เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 14 ศิษย์พี่หญิงพูดถูกขอรับ
เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 14 ศิษย์พี่หญิงพูดถูกขอรับ
ในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน ผู้บำเพ็ญเพียรเกือบทั้งหมดอยู่ในระดับฝึกปราณ ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรจึงแบ่งขั้นแยกย่อยของระดับฝึกปราณออกไปจากขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 9 แต่ละขั้นจะมีระดับย่อยอยู่สามระดับคือต้น กลาง และปลาย
นิกายเหวินเต๋านั้นแตกต่างจากที่อื่น ๆ การมีตบะในระดับฝึกปราณเป็นเพียงเกณฑ์สำหรับศิษย์นิกายเหวินเต๋าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ฉะนะย่อมไม่มีเหตุจำเป็นต้องจำแนกเกณฑ์ออกเป็นระดับต่าง ๆ มากมาย
นิกายเหวินเต๋ามีเพียงระดับฝึกปราณเท่านั้น ไม่มีระดับย่อยใด ๆ
“คนอื่นนำปราณเข้าสู่ร่างเช่นนี้หรือ?”
ลู่หยางสงสัย หากทุกคนฝึกฝนเช่นนี้ เหตุใดความก้าวหน้าของเขาถึงช้าที่สุด?
อวิ๋นจื่อส่ายหัว “วิธีที่เจ้าบำเพ็ญนั้นเป็นวิธีดั้งเดิมเหมือนของบรรพบุรุษ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงธรรมชาติของโลกใบนี้ ธรรมชาติและมนุษย์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันนำปราณวิญญาณเข้าสู่ตัวเอง และกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียร”
โดยธรรมชาติแล้ว การบำเพ็ญเพียรครั้งแรกไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสหรือใช้เคล็ดใด ๆ ในบ้างเรื่องจำเป็นต้องลองผิดลองถูก
“ส่วนเรื่องเส้นลมปราณ เมื่อเจ้าแช่ตัวในอ่างโอสถ เส้นลมปราณของเจ้าจะถูกเปิดออกจนหมด ทำให้ปราณวิญญาณไหลเวียนได้อย่างไร้อุปสรรค เมื่อเจ้าอยู่ในสภาวะที่ธรรมชาติและมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน ปราณวิญญาณก็จะไหลเวียนในร่างกายเช่นกัน สิ่งนี้เหมาะกับเจ้ายิ่งกว่าเคล็ดวิชายุทธ์ใด ๆ”
โลกแห่งการบำเพ็ญเซียนแบ่งเคล็ดวิชายุทธ์ออกเป็นห้าระดับได้แก่ ระดับเหลือง, เร้นลับ, ปฐพี, สวรรค์ และเซียน อย่างไรก็ตาม สำหรับอวิ๋นจื่อ เคล็ดวิชายุทธ์มีเพียงสองอย่างเท่านั้น นั่นคือเคล็ดวิชายุทธ์ที่เหมาะสม และเคล็ดวิชายุทธ์ที่ไม่เหมาะสม
“ไม่มีเคล็ดวิชายุทธ์ใดที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เจ้าบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ครั้งแรก มีเคล็ดวิชายุทธ์มากมายที่เหมาะสำหรับรากวิญญาณกระบี่ ข้ามีเคล็ดวิชายุทธ์เช่นนั้นอยู่ในมือ แต่ไม่มีอันใดที่เหมาะกับเจ้า”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะช่วยเจ้าสร้างเคล็ดวิชายุทธ์ด้วยตนเอง” แน่นอนว่าสิ่งที่อวิ๋นจื่อพูดเกี่ยวกับการสร้างเคล็ดวิชาด้วยตัวเองไม่ใช่การปล่อยให้ลู่หยางทำตามลำพัง นางจะให้คำแนะนำเขา แต่ถึงกระนั้น ใคร ๆ ก็ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ามันยากเพียงใด
การสร้างเคล็ดวิชายุทธ์เป็นสิ่งที่มีเพียงผู้อาวุโสในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนเท่านั้นที่สามารถทำได้
มุมปากของลู่หยางกระตุก “ผู้อาวุโสที่สร้างเคล็ดวิชายุทธ์นั้นยิ่งใหญ่มาก พวกเขาต้องมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ในระดับที่สูงส่ง พวกเขาจึงจะมีคุณสมบัติสร้างเคล็ดวิชา ข้า ผู้เยาว์ที่เพิ่งนำปราณเข้าสู่ร่างสามารถสร้างเคล็ดวิชายุทธ์ได้ด้วยหรือขอรับ...”
