ตอนที่แล้วเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 8 ตำราต้องห้าม (มังกรและวิหคเพลิงผันแปร)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 10 แม้แต่อากาศบนขุนเขากระถางโอสถก็ยังหอมหวน

เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 9 ทวีปจงหยาง


เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 9 ทวีปจงหยาง

"ข้าต้องชดเชยหรือไม่?" ลู่หยางถามอย่างกังวล สิ่งที่มีค่าที่สุดในร่างกายของเขาคือสมองของเขา

"ชดเชย?" ศิษยพี่เหลือบมองตำราในมือ จากนั้นมองไปที่ลู่หยาง ไม่นานมุมตาของเขาก็กระตุกอย่างรุนแรง

ตามกฎแล้วจะต้องชดเชยด้วยหินวิญญาณ แต่ปัญหาคือหากตำราเล่มนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เผ่าพันธุ์มังกรและวิหคเพลิงเข้าจะร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ตั้งแต่ดินแดนอสูรมาจนถึงทวีปจงหยาง และทำการสังหารหมู่นิกายเหวินเต๋าแน่แท้

แม้ว่านิกายเหวินเต๋าจะไม่กลัวเผ่าพันธุ์มังกรและวิหคเพลิง แต่ตับมังกรและไขกระดูกวิหคเพลิงก็มีรสชาติเอร็ดอร่อยอย่างมาก สามรถนำไปบำรุงหยินและหยาง

แต่พวกเขาเป็นนิกายที่มีชื่อเสียง หากมีตำราต้องห้ามเฉกเช่น “มังกรและวิหคเพลิงผันแปร” ในศาลาคัมภีร์ ชื่อเสียงของพวกเขาจะต้องมีมลทินแน่แท้

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ศิษย์พี่ก็ได้แอบซ่อนตำราไว้ในแขนเสื้ออย่างชำนาญด้วยสีหน้าไม่แยแส

“ชดเชยอะไรกัน เจ้าหมายถึงอะไรรึ ตำราเล่มใดกันที่เจ้าทำสกปรก เหตุใดข้าจึงไม่เห็น?”

การทำลายตำราในศาลาคัมภีร์นั้นเด่นชัดเกินไป และจะกระตุ้นให้ค่ายกลทำงาน ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะทำลายพวกมันภายนอก

ลู่หยางเข้าใจได้ทันที ศิษย์พี่ต้องการเก็บมันไว้เป็นความลับ

แน่นอนว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

ทั้งสองมองหน้ากันและยกมุมปากขึ้นราวกับว่าพวกเขาเข้าใจกัน

ตำราต้องห้ามเป็นเพียงเรื่องรอง แต่ลู่หยางไม่ลืมจุดประสงค์ของการมาที่ศาลาคัมภีร์

หลังจากค้นหาอยู่นานในที่สุดก็พบตำราที่เอ่ยแนะนำทวีปจงหยาง – “มติมหาชนของทวีป”

ลู่หยางถูมืออย่างตื่นเต้นและอ่านอย่างระมัดระวัง

“ในโลกนี้มีมนุษย์ อสูร ปีศาจ ฯลฯ ทวีปจงหยางนั้นมีมนุษย์ ส่วนกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดในทวีปคือราชวงศ์ต้าเซี่ย เป็นประเทศเดียวในทวีปจงหยาง กำราบและยึดครองโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และแสดงถึงความเป็นหนึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์

"แม้ว่าบ้านของข้าจะอยู่ใกล้กับนิกายเหวินเต๋า แต่ก็ยังอยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเซี่ย"

“ทางประจิมทิศของทวีปมีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มีเกาะที่กระจัดกระจายเรียงรายนานับ และอสูรโบราณ เช่น คุนเผิง อสูรระดับปฐมโกลาหลปรากฏตัวเป็นครั้งคราว”

“ทางบูรพาทิศของทวีปคืออาณาเขตพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งมีดินแดนสุขาวดีไร้ขอบเขต และมีวัดวาอารามมากมายราวกับก้อนกรวดก็มิปาน”

“ทางทักษิณทิศของทวีปคือเผ่าพันธุ์อสูรและดินแดนอสูร เผ่าพันธุ์มังกรและวิหคเพลิงเป็นผู้ปกครองของเผ่าพันธุ์อสูร เผ่าพันธุ์อสูรโหดร้ายและกระหายเลือด ราชวงศ์ต้าเซี่ยมักขัดแย้งกับดินแดนอสูรมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีอสูรที่ซ่อนอยู่ในราชวงศ์ต้าเซี่ย ซึ่งเป็นอันตรายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน”

"ทางอุดรทิศของทวีปอยู่ทางเหนือสุดขั้ว กล่าวว่าน้ำแข็งไม่เคยหลอมละลาย ไม่มีหญ้างอกขึ้นมาสักต้น และมีคนจำนวนเล็กน้อย สัตว์อื่น ๆ ก็ไม่ค่อยปรากฏให้เห็น มีเพียงเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นั่น”

“ทวีปจงหยางมีเผ่าพันธุ์มนุษย์มากที่สุด และพระภิกษุเป็นส่วนใหญ่ พระภิกษุบางรูปเลือกเข้าราชสำนัก ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ และพระภิกษุจำนวนมากเลือกที่จะก่อตั้งนิกายหรือเข้าร่วมนิกายใดนิกายหนึ่ง มีนิกายต่าง ๆ ทั่วทวีปจงหยาง ซึ่งนิกายที่มีอำนาจมากที่สุดคือนิกายเหวินเต๋า รวมทั้งห้านิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่อื่น ๆ ผู้เป็นผู้นำฝ่ายธรรมะ”

“ตำรายังกล่าวด้วยว่าในบรรดาห้านิกายเซียนนั้น ประมุขนิกายจะต้องมีตบะระดับทัณฑ์สวรรค์ และพูดได้ว่าประมุขนิกายจะเป็นยอดฝีมือที่มีพลังอำนาจเทียบเท่าตบะระดับทัณฑ์สวรรค์หรือเหนือกว่า ประเดี๋ยว! หรือว่านิกายเหวินเต๋าของข้าจะมีผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนตัวจากโลกใบนี้เช่นกัน?”

เขาโชคดีพอที่จะคำนับประมุขนิกาย ยอดฝีมือผู้ทรงพลังที่มีตบะระดับทัณฑ์สวรรค์หรือเหนือกว่า ลู่หยางมีความสุขเล็กน้อยและลุกขึ้นยืน เขาเทน้ำหนึ่งแก้วดื่มดับความตื่นเต้นจึงนั่งลงและอ่านต่อ

“ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีมารนั้นกระหายเลือดและใช้ชีวิตเพื่อเติมตบะของตนเอง ซึ่งเป็นอันตรายยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์อสูรเสียอีก ท้ายที่สุด ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีมารก็คือผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่กล้าแสดงตน พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและรวมพลังกัน ทำให้ห้านิกายเซียนในราชวงศ์ต้าเซี่ยตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีมารทำได้เพียงลงมือลับ ๆ ล่อ ๆ และไม่กล้าปรากฏตัว”

นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรวิถีมารแล้ว ตำราเล่มนี้ยังกล่าวถึงบางสิ่งที่เรียกว่ามารร้าย ซึ่งค่อนข้างคลุมเครือ กล่าวว่ามารร้ายนั้นมีธรรมชาติที่โหดเหี้ยมและเป็นเงาตามติดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันอยู่นอกเหนือความเข้าใจของเหตุและผล ห่างไกลจากสายตา และลึกลับมากจนลู่หยางไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามารร้ายคืออะไร

"มนุษย์ใช้ทองคำ เงิน และทองแดงเป็นสกุลเงิน ในขณะที่ผู้บำเพ็ญเพียรใช้หินวิญญาณระดับ ต่ำ กลาง และสูงเป็นสกุลเงิน"

จากนั้นลู่หยางเริ่มเรียนรู้สามัญสำนึกเกี่ยวกับโลกการบำเพ็ญเซียน เช่น มาตรฐานในการแบ่ง ระดับตบะต่าง ๆ เคล็ดการบำเพ็ญเซียนนานับชนิด และอสูร ประเภท ระดับของเคล็ดวิชายุทธ์ ประวัติศาสตร์ของทวีปจงหยาง ฯลฯ

ความรู้ที่ลู่หยางได้ยินจากนักเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมนั้นยังไม่เพียงพอสำหรับเขา

ลู่หยางมองไปที่ความรู้อันลึกลับและอดไม่ได้ที่จะดำดิ่งลงไปในนั้น เขาแหวกว่ายในมหาสมุทรแห่งความรู้จนถึงเย็น เมื่อเขารู้สึกถึงความหิว เขาก็จำได้ว่าตนไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน

ในเวลานี้ ผู้เฝ้าประตูของศาลาคัมภีร์กลายเป็นศิษย์พี่หญิง

ลู่หยางถามด้วยความเคารพ "ศิษย์พี่หญิง ข้าขอโทษที่รบกวนท่าน ข้าเป็นศิษย์ที่เพิ่งมาเมื่อวานนี้ และข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับนิกายเหวินเต๋านัก มีสถานที่รับประทานอาหารในนิกายเหวินเต๋าหรือไม่ขอรับ?"

ศิษย์พี่หญิงสะดุ้งโหยงจากคำทักทายของลู่หยาง

ดวงตาของนางหดไปครู่หนึ่ง นางหวาดกลัวที่จะพูดคุยกับผู้คน

โดยทั่วไปแล้วทุกคนจะทำตามกฎของศาลาคัมภีร์ และไม่จำเป็นต้องรบกวนนาง บุคลิกของนางจึงเหมาะกับสถานที่แห่งนี้มาก

นางไม่กล้ามองหน้าลู่หยาง ทว่าพลันลดศีรษะลงแล้วกระซิบเบา ๆ “เจ้าเป็นศิษย์ใหม่นี่เอง นิกายเหวินเต๋ามีโรงอาหาร แต่ในฐานะคนที่อยู่มานาน ศิษย์พี่หญิงผู้นี้จะไม่แนะนำเจ้าไปโรงอาหารเพื่อกินข้าวที่นั่น”

ลู่หยางรู้สึกงุนงง

"เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นหรือ? โรงอาหารมีปัญหาหรือไม่ขอรับ?"

"มีอีกแห่ง นั่นคือขุนเขาหมื่นศาสตราของผู้อาวุโสห้า ตั้งอยู่บนภูเขาหมื่นศาสตรา"

ลู่หยางตกตะลึง ชื่อภูเขาและขุนเขาดูไม่เหมาะสำหรับการทำอาหารแม้แต่น้อย "ข้าสงสัยว่าภูเขาหมื่นศาสตรานี้คือ...

“ผู้อาวุโสห้าเป็นผู้เก่งกาจในการหล้อมสร้างอาวุธ ภูเขาหมื่นศาสตราย่อมเป็นภูเขาที่เก่งกาจเรื่องการหลอมสร้างอาวุธ มีโรงอาหารตั้งอยู่บนขุนเขาหมื่นศาสตรา พ่อครัวในโรงอาหารล้วนเป็นนักหลอมสร้างอาวุธแนวหน้า หมั่นโถวสามารถทะลวงภูผาได้ แม้แต่เมล็ดข้าวยังใช้เป็นอาวุธลับได้เช่นกัน และแท่งแป้งทอดสามารถทุบตีแท่งเหล็กหรือกระดูกให้แตกหักได้”

ลู่หยางไม่รู้จะพูดอะไรอีก

“เหตุใดพ่อครัวถึงสามารถหลอมสร้างอาวุธได้หรือศิษย์พี่หญิง?”

ศิษย์พี่หญิงอธิบายอย่างแผ่วเบา “ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าพ่อครัวเก่งกาจที่สุดหรือ สิ่งสำคัญที่สุดคืออุณหภูมิ การทำอาหารต้องควบคุมอุณหภูมิ การหลอมสร้างอาวุธก็ต้องควบคุมอุณหภูมิ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาชีพอยู่ใกล้กว่าที่เจ้าคิด”

ลู่หยางพยักหน้าอย่างจริงใจ "มันใกล้กว่าที่ข้าคิดไว้จริง ๆ"

ศิษย์พี่มองดูสีหน้าที่เรียบง่ายของลู่หยางพร้อมกับเครื่องแต่งกาย นางลังเลเล็กน้อย

"การซื้ออาวุธ แค่ก- ไม่สิ เจ้าต้องมีหินวิญญาณเพื่อกินข้าวในโรงอาหาร ศิษย์น้อง เจ้าดูไม่ได้ร่ำรวยมากนัก"

ไม่เสื้อผ้าของผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดานั้นอาจไม่ได้ประณีตนัก อย่างไรก็ตาม มันยังทำจากวัสดุวิญญาณทั่วไปบางอย่าง เช่น ผ้าไหมสวรรค์ และสามารถกันน้ำกันไฟได้

ลู่หยางแต่งตัวเรียบง่ายโดยมีผ้าขี้ริ้วเย็บติดเสื้อผ้าของเขาจำนวนนับไม่ถ้วน เห็นได้ทันทีว่าเขามีต้นกำเนิดมาจากตระกูลมนุษย์สามัญธรรมดา

ลู่หยางยิ้มอย่างเขินอาย เขาไม่มีหินวิญญาณแม้แต่ก้อนเดียวด้วยซ้ำ

“อย่าอายไปเลยศิษย์น้อง มีมนุษย์มากมายในนิกายเหวินเต๋า” ศิษย์พี่หญิงปลอบใจเขาเบา ๆ

"มีทางอื่นเช่นกัน เอ่อ... เจ้าลองไปดูภูเขากระถางโอสถก็ได้เช่นกัน เจ้าน่าจะลองหาโอสถปี้กู่[1]ที่นั่นกินได้บ้าง"

“พวกเขาบอกว่ามันคือของเหลือทิ้ง ทว่ามันเป็นเพราะข้อกำหนดของภูเขากระถางโอสถนั้นสูงไม่น้อย พวกมันมีคุณภาพไม่สูงนักจึงไม่ผ่านมาตรฐาน ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ามันจะเป็นพิษ”

“อย่างไรก็ตาม ในภูเขากระถางโอสถเจ้าต้องระวังผู้อาวุโสเจ็ด ผู้เป็นปรมาจารย์ขุนเขา, ศิษย์พี่อู๋หมิง, ศิษย์พี่เหวินต๋า, ศิษย์พี่หญิงฉิงคง, ศิษย์พี่หลงเหยียน กล่าวโดยสรุป เจ้าควรระวังตัวเข้าไว้”

ลู่หยางหยาระงับความสับสนและประสานมือ "ข้า ลู่หยาง ขอขอบคุณศิษย์พี่หญิง ข้าขอทราบชื่อท่านได้หรือไม่ขอรับ”

“ข้าชื่อโจวลูลู่”

[1] ไม่กินธัญพืชทั้งห้าเรียกว่า ปี้กู่(辟谷) คือวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า โดยหลีกเลี่ยงทานธัญพืชห้าชนิดได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด