บทที่ 43 : หมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ
บทที่ 43 : หมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ
พวกเขาหลับสนิทตลอดทั้งคืน
เมื่อรุ่งเช้า ลู่หยุนตื่นแต่เช้า
แม้จะอยู่ในระหว่างทำภารกิจ แต่เขาก็ยังคงไม่ละทิ้งการฝึกฝน
หลังจากสิ้นสุดการฝึกฝนในช่วงเช้าแล้ว ลู่หยุนก็เปิดหน้าจอ
[ชื่อ]: ลู่หยุน
[ที่อยู่]: สถาบันศึกษาวรยุทธ์วิญญาณเหิน
[วรยุทธ์]: วิชากระบี่ทลายวายุขั้นสมบูรณ์ (ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), วิชาฐานรากผสมขั้นรู้แจ้ง (ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), ออร่าหยางพิสุทธิ์ขั้นเชี่ยวชาญ (36%), วิชากระบี่เจ็ดสังหารขั้นเชี่ยวชาญ (1%)
[พรสวรรค์โดยกำเนิด]: ขั้น 5
[ขอบเขตวรยุทธ์]: ขอบเขตเส้นลมปราณขั้นปลาย ( 8 เส้นลมปราณ)
[ค่าพลังงาน] :2
หลังออกมาจากสถาบันศึกษาวรยุทธ์ ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของออร่าหยางพิสุทธิ์ก็ได้เพิ่มขึ้นมา 2% และค่าพลังงานก็สะสมถึง 2 คะแนนแล้ว
ต้องบอกว่าแม้ว่าความก้าวหน้าในการฝึกฝนจะช้าลงเล็กน้อย แต่มันก็ยังสามารถทำให้ลู่หยุนพึงพอใจได้
ความก้าวหน้าในการฝึกฝนนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะไม่ต้องพึ่งพาหน้าจอค่าคุณสมบัติ แต่ความสามารถของเขาในการฝึกฝนก็ไม่ได้ต่ำ
ทันใดนั้นเขาก็ขยับหูเล็กน้อยแล้วมองไปที่ประตูซึ่งมีเงากำลังเคลื่อนไหวอยู่
เขาลุกขึ้นและเปิดประตู จากนั้นเขาก็พบกับหัวหน้าหวังที่มาพร้อมกับกระบี่ในมือ
ในเวลาเดียวกัน เสี่ยวเฉินจากห้องข้างๆ ก็เปิดประตูและเดินออกมา
“นายน้อยทั้งสองตื่นแต่เช้าเลยนะ!” เมื่อเห็นลู่หยุนและเสี่ยวเฉินออกมาเกือบจะพร้อมๆ กัน ใบหน้าของหัวหน้าหวังก็ปรากฎขึ้น แต่มันก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าหวังเองก็ตื่นแต่เช้าเช่นกัน!”
ลู่หยุนยิ้มเล็กน้อย เขาจ้องมองไปที่มือขวาของหัวหน้าหวัง
“ข้านำอาหารเช้ามาให้จากตลาด มันไม่ได้มาก แต่มันก็น่าจะเพียงพอสำหรับนายน้อยทั้งสองแล้ว กินข้าวกันก่อนแล้วค่อยออกเดินทางก็ได้!”
ขณะที่เขาพูด หัวหน้าหวังก็เปิดห่อเพื่อเผยให้เห็นขนมอบกับผลไม้ที่มีกลิ่นหอม
เสี่ยวเฉินพูดว่า “หัวหน้าหวัง ท่านมีจิตใจดีจริงๆ อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่เช้าอีกต่อไปแล้ว และเราก็ควรออกเดินทางกันได้แล้ว!”