อวิ๋นจื่อขัดจังหวะลู่หยาง “การสร้างเคล็ดวิชายุทธ์นั้นไม่ได้ยากอย่างที่เจ้าคิด”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านิกายเหวินเต๋ามีกฎให้ศิษย์ทุกคนที่บรรลุขอบเขตก่อตั้งรากฐานต้องทำภารกิจจากโถงภารกิจให้สำเร็จ?”
ลู่หยางพยักหน้า เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้
นิกายอื่น ๆ ก็มีกฎที่คล้ายกัน นั่นคือการกำหนดให้ศิษย์ทำภารกิจให้เสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม นิกายต่าง ๆ ไม่สนับสนุนคนเกียจคร้าน ผู้ที่สร้างผลงานเท่านั้นที่ควรค่าจะกล่าวถึง
แต่ห้านิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้นแตกต่างไป พวกเขาต้องการให้ศิษย์รู้จักทำงาน ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนนิกาย แต่เพื่อให้เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง
การกล่าวว่าห้านิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ชักนำศิษย์ไปยังทางที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่คำพูดที่โป้ปด
“ภารกิจทั่วไปต้องลงภูเขาจากไปสังหารอสูรและมาร ขับไล่ภูติผี และอื่น ๆ ข้าไม่ชอบบรรยากาศของโลกมนุษย์เลยเลือกทำภารกิจอื่น”
“มันคืออะไรหรือขอรับ?”
“มีภารกิจที่คงที่ในโถงหลัก ภารกิจคัดลอกเคล็ดวิชายุทธ์ที่ยังไม่ได้ถูกบันทึกในนิกายเหวินเต๋าก็ถือว่าเป็นภารกิจเช่นกัน”
“หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์พี่หญิง ท่าน…” ลู่หยางมีความคิดไร้สาระ
“ดังนั้น เพื่อที่จะรับมือกับมัน...เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ข้าจึงสร้างเคล็ดวิชามากมาย แล้วโกหกพวกเขาว่าพบมันในซากปรักหักพัง”
“น่าเสียดายที่ถูกพวกเขาจับได้ในภายหลัง”
“พวกเขารู้แล้วหรือขอรับ?” ลู่หยางถาม
“เพราะตามภารกิจที่ข้ารายงาน ข้าได้ไปเข้าไปยังซากปรักหักพังทั้งหมดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าครั้งต่อไปควรไปสำรวจซากปรักหักพังที่ใด”
“เจ้าเห็นหรือไม่ การสร้างเคล็ดวิชาไม่ใช่เรื่องยาก” อวิ๋นจื่อกล่าว จากประสบการณ์ที่นางผ่านพ้นมา มันก็ดูสมเหตุสมผลดี
ลู่หยางเปิดปากและอยากจะพูดว่า ‘ศิษย์พี่หญิง ข้าคิดว่าท่านจะเป็นคนซื่อสัตย์ ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าท่านจะเป็นคนฉ้อโกงเช่นกัน’
‘ศิษย์พี่หญิง ความสามารถและสติปัญญาของท่านนั้นเกินกว่าคนธรรมดาอย่างพวกเรา แต่แทนที่จะบอกว่าสร้างมันด้วยตนเอง เรียกว่าสร้างขึ้นอย่างมั่ว ๆ ดีกว่าหรือไม่’
เมื่อลู่หยางสบตาเย็นชาของอวิ๋นจื่อ คำพูดนับพันที่เขามีก็เหลือเพียงประโยคเดียว
“ศิษย์พี่หญิงพูดถูกขอรับ”
“ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว แต่เจ้าก็ยังห่างไกลจากการเป็นมือกระบี่ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ตำราเล่มนี้เหมาะกับเจ้า”
ศิษย์พี่หญิงมอบตำราโบราณเล่มหนึ่งซึ่งทำมาจากหนังของอสูรลึกลับ มันมีขนาดใหญ่ หนา และหนัก
“ดินแดนอสูร?” ลู่หยางเปิดตำราโบราณ ปราณอาฆาตก็พุ่งสู่ใบหน้าของเขา ภาพอสูรต่าง ๆ ปรากฏบนกระดาษ เขายังคงได้ยินเสียงอสูรคำรามในหูอย่างคลุมเครือ
ตำราโบราณเล่มนี้ประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน!
ลู่หยางคิดอย่างรอบคอบ การฝึกฝนกระบี่ต้องใช้เจตนากระบี่ เขาเพิ่งฝึกปราณจะฝึกเจตนากระบี่ได้อย่างไร?
เขาได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญกระบี่โบราณตระหนักถึงเจตนากระบี่ครั้งแรกในขณะที่ต่อสู้กับอสูรท่ามกลางความเป็นและความตาย และเผชิญกับเจตนาชั่วร้ายของอสูร
หากเป็นเช่นนั้น คำตอบก็ชัดเจนแล้ว เขาต้องเห็นภาพของอสูร เข้าใจปราณอาฆาตของอสูร และตระหนักถึงเจตนากระบี่
แม้ว่าเคล็ดวิชายุทธ์นี้จะยากเย็น แต่ก็เหมาะกับรากวิญญาณกระบี่ของเขา
เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่หญิงมีความคาดหวังกับเขาสูงเพียงใด
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” ลู่หยางพยักหน้าและเข้าใจว่าศิษย์พี่หญิงต้องการจะสื่ออะไร
อวิ๋นจื่อเหลือบมองลู่หยางและสงสัยว่าเขาเข้าใจอะไร อวิ๋นจื่อโบกมือและหุ่นเชิดก็เข็นรถลากเกวียนเต้าหู้อีกคันออกมา
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจก็ดี”
“เพื่อที่จะเป็นผู้บำเพ็ญกระบี่ เจ้าต้อง 'แม่นยำ' รับกระบี่ปลายมรกตนี้ไป สิ่งต่อไปที่เจ้าต้องทำคือใช้ปลายกระบี่แกะสลักเต้าหู้ให้เป็นรูปร่างของอสูร รูปร่างหน้าตาของอสูรทั้งหมดอยู่ในตำราเล่มนี้”
อวิ๋นจื่อหยิบกระบี่อันเฉียบคมที่เปล่งแสงเย็นยะเยือกออกมาจากมิติเก็บของ โดยมีคำว่า ‘ปลายมรกต’ สลักอยู่บนด้าม
ลู่หยางเงียบงัน
เต้าหู้อีกแล้วหรือ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เขาฝันในคืนนั้นไม่ใช่แค่ฝันร้ายธรรมดา แต่เป็นความฝันที่บอกเป็นนัยว่าเขาจะถูกขนานนามว่าจ้าวสวรรค์เต้าหู้ในอนาคต
ลู่หยางรีบขจัดความคิดนี้ออกจากหัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาหยิบกระบี่ปลายมรกต ความประทับใจแรกของเขาคือมันเป็นกระบี่ที่เบาอย่างมาก
อันที่จริง ไม่ใช่ว่ากระบี่ปลายมรกตนั้นเบาเกินไป ตรงกันข้าม กระบี่ปลายมรกตไม่ได้เหมาะสมกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับฝึกปราณขั้นที่ 3 แม้แต่น้อย กระบี่นี้หนักเกินไปสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร
ลู่หยางนั้นแตกต่างออกไป หลังจากฝึกฝนถือถังน้ำแล้ว เขาก็แข็งแกร่งมากจนแม้แต่ตนเองก็ยังไม่รู้ ตอนนี้เขาไม่ต้องการเคล็ดวิชายุทธ์ใด ๆ เพียงหมัดเดียวเขาก็สามารถเอาชนะผู้ที่มีตบะระดับฝึกปราณขั้นที่ 3 ได้
...
บางทีเมื่อเขาเข้าสู่ระดับฝึกปราณแล้ว พรสวรรค์ในด้านกระบี่ของเขาอาจค่อย ๆ ปรากฏขึ้น เขาสามารถควบคุมแรงได้แล้ว ลู่หยางเริ่มประทับใจกับกระบี่ปลายมรกต
ในเวลาเพียง 10 วัน ลู่หยางก็สามารถแกะสลักเต้าหู้ให้เป็นรูปร่างของอสูรได้ เช่นเดียวกับรูปร่างของตนเองและศิษย์พี่หญิง เขายังสามารถแกะสลักขุนเขาทั้งเก้าของนิกายเหวินเต๋าได้อีกด้วย
หลังจากกลายเป็นนักแสดงปาหี่เล่นถังน้ำ สลักเต้าหู้แล้ว ลู่หยางก็ได้เรียนรู้เคล็ดใหม่ ๆ
เขาต้องเร่งทำให้เสร็จ เขาไม่ต้องการทานเต้าหู้อีกแล้ว
หลังจากที่ลู่หยางเสร็จสิ้น ศิษย์พี่หญิงก็ปรากฏตัวขึ้น นางหยิบงาขาวออกมา
“ผู้บำเพ็ญกระบี่ยังคงต้องฝึกสายตา ตอนนี้ข้าจะโยนเมล็ดงานี้ลงในกากเต้าหู้ เจ้าต้องค้นหาเมล็ดงานี้ให้เร็วที่สุด” ลู่หยางทรุดตัวลงและคุกเข่ากับพื้น
“ศิษย์พี่หญิง ได้โปรดฝึกอย่างอื่นได้หรือไม่!”
ศิษย์พี่หญิงมองไปที่ลู่หยางที่กำลังขอความเมตตาด้วยดวงตาที่สงบ