ตอนที่แล้วเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 11 เรียนรู้จากอาจารย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 13 นำปราณเข้าสู่ร่าง

เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 12 ยกของหนักราวกับเบา ยกของเบาราวกับหนัก


เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 12 ยกของหนักราวกับเบา ยกของเบาราวกับหนัก

ถังน้ำนี้หนักอย่างน้อย 200 จิน! ไม่ว่าตอนเด็กลู่หยางจะชอบวิ่งขึ้นภูเขา, ปีนต้นไม้, ล่องแม่น้ำ, จับปลาล่านกได้มากแค่ไหน เขาก็ยังคงไม่สามารถยกถังน้ำหนักเช่นนี้ได้

อวิ๋นจื่อดึงยันต์บนถังน้ำออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ น้ำหนักของถังน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว จนถึงจุดที่ลู่หยางสามารถยกมันได้ด้วยมือเดียว

นางหยิบหุ่นเชิดออกมาและปล่อยมันให้เฝ้าดูลู่หยาง

“ถือมันไว้หนึ่งวัน”

อวิ๋นจื่อแล้วหายไปในเมฆ ลู่หยางและหุ่นเชิดจ้องหน้ากันและถอนหายใจ เขาพับแขนเสื้อและต้นเริ่มแบกถังน้ำต่อไป

หุ่นเชิดกำลังจ้องมองเขา หลังจากที่ลู่หยางพักผ่อนสักพัก เขาก็ถือถังต่อไปโดยเค้นพละกำลังออกมาทุกอณู

แขนของเขาอ่อนล้าอย่างมาก ดังนั้น หุ่นเชิดจึงได้ป้อนโอสถฟื้นฟูกายาสองเม็ด แขนของเขาเจ็บปวดมากจนไม่สามารถขยับได้ ดังนั้น หุ่นเชิดจึงได้ป้อนโอสถฟื้นฟูกายาสองเม็ด ลู่หยางง่วงนอน ดังนั้น หุ่นเชิดจึงได้ป้อนโอสถฟื้นฟูกายาสองเม็ด...

เมื่อเริ่มวันใหม่ ขาของลู่หยางกำลังสั่นเทาน แขนของเขาห้อยตกราวกับไร้เรี่ยวแรง ลู่หยางโยกตัวไปทางซ้าย แขนซ้ายก็แกว่งเหมือนลูกตุ้ม พอเหวี่ยงตัวไปทางขวา แขนขวาก็เหวี่ยงตาม จากนั้นก็ล้มลงกับพื้น

หุ่นเชิดป้อนโอสถฟื้นฟูกายาสองเม็ดตามปกติ เมื่อเห็นว่าลู่หยางไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ มันจึงต้องยุติการฝึกของวันนี้ จากนั้นจึงผลักลู่หยางขึ้นรถลากคันเล็ก แล้วคลุมตัวเขาด้วยเสื่อฟาง

เมื่อได้กลิ่นอาหารหอมหวน ร่างกายของลู่หยางก็ตอบสนอง น้ำลายของเขาเริ่มไหลอย่างตะกละ สติสัมปชัญญะเริ่มฟื้นคืนกลับมา

ลู่หยางรู้สึกโล่งใจที่ในที่สุดก็จะได้ทานอาหาร หากเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทานอาหารใด ๆ เลย เขาคงนึกว่าตนไม่ใช่ศิษย์นิกายเซียน แต่เป็นอาชญากรที่ถูกจองจำ

ในฐานะศิษย์ของประมุขนิกาย เขาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร ไม่ต้องทานโอสถปี้กู่ทุกวัน ทั้งยังสามารถทำอาหารอันแสนโอชาด้วยวัตถุดิบหายากนานาชนิดที่จะช่วยให้สุขภาพดียิ่งขึ้น

ลู่หยางยังคงไม่สามารถยกแขนขึ้นได้ เขาถูกหุ่นเชิดป้อนอาหารโดยตลอดเวลา

หลังจากทานอาหารแล้ว อวิ๋นจื่อก็ต้มโอสถชำระกายาในหม้อใบใหญ่แล้วบอกให้ลู่หยางลงไปในนั้น ลู่หยางได้กลิ่นของโอสถยาฟุ้งเต็มอากาศจนเกือบจะสลบไป

“รับไป” อวิ๋นจื่อยื่นท่อกกกลวง[1]ให้ลู่หยาง

“นี่คืออะไรหรือขอรับ?”

