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ!”
ลู่หยุนกระทืบเท้าแล้วพูดกับเสี่ยวเฉินว่า “ตามข้ามา!”
เสี่ยวเฉินไม่ได้สงสัยอะไร เขาเดินตามลู่หยุนออกไปจากห้องโถงภักดีชอบธรรมและมุ่งหน้าไปยังอาคารที่พักอาศัย
ลู่หยุนมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง และหลังจากเข้าไปในห้องด้านใน ออร่าหยางอันทรงพลังก็รวมตัวกันบนใบกระบี่ จากนั้นเขาก็ฟันออกไปในแนวนอนและทำให้ผนังตรงหน้าพังทลายลงโดยทันที
ตามที่ลู่หยุนคาดไว้ มันมีอีกโลกหนึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังกำแพงจริงๆ
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าจะมีห้องลับอยู่ที่นี่? ราวกับว่าเจ้าเคยมาที่นี่มาก่อนเลย” เสี่ยวเฉินมองดูลู่หยุนด้วยความประหลาดใจ
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าลู่หยุนมาที่นี่พร้อมกันกับเขา เขาก็อาจคิดว่าลู่หยุนเป็นสมาชิกของหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬได้
“ในหมู่บ้านทั้งหมด หัวหน้าหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬก็ดำรงตำแหน่งสูงสุด และโดยธรรมชาติแล้ว ห้องเก็บสมบัติก็มักจะได้รับการดูแลโดยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้สูงที่มันจะถูกเก็บเอาไว้ในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน”
“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า และมันก็โชคดีที่ข้าเดาไม่ผิด”
หลังจากพูดจบแล้ว ลู่หยุนก็เดินไปข้างหน้า
มีหีบขนาดใหญ่ทั้งหมดสามหีบที่นี่ และด้วยการสะบัดมือขวาของลู่หยุน ล็อคบนหีบก็พังลง
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้เราจะได้กำไรมางามๆ เลยนะ!”
เมื่อมองดูเงินที่ส่องประกายอยู่ข้างหน้าเขา ลู่หยุนก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วปิดหีบ
จากนั้นเขาก็เปิดหีบอีกสองใบ
อย่างไรก็ตาม คราวนี้มันก็มีคนเร็วกว่าเขาแล้ว ลู่หยุนหัวเราะเบาๆ และส่ายหัว
คนที่เปิดหีบคือเสี่ยวเฉิน ซึ่งดูเหมือนจะมีทักษะและความเชี่ยวชาญมากกว่าลู่หยุนมาก
ดวงตาของลู่หยุนจ้องมองไปที่หีบสมบัติทั้งสอง อันหนึ่งบรรจุอัญมณีหลากสีสันและเครื่องประดับเงินที่แวววาวเอาไว้
ขณะที่อีกหีบหนึ่งว่างเปล่า มันมีเพียงตำราหนังสือเล่มสีเหลืองสองเล่มวางไว้อยู่ข้างในเท่านั้น
“นี่คือตำรายุทธ์หรอ?”