“โอ้...” หัวหน้าหวังตกตะลึงและไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีกับอาหารในมือ
“หัวหน้าหวัง ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ เราสามารถทนต่อความหิวโหยได้สักวันสองวันอยู่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือการออกเดินทางโดยทันที เพื่อที่เราจะได้ไม่ล่าช้ากว่ากำหนดการ” ลู่หยุนอธิบาย ณ จุดนี้
“ท่านลู่พูดถูก” หัวหน้าหวังปฏิบัติตามด้วยรอยยิ้ม
ภายใต้การแนะนำของหัวหน้าหวัง พวกเขาทั้งสามก็ขี่ม้าออกจากเมือง และมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเมฆาเขียว
กว่าสองชั่วโมงต่อมา เทือกเขาเมฆาเขียวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
“เทือกเขาเมฆาเขียวและเทือกเขาเมฆานิมิตเป็นเพียงหนึ่งในภูเขานับแสนลูก ทั้งสองมีสัตว์อสูรระดับสูงมากมายอยู่ลึกเข้าไปข้างใน”
“โชคดีที่ทั้งหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬและกลุ่มหมาป่าทมิฬตั้งอยู่บริเวณชานเมือง มิฉะนั้น แม้ว่าท่านจ้าวจะมาด้วย แต่ข้าก็คงจะไม่กล้าที่จะพาพวกท่านมาที่นี่”
หัวหน้าหวังซึ่งเป็นผู้นำทางบนหลังม้าพูดด้วยความกลัวอย่างต่อเนื่อง มันบ่งบอกถึงความกังวลใจที่เห็นได้อย่างชัดเจน
“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าหมู่บ้านธารวิญญาณจะเป็นยังไงบ้าง” เมื่อฟังหัวหน้าหวังพูดถึงเทือกเขาเมฆานิมิต ลู่หยุนก็นึกถึงหมู่บ้านธารวิญญาณ นั่นคือสถานที่ที่เขาจากมาและเป็นดั่งบ้านหลังแรกของเขา
“ศิษย์น้องลู่ สัตว์อสูรเป็นศัตรูรองของราชวงศ์เรา ตอนนี้เราได้เข้าสู่เทือกเขาเมฆาเขียวแล้ว ดังนั้นเราจึงควรระวังเอาไว้” เสี่ยวเฉินผู้เงียบขรึมตามปกติพูดออกมาโดยทันที
ลู่หยุนพยักหน้า ในช่วงที่เขาอยู่ในสถาบันศึกษาวรยุทธ์ เขาก็ไม่เพียงแต่พัฒนาความแข็งแกร่งของเขาขึ้นมามากเท่านั้น แต่เขายังขยายความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับราชวงศ์โมริจินอีกด้วย
หากพรรคมารเป็นศัตรูของราชวงศ์โมริจิน สัตว์อสูรเหล่านี้ก็คงจะเป็นศัตรูของมวลมนุษยชาติ
“นายน้อย ภูเขาที่อยู่ข้างหน้าเราคือฐานที่มั่นของหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ พวกท่านโปรดระมัดระวังด้วย!” หัวหน้าหวังชี้ไปที่เนินเขาที่ขรุขระและแห้งแล้งแล้วพูด
จากนั้นชายทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังเนินเขาแห้งแล้ง หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มองเห็นหมู่บ้านบนเนินเขา
พื้นที่ของหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬไม่ได้กว้างใหญ่ แต่มันล้อมรอบไปด้วยหน้าผาสูงชัน มันมีถนนเพียงสายเดียวที่นำไปสู่ยอดเขา ภูมิประเทศเช่นนี้สมบูรณ์แบบทั้งการโจมตีและตั้งรับ
แต่นี่ก็เฉพาะแค่กับคนธรรมดาเท่านั้น ในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน หัวหน้าหวังที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในขอบเขตเส้นลมปราณขั้นกลางแล้ว นั่นจึงทำให้เขาปีนขึ้นไปบนภูเขาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อมาถึงครึ่งทางบนภูเขารกร้างแล้ว เส้นทางก็ไม่รองรับม้าได้อีกต่อไป ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงต้องตัดสินใจลงจากหลังม้า
เมื่อมองไปที่จุดสีดำเล็กๆ บนยอดเขา หัวหน้าหวังก็กล่าวว่า “หมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬมีหอสังเกตการณ์คอยตรวจตราอยู่เสมอ หากเราปีนขึ้นไปตามเส้นทางนี้ เราก็จะถูกพบตัวอย่างแน่นอน ถ้าพวกโจรโจมตีเราจากด้านบนด้วยหน้าไม้ แม้แต่การฝึกยุทธ์ก็จะยังไม่สามารถช่วยอะไรเราได้อยู่ดี”
“นั่นง่ายมาก เราจะย่องขึ้นไปจากทางด้านข้างแทน”
“อืม เข้าใจแล้ว!”
หลังจากพูดสิ่งนี้แล้ว เสี่ยวเฉินและลู่หยุนก็มุ่งหน้าไปทางด้านซ้ายของภูเขารกร้าง หัวหน้าหวังเองก็รีบตามไป
หน้าผาแห่งนี้ยากสำหรับคนส่วนใหญ่ที่จะปีนขึ้นไป ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถหยุดคนทั้งสามได้ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงยอดเขา
บางทีอาจเป็นเพราะพวกโจรภูเขาเชื่อว่าที่ตั้งของพวกมันเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นมันจึงมีโจรเพียงสี่คนเท่านั้นที่อยู่คอยเฝ้าระวัง
ลู่หยุนและเสี่ยวเฉินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับโจรที่คอยเฝ้าทางเข้าหมู่บ้านอยู่
หมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬเป็นเหมือนกับกลุ่มบ้านเรือนที่สร้างขึ้นมาด้วยหินและไม้และตั้งอยู่บนยอดเขาที่รกร้าง
หลังจากจัดการกับผู้คุมและเข้าไปข้างในแล้ว พวกเขาทั้งสามก็เคลื่อนตัวผ่านหมู่บ้านได้อย่างง่ายดาย
ไม่ใช่ว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นคล่องตัวจนผิดปกติ แต่มันเป็นเพราะการป้องกันของหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬนั้นหละหลวมเกินไป
มันหละหลวมจนดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เกรงกลัวการรุกรานจากภายนอกเลย
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงหน้าห้องโถงที่ค่อนข้างเรียบง่าย
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาพวกเขาคือแผ่นโลหะสีเทาน้ำตาล ไม่รู้ว่ามันถูกแขวนไว้ที่นั่นมากี่ปีแล้ว มันดูค่อนข้างเก่ามาก แต่ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนนั้นก็ทำให้พวกเขาทั้งสามต้องขมวดคิ้ว
โถงภักดีชอบธรรม!
เมื่อเห็นสามคำนี้ ลู่หยุนก็มึนงงไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้น
ในปัจจุบัน โจรเกือบทั้งหมดของหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬก็ได้มารวมตัวกันที่นี่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกำลังประชุมกันอยู่
ที่ตำแหน่งสูงสุดของโถงภักดีชอบธรรม มีเก้าอี้ไม้ปูด้วยหนังพยัคฆ์ทมิฬ และมีชายร่างกำยำและแข็งแรงนั่งอยู่บนนั้น
ต่างจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของโจรคนอื่นๆ ชายผู้แข็งแกร่งคนนี้แต่งตัวด้วยผ้าไหมและผ้าซาตินอย่างดี เขาสวมเสื้อคลุมหนังเสือขนาดใหญ่ และมีกระบี่ยาวที่ส่องแสงแวววาววางอยู่ข้างเก้าอี้ไม้
ชายคนนี้คือหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ
เขานั่งอยู่อย่างเงียบๆ เปล่งออร่าอันแข็งแกร่งออกมาซึ่งส่งผลให้พวกโจรในห้องโถงภักดีชอบธรรมต้องกลั้นหายใจ
“ว่าต่อ!”
หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดขึ้น บรรยากาศในห้องโถงก็ยิ่งกดดันมากขึ้นไปอีก พวกโจรก้มหน้าลงและไม่กล้าสบตากับหัวหน้าหมู่บ้าน
“หัวหน้า มันเป็นเรื่องจริง เมื่อไม่กี่วันก่อนมีสัตว์อสูรตัวใหญ่โผล่ออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาเมฆาเขียว สมาชิกกลุ่มหมาป่าทมิฬมากกว่าสิบคนได้ตกเป็นเหยื่อของมันกันหมด ดังนั้นมันจึงไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนจะกังวล”
คนที่พูดนั้นเป็นชายวัยกลางคน เขาแต่งกายด้วยผ้าไหมเนื้อดีเช่นกัน เขาดูจะมีอำนาจรองจากหัวหน้าหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ และในเวลานี้ เขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่กล้าจะสบตากับหัวหน้าหมู่บ้าน
“สมาชิกคนอื่นๆ อาจตามืดบอดได้ แต่เจ้าซึ่งเป็นที่ปรึกษาของข้า…”
ก่อนที่หัวหน้าหมู่บ้านจะพูดจบ ที่ปรึกษาก็ขัดจังหวะเขาก่อนและพูดว่า
“หัวหน้า ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับแผนการของท่านที่จะบุกยึดอาณาเขตของกลุ่มหมาป่าทมิฬ อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเราได้ เราจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับสัตว์อสูรที่อาจกำลังซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขา!”
“โอ้?” การจ้องมองของหัวหน้าหมู่บ้านหดแคบลง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองบอกแผนของเจ้ามาซิ”
ที่ปรึกษาคลี่พัดที่พับไว้ เขายิ้มอย่างลึกลับแล้วพูดว่า “แทนที่จะบอกว่ามันเป็นการป้องกัน ข้าขอพูดว่า…”
ปัง!
ทันใดนั้นเสียงพังประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะคำพูดของที่ปรึกษา...