“เมื่อแช่โอสถชำระกายาก็ต้องแช่ทั้งตัว หัวของเจ้าจะต้องจุ่มลงไปในนั้นเช่นกัน ฉะนั้นเจ้าต้องใช้ท่อกกเพื่อหายใจ” ลู่หยางรู้สึกว่านางเป็นศิษย์พี่หญิงที่ยอดเยี่ยมมาก

นางเป็นคนรอบคอบจริง ๆ แม้ว่าเขาจะต้องทรมาน แต่มันก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง

หลังจากที่อวิ๋นจื่อจากไป ลู่หยางก็เปลื้องเสื้อผ้า คาบท่อกก และกระโดดลงไปในถัง จากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงน้ำที่เดือดดาล

“ศิษย์พี่หญิง ท่านอาบน้ำด้วยน้ำเดือดเช่นนี้หรือขอรับ!”

...

อวิ๋นจื่อมาที่ลานเล็ก ๆ สายลมพัดกลิ่นที่หลงเหลืออยู่บนร่างกายของนางจากการอาบโอสถ นางเริ่มนึกถึงสิ่งอื่นที่หลงลืมไป

นางเติบโตขึ้นมาในตระกูลเซียน ผู้คนที่นางติดต่อด้วยต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ต่อมา นางเข้าร่วมนิกายเหวินเต๋าและมุ่งความสนใจไปที่การบำเพ็ญเพียร นางไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์และมีความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพื่อที่จะสอนลู่หยาง นางได้อ่านตำราหลายเล่มที่อธิบายเรื่องมนุษย์ เมื่อลู่หยางกำลังศึกษาความรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญเซียน นางก็ได้ศึกษาความรู้ของมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน

แต่เห็นได้ชัดว่าตำราที่บรรยายเกี่ยวกับมนุษย์ไม่ได้กล่าวถึงอุณหภูมิของน้ำที่มนุษย์ใช้อาบ

เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้แหบแห้งของลู่หยาง อวิ๋นจื่อก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มันสายเกินไปที่จะทำให้น้ำเย็นลงแล้ว ในกรณีนี้ นางทำได้เพียงหยิบขวดโอสถรักษาแผลไหม้ออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางไว้ที่ประตู

“ศิษย์น้อง ข้าทิ้งโอสถรักษาแผลไหม้ไว้ที่ประตู เจ้าอย่าลืมใช้มันด้วยล่ะ”

...

ช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป เพราะลู่หยางถูกบังคับให้ฝึกฝนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย กินเนื้อสัตว์วิญญาณ และอาบน้ำด้วยโอสถยา ในที่สุดลู่หยางก็เปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดา ๆ และเติบโตเป็นมนุษย์ที่โดดเด่นในการเล่นถัง

ถังน้ำสามถังที่มีน้ำหนัก 200 จินถูกลู่หยางโยนไปรอบ ๆ ราวกับกระสอบทรายก็มิปาน

ในเวลาเดียวกัน ลู่หยางยังสามารถเหยียบบนขอบถังน้ำแล้วเดินเป็นวงกลมได้อย่างสบายปรื๋อ เดินบนแผนผังแปดทิศราวกับว่ากำลังเดินบนพื้นราบก็ว่าได้

แม้ว่าถังน้ำจะพลิกคว่ำ แต่เขายังมีแรงเหลือพอที่จะละเล่นกับอีกสามถังที่เหลือ!

การเคลื่อนไหวนี้เพียงอย่างเดียวสามารถดึงดูดเสียงปรบมือบนท้องถนนได้!

“เจ้ามีความคืบหน้าเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย” อวิ๋นจื่อปรบมือเบา ๆ ทำให้ลู่หยางมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก

แม้ว่าอวิ๋นจื่อจะไม่ค่อยปรากฏตัว แต่นางก็ให้ความสนใจกับลู่หยางมาโดยตลอด

“ข้าเป็นเซียนแล้วหรือยังขอรับ” ลู่หยางวางถังน้ำลงแล้วถามอย่างกระตือรือร้น รอฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่แม้แต่จะหายใจ

ในช่วงฝึกของเขา เมิ่งจิ่งโจวมาพบเขาเช่นกัน แต่ถูกหุ่นเชิดขับไล่ออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

เขาได้ยินมาว่าเมิ่งจิ่งโจว, หมานกู่่ และคนรุ่นเดียวกันได้นำปราณเข้าสู่ร่างกายและกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอย่างแท้จริงแล้ว พวกเขานั่งบำเพ็ญสมาธิทุกวัน อยู่เหนือปุถุชน เขาเป็นคนเดียวที่ยังคงฝึกฝนอย่างหนัก มันทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย ราวกับว่าตนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

อวิ๋นจื่อไม่ตอบและหยิบเต้าหู้ชิ้นหนึ่งออกมาจากมิติเก็บของ เต้าหู้นุ่มมากและกำลังสั่นไหวในมือหยกของอวิ๋นจื่อ มันราวกับลูกโป่งที่เต็มไปด้วยน้ำ

“จับมันและคว่ำฝ่ามือลง”

ลู่หยางคิดว่ามันไม่ได้ยากนัก ดังนั้นเขาจึงเชื่อฟังและคว้าเต้าหู้ แต่เมื่อขยับนิ้วเล็กน้อย เต้าหู้แตกกระจัดกระจายในบัดดล

อวิ๋นจื่อยังคงยื่นเต้าหู้ชิ้นอื่นให้ลู่หยางและโบกมือให้เขาทำต่อ

ลู่หยางไม่เชื่อว่าตนจะพลาดเป็นครั้งที่สอง เขารู้สึกว่าครั้งแรกเป็นเพียงอุบัติเหตุ และจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นในครั้งที่สองอีก

เต้าหู้ยังคงแตกกระจัดกระจายเช่นเดิม

หลังจากความล้มเหลว ลู่หยางก็รู้ถึงปัญหา ตอนนี้แขนของเขาแข็งแกร่งเกินไปและยากต่อการควบคุม กล่าวคือสิ่งของรอบตัวเขาถูกใช้โดยผู้บำเพ็ญเพียร หากเปลี่ยนพวกมันเป็นสิ่งของธรรมดา เขาจะต้องระวัง แม้ในขณะที่ทานอาหาร เขาอาจจะเผลอหักตะเกียบและทำชามแตกก็เป็นได้

นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของเขายังเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป จิตใจของเขาไม่สามารถตามความเร็วของร่างกายได้ นี่คือสาเหตุที่นิ้วของเขากระตุกเป็นครั้งคราว

ด้วยวิธีนี้ การจับเต้าหู้ที่นิ่มจึงเป็นสิ่งที่พูดง่ายกว่าทำ

อวิ๋นจื่อไม่ได้ยื่นเต้าหู้ให้ลู่หยางอีกต่อไป นางเอื้อมมือลงมาคว้าเต้าหู้แล้วเขย่าอย่างสบาย ๆ เต้าหู้แกว่งไปแกว่งมาแต่ก็ไม่ได้แตกเฉกเช่นลู่หยาง

ฉับพลัน อวิ๋นจื่อก็ปล่อยมือ เต้าหู้ก็ตกลง นางคว้าเต้าหู้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว!

ลู่หยางเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่านางคว้าเต้าหู้ที่ตกลงมาได้ง่ายดายเพียงใด

ภายใต้ความแข็งแกร่งของศิษย์พี่หญิง เต้าหู้เนื้อนุ่มก็ไม่ต่างจากเหล็กชิ้นหนึ่ง

“แม้เจ้าจะฝึกฝนมามาก แต่ก็ยังคงห่างไกล”

ลู่หยางยังคงเงียบ เขารู้ว่าตนยังห่างไกลจากจุดสิ้นสุดของการบำเพ็ญกายา เขาไม่ควรใจร้อน เมื่อพูดถึงการบำเพ็ญเพียร เมิ่งจิ่งโจวและคนจากตระกูลใหญ่อื่น ๆ ต่างก็เริ่มบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ยังเด็ก เฉพาะผู้บำเพ็ญเซียนเท่านั้นที่สามารถบำเพ็ญเซียนได้โดยตรง

มันไม่ง่ายเลยที่จะตามคนเหล่านี้ทัน

เขาไม่มีใครชี้แนะตั้งแต่ยังเด็ก แต่ตอนนี้เขาได้รับคำชี้แนะจากศิษย์พี่หญิง และได้รับความช่วยเหลือจากฟ้าดินก็มิปาน อัตราการเติบโตของเขาก็น่าทึ่งอย่างมาก มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องไม่พอใจ?

ลู่หยางยังจดจำสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงพูดได้ นางกล่าวว่าการบำเพ็ญเซียนนั้นจะคงอยู่ตลอดชีวิต ข้อดีและข้อเสียชั่วขณะนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือคนที่อยู่รอดเป็นคนสุดท้าย

ลู่หยางหายใจเข้ายาวเหยียดสองครั้ง และตระหนักว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขาช่างโง่เขลา ฉะนั้นเขาจึงหยุดการแสวงหาความก้าวหน้าในการฝึกฝน

เขาเห็นศิษย์พี่หญิงปล่อยให้หุ่นเชิดเข็นรถลากพร้อมกับเต้าหู้ไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด