เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 13 นำปราณเข้าสู่ร่าง
เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 13 นำปราณเข้าสู่ร่าง
นั้นแตกต่างจากการฝึกความแข็งแกร่ง ในการฝึกความแข็งแกร่ง เขาสามารถกินเนื้อสัตว์วิญญาณเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง และแช่ตัวในอ่างโอสถเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่การฝึกฝนการควบคุม เขาทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
กระบวนการนี้ต้องใช้สมาธิระดับสูงและไม่สามารถประมาทได้ ศิษย์พี่หญิงกล่าวว่าจำเป็นต้อง “ค้นหาความรู้สึกที่ถูกต้องและใช้ร่างกายควบคุมพลัง ไม่ใช่วิญญาณ”
สิ่งที่ลู่หยางต้องทำคือจับเต้าหู้ตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพยายามมากเกินไป
ในตอนท้ายของวัน ทั้งร่างกายของลู่หยางเต็มไปด้วยกลิ่นถั่วเหลือง ดวงตาของเขาเกือบจะเหล่เนื่องจากเพ่งความสนใจไปที่เต้าหู้เป็นเวลานาน
โชคดีที่หุ่นเชิดนั้นมีประสบการณ์และตบลู่หยางสองครั้ง ดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
เมื่อถึงเวลาทานข้าว ลู่หยางมองไปที่เต้าหู้บนโต๊ะและนิ่งเงียบ
เต้าหู้ทอด, เต้าหู้นึ่ง, เต้าหู้ต้ม, นมถั่วเหลือง...
เต้าหู้ทั้งหมดที่ลู่หยางทุบทำลายระหว่างวันคือวัตถุดิบของวันนี้ ลู่หยางได้ยินมาว่าเต้าหู้และนมถั่วเหลืองถูกส่งมาจากร้านค้า
ลู่หยางขอบคุณบรรพบุรุษทั้งแปดรุ่นของเขา
ลู่หยางรู้ดีว่าหากเขาไม่สามารถควบคุมความแข็งแกร่งได้เสียที เขาจะไม่สามารถทานอาหารอื่นได้อีกต่อไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาจะต้องเลิกทานเต้าหู้ให้จงได้
เต้าหู้อาจเป็นอาหารพิเศษ การทานมันเป็นระยะเวลานานสามารถปรับสมดุลธาตุทั้งห้าของผู้บำเพ็ญเพียรได้ ทำให้หายใจได้นานขึ้น และต่อสู้ได้นานขึ้น ประโยชน์มีมากมายนับไม่ถ้วน
แต่ไม่มีใครสามารถทานเต้าหู้ได้ทุกวัน
ลู่หยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทานอาหาร และครุ่นคิดว่าในวันพรุ่งนี้จะควบคุมพลังของตนได้อย่างไร
...
ลู่หยางที่นอนหลับสนิทรู้สึกถึงแสงสีขาวที่ส่องประกายบนใบหน้าของเขา ทำให้เปลือกตาบนและล่างประกบกันแน่นขึ้น สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว เขาค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับแสงจ้าแล้วพยายามลืมตา
นี่คือมิติสีขาวบริสุทธิ์ที่ล้อมรอบด้วยหมอกหนา มีเพียงพื้นที่รอบ ๆ ลู่หยางเท่านั้นที่มองเห็นได้ชัดเจน ทว่าลู่หยางไม่พบแหล่งกำเนิดของแสง
“ที่นี่คือที่ใด?” ลู่หยางตื่นตระหนกเล็กน้อย เขากำลังนอนหลับอยู่ในนิกายเหวินเต๋า ซึ่งมียอดฝีมือนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ เมื่อมีศิษย์พี่หญิงอยู่ข้าง ๆ ใครกันจะสามารถดึงเขามายังที่ลึกลับนี้อย่างเงียบงันได้?
อีกฝ่ายจะมาดีหรือร้ายกันแน่?
เสียงอันสง่างามดังมาจากท่านหมอก เสียงนั้นช่างห่างไกล ราวกับมันสะท้อนมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา
“หนุ่มน้อย นี่เป็นมิติชั่วคราวของข้า ไม่มีใครสังเกตเห็นได้”
ลู่หยางตกตะลึง อีกฝ่ายช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เขาทำได้เพียงแค่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา
“ข้าเฝ้าดูห้วงกาลเวลามาอย่างช้านาน และได้เห็นชายตัวตนพลังจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไร้เทียมทานในโลกหล้า ในท้ายที่สุด พวกเขาไม่สามารถหลีกหนีกาลเวลาได้ ความหลงใหลในการต่อสู้กับฟ้าดินกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน”
“ข้าไร้เทียมทาน รักอิสระ และอยู่ยงคงกระพัน” เสียงของอีกฝ่ายแหบห้าง บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่เลือนหายไปตลอดกาล
ตัวตนไร้เทียมทานนี้เกินกว่าจินตนาการของลู่หยาง
“วันนี้ ข้าคำนวณด้วยนิ้วของข้าแล้ว เจ้าถูกกำหนดให้มาแทนที่ข้า ดังนั้น ข้าจึงเรียกวิญญาณของเจ้ามาสู่มิติมรดกชั่วคราวนี้”
“มีเคล็ดวิชายุทธ์ที่จำเป็นในมิตินี้ตั้งแต่ระดับฝึกปราณไปจนถึงระดับทัณฑ์สวรรค์ มีโอสถยา ตำราลับ ประสบการณ์ฝึกฝน... เจ้าสามารถค้นหาได้ทั้งหมด เจ้าสามารถรับมรดกส่วนหนึ่งของข้าได้” ลู่หยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นมิตรอย่างมาก เขากำหมัดแน่นแล้วถามอย่างสุภาพว่า “ท่านผู้อาวุโสคือตัวตนเช่นใดกันขอรับ”
ผู้อาวุโสหัวเราะสามครั้งแล้วเดินมาออกจากหมอกหนาทึบ
ผู้อาวุโสมีใบหน้าที่ขาวซีด ผิวขาว และหัวเหลี่ยม ราวกับเป็นเต้าหู้ชิ้นหนึ่ง
ผู้อาวุโสเต้าหู้เดินใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพูดว่า “ข้าคือจ้าวสวรรค์เต้าหู้ นี่คือสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต ยิ่งเจ้ากินเต้าหู้มากเท่าใด ตบะของเจ้าก็จะแกร่งกล้าขึ้นเท่านั้น รากฐานของเจ้าจะแข็งแกร่งและการจะเป็นหนึ่งในใต้หล้าก็จะไม่ใช่ปัญหา...”
เหงื่อของลู่หยางไหลออกมา เขาลืมตาพลันลุกขึ้นยืนจากเตียง และมองไปรอบ ๆ อย่างอ้างว้าง มันมืดสนิทและเงียบกริบราวกับป่าช้า จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“โชคดีที่มันเป็นเพียงความฝัน”
ลู่หยางรู้สึกถึงเหงื่อเย็นไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง ความรู้สึกหวาดกลัวยังคงอยู่ในใจของเขา
…
อวิ๋นจื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสงสีฟ้าจากปลายนิ้วของนางลอยออกจากห้องของลู่หยาง
“ด้วยวิธีนี้ เขาคงจะฝึกฝนหนักขึ้นกว่าเดิม” อวิ๋นจื่อพึมพำกับตัวเอง
เมื่อท่านอาจารย์ได้สอนนาง อีกฝ่ายเคยกล่าวไว้ว่าความกดดันสามารถเปลี่ยนเป็นแรงจูงใจและทำให้ผู้คนฝึกหนักขึ้นได้
อวิ๋นจื่อเองก็เป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นสมเหตุสมผล นางจึงใช้เคล็ดวิชาความฝันเพื่อกดดันลู่หยางเล็กน้อย
“ประโยคที่ผู้อาวุโสแปดให้มานั้นค่อนข้างน่าอับอายเล็กน้อย ข้าไม่รู้ว่าปกติเขาจะพูดอย่างไร”
อวิ๋นจื่อเก่งกาจในการขอคำแนะนำจากผู้อื่น คำพูดทั้งหมดในความฝันถูกแต่งขึ้นโดยผู้อาวุโสแปด ซึ่งเขาสาบานว่าวิธีนี้จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน
...
หลังจากนั้นไม่นาน อวิ๋นจื่อก็เห็นว่าลู่หยางสามารถจับเต้าหู้ได้อย่างง่ายดาย เขาโยนเต้าหู้ขึ้นไปบนอากาศ แล้วจับมันอย่างมั่นคง นอกจากนี้ เขายังสามารถใช้เต้าหู้เป็นกระสอบทราย โยนไปมากับหุ่นเชิด
เต้าหู้อ่อนเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายที่สามารถยืดหดได้ตามใจนึก
“เจ้าทำผ่านการฝึกนี้แล้ว”
ลู่หยางยิ้ม เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ในขณะที่เขายังคงฝึกจับเต้าหู้ จิตใจที่กระสับกระส่ายของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง
เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องเพ่งสมาธิ
“ข้าควรฝึกอะไรต่อไปหรือขอรับ”
ลู่หยางไม่ได้แสวงหาความก้าวหน้าแบบเดียวกับคนวัยในเดียวกันอีกต่อไป เขาเชื่อว่าศิษย์พี่หญิงต้องมีเจตนาในการสั่งสอนเขาเช่นนี้
อวิ๋นจื่อแทบไม่แสดงรอยยิ้ม “ต่อไปเจ้าจะต้องฝึกปราณ”
ลู่หยางตกตะลึงและชี้ไปที่ตัวเอง “ฝึกปราณ? ข้าหรือขอรับ?”
เขาไม่รู้ว่าตนเองบรรลุระดับฝึกปราณเมื่อใด ในตำรา การนำปราณเข้าสู่ร่างกายนั้นจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโส การฝึกปราณ การปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งห้า และการเปิดเส้นลมปราณจึงจะประสบความสำเร็จไม่ใช่หรือ?
หากมีพรสวรรค์ที่อ่อนแอ คนผู้นั้นจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากโอสถยาเช่นกัน
เขาไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย
ศิษย์พี่หญิงไม่เคยบอกเขาถึงการนำปราณเข้าสู่ร่างกาย และไม่ได้สอนเคล็ดวิชาการบำเพ็ญเซียนที่น่าทึ่งใด ๆ ให้กับเขา นอกจากนี้เขายังไม่เคยปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งห้า แล้วนับประสาอะไรกับการฝึกปราณ.
ศิษย์นิกายเหวินเต๋าไม่จำเป็นต้องใช้โอสถยาเพื่อนำปราณเข้าสู่ร่างกาย พวกเขาทั้งหมดเป็นอัจฉริยะที่มีเพียงหนึ่งในพัน หากพวกเขาบรรลุระดับฝึกปราณด้วยความช่วยเหลือของโอสถยา คงจะเป็นการดีกว่าที่จะถอนตัวออกจากนิกายเหวินเต๋าโดยตนเอง
ลู่หยางเชื่อว่าตนเองไม่ได้ใช้โอสถยา แต่คำถามคือเหตุใดเขาจึงบรรลุระดับฝึกปราณ?
“เช้าตรู่เมื่อสามวันก่อน” ศิษย์พี่หญิงเตือน
จู่ ๆ ลู่หยางก็จำเช้าเมื่อสามวันก่อนได้
วันนั้นเขาตื่นแต่รุ่งสาง เผชิญกับแสงยามเช้า หลับตาครุ่นคิดว่าจะจับเต้าหู้อย่างไร
เมื่อคิดลึกยิ่งขึ้น เขาก็เริ่มสูญเสียการรับรู้ต่อ สิ่งรอบ ๆ ราวกับว่ามันกลายเป็นกระแสอากาศที่ใสพุ่งพล่านไปมาจากฟ้าดิน จิตสำนึกเริ่มจมลงดิ่งและกลับคืนสู่ร่างของเขา ทันใดนั้น ทั่วทั้งร่างของเขาก็สว่างขึ้น ราวกับว่ามีคลื่นลมหายใจอันอบอุ่นไหลอยู่ในตันเถียน
เวลานั้นเองที่เขาจับเต้าหู้ได้สำเร็จ
เขาจำได้ว่าศิษย์พี่หญิงไม่ได้อยู่ตอนที่เขาฝึกจับเต้าหู้สำเร็จ แต่แท้จริงแล้วศิษย์พี่หญิงนั้นเฝ้าดูมาโดยตลอด
"ดูเหมือนว่าความรู้สึกนั้นคือการนำปราณเข้าสู่ร่างกาย” ลู่หยางพึมพำกับตัวเอง
ความรู้สึกนั้นวิเศษจริง ๆ มันราวกับอยู่ในเมฆหมอก อบอุ่น และสบายจนไม่อยากจะลืมตา
เขาได้บรรลุจุดมุ่งหมายไปหนึ่งอย่างแล้ว นั่นคือการนำปราณเข้าสู่ร่างกาย และกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรในระดับฝึกปราณ