ตอนที่แล้วเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 7 ผู้อาวุโสผู้ต่ำต้อย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 9 ทวีปจงหยาง

เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 8 ตำราต้องห้าม (มังกรและวิหคเพลิงผันแปร)


เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 8 ตำราต้องห้าม (มังกรและวิหคเพลิงผันแปร)

หลังจากที่อวิ๋นจื่อจากไปแล้ว ลู่หยางและเมิ่งจิ่งโจวก็ไปยังถ้ำของตัวเองเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น ๆ

แต่ก่อนหน้านั้นลู่หยางติดตามเมิ่งจิ่งโจวไปด้านนอกของนิกายเหวินเต๋าและนำม้าเฒ่าเข้ามา

ภายนอกนิกายเหวินเต๋า ลู่หยางเห็นศิษย์นิกายหลายคนที่เพิ่งเข้าร่วมนิกายกำลังรายงานข่าวดีกับตระกูลของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเล็ก ๆ หรือตระกูลเซียนก็คุ้มค่าที่จะเขียนว่า ‘หนึ่งในสมาชิกของตระกูลสามารถเป็นศิษย์ของนิกายเหวินเต๋า’ ใส่ในประวัติศาสตร์ของตระกูล

“เหตุใดคนจากตระกูลเมิ่งของเจ้าจึงไม่มารึ” ลู่หยางได้เรียนรู้ว่าตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเช่นกัน

เมิ่งจิ่งโจวกล่าวอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย “ข้าหนีออกจากบ้าน!”

ลู่หยางนิ่งเงียบ

‘เจ้าภูมิใจอะไรกัน?’

หลังจากที่เมิ่งจิ่งโจวพาม้าเฒ่ากลับไปที่ถ้ำแล้ว ลู่หยางก็กลับไปที่ถ้ำของเขา

ลู่หยางหยิบจี้หยกออกมา เขาได้มันมาจากศิษย์พี่นิรนาม อีกฝ่ายมอบให้โดยบอกว่ามันเป็นตราประจำตัวของศิษย์นิกายเหวินเต๋า ซึ่งสามารถพิสูจน์ตัวตนของเขาและสามารถเปิดถ้ำได้

จี้หยกขัดเงาจากหินวิญญาณและมีคำว่า ‘ลู่หยาง’ สลักไว้ ลู่หยางจำเป็นต้องกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอย่างเป็นทางการเสียก่อนจึงจะสามารถใช้จี้หยกได้

ลู่หยางวางจี้หยกไว้บนผนังหิน จี้หยกเปล่งแสงสีฟ้าจาง ๆ ซึ่งสะท้อนร่องทางเข้าถ้ำ ร่องนั้นกระพริบสองครั้ง และกำแพงหินก็เคลื่อนออกไป ถ้ำที่หรูหราเกินกว่าจะจินตนาการก็ได้ปรากฏต่อหน้าลู่หยาง

ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในถ้ำลู่หยางก็รู้สึกอบอุ่นราวกับว่ามีกลิ่นอายอันมหัศจรรย์หล่อเลี้ยงร่างกายของเขา

“นี่คือปราณวิญญาณที่พวกเขาพูดถึงหรือ?”

ลู่หยางรู้สึกประหลาดใจเมื่อเขาตระหนักได้

ความเข้มข้นของปราณวิญญาณในถ้ำนั้นสูงมาก จนแม้แต่มนุษย์อย่างเขาก็ยังรู้สึกได้ ฉะนั้นย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ามันเหนือธรรมชาติเพียงใด

การตกแต่งภายในถ้ำนั้นเรียบง่ายมาก มีเพียงโต๊ะ ฟูกนอน และเสื่อฟาง เมื่อเทียบกับถ้ำขนาดใหญ่แล้ว มันดูโล่งเล็กน้อย

‘ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นการสอนให้งดกิเลสหรือต้องการให้ศิษย์ตกแต่งได้ตามใจชอบ’

บนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งมีอะไรบางอย่างเขียนอยู่ทั้งสองด้าน

มีข้อความเขียนไว้ด้านหน้าว่า ศิษย์ที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการบำเพ็ญเซียนสามารถไปที่ขุนเขาสืบวาจาเพื่อเรียนรู้ความรู้พื้นฐานก่อนได้ หรือจะไปที่ศาลาคัมภีร์เพื่อเรียนรู้ด้วยตนเอง

ด้านหลังเป็นแผนที่ของนิกายเหวินเต๋า มันแสดงให้เห็นขุนเขาหลักของนิกาย นิกายเหวินเต๋าครอบคลุมพื้นที่ 100,000 ลี้ มันกว้างใหญ่มากเกินกว่าจินตนาการของลู่หยาง

สิ่งเหล่านี้ทำให้ลู่หยางไม่รู้ว่าจะทำอะไรในเดือนหน้า

ลู่หยางหาววอด ขณะนี้หลงเหลือเพียงความรู้สึกที่ต้องการพักผ่อนอย่างสบายใจ

จากการออกเดินทางท่ามกลางสายฝน ไปจนถึงการพึ่งพาอุปนิสัยที่จริงใจและสติปัญญาที่โดดเด่นเพื่อผ่านด่านสามด่านติดต่อกัน ทั้งได้รับความสนใจจากศิษย์พี่หญิงอวิ๋นจื่อและศิษย์พี่ไต้ปู้ฝาน และในที่สุดก็กลายเป็นศิษย์ของนิกายเหวินเต๋า เรื่องราวของวันนี้ทำให้เขาเหนื่อยล้าและง่วงนอนมากจนไม่อาจลืมตาได้

“เหตุใดนิกายเหวินเต๋าจึงไม่ให้หมอนแก่ข้า...”

ลู่หยางพึมพำอะไรบางอย่าง ความเหนื่อยล้ากำลังเอ่อล้นออกมา ในขณะ นี้เขาไม่สนใจว่าจะนอนหลับอย่างสบายหรือไม่ เขาปิดปากและหลับไปอย่างรวดเร็ว

เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่หยางตื่นตั้งแต่รุ่งสาง เขาวางแผนจะไปที่ศาลาคัมภีร์เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทั่วไปของทวีปจงหยาง

“เจ้าคือศิษย์ใหม่หรือ?” ที่ทางเข้าศาลาคัมภีร์ ศิษย์พี่คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองลู่หยาง

“ใช่แล้วขอรับ”

“เนื่องจากเจ้าเพิ่งมาใหม่ ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับกฎของศาลาคัมภีร์ กฎนั้นง่ายดาย มีเพียงสามประการเท่านั้น”

“ประการแรก เจ้าได้รับอนุญาตให้อ่านตำราได้ที่ชั้นที่ 1 เท่านั้น เจ้าสามารถอ่านตำราที่ชั้น 1 ได้ตามต้องการ”

“ประการที่สอง เจ้าสามารถยืมตำราได้เพียงครั้งละ 1 เล่ม”

“ประการที่สาม เจ้าต้องดูแลตำราและอย่าทำให้มันสกปรก หากมันสกปรก เจ้าจะต้องชดใช้”

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

ลู่หยางพยักหน้า ศิษย์พี่คนนั้นปล่อยให้ลู่หยางเข้าไปโดยไม่พูดอะไรอีก

ในศาลาคัมภีร์ ศิษย์ของนิกายเหวินเต๋ากำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านโดยไม่มีสิ่งรบกวนใด ๆ พวกเขาไม่สังเกตเห็นว่าลู่หยางเดินผ่านมาด้วยซ้ำ

ในศาลาคัมภีร์มีเพียงเสียงฝีเท้าเป็นระยะ ๆ และเสียงพลิกตำราดังกรอบแกรบ

มีตำรามากมายที่นี่ ตั้งแต่บทนำ การพูดคุยข้ามขอบเขตโดยนักเขียนพื้นบ้าน เคล็ดวิชายุทธ์ของผู้บำเพ็ญเพียร ไปจนถึงประสบการณ์การฝึกปราณ ทุกสิ่งที่ใคร ๆ ก็คาดหวังว่าจะได้พบอยู่ที่นี่

ดวงตาของลู่หยางตื่นตระหนก เขาไม่รู้ว่าจะอ่านตำราเล่มใด

“นี่มันเป็นตำราแบบใดกัน?”

ลู่หยางพบตำราจากรอยแตกของชั้นตำราโดยบังเอิญ มันถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นราวกับว่ามันถูกทิ้งอยู่ที่นี่และไม่มีใครอ่านมาเนิ่นนาน

เขาเช็ดฝุ่นและในที่สุดก็เห็นชื่อของตำราเล่มนี้ “มังกรและวิหคเพลิงผันแปร”

“ช่างเป็นชื่อที่น่าเกรงขาม!”

ลู่หยางอุทานด้วยเสียงต่ำ แม้จะไม่ได้อ่านเนื้อหา เขาย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจากชื่อตำรา

เขาอยู่ในสภาวะมึนงงครู่หนึ่งราวกับว่าได้ยินเสียงประสานของมังกรและวิหคเพลิง วิญญาณของมังกรและวิหคเพลิงปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันเหมือนจริงอย่างมาก จากนั้นวิญญาณก็เปลี่ยนไปราวกับว่าพวกเขากำลังทำอะไรบางอย่าง

ลู่หยางกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้งและมองไปรอบ ๆ เสียงและภาพมายาได้หายไปแล้ว

“นั่นใช่ภาพมายาหรือไม่?”

ลู่หยางรู้สึกสงสัย จากนั้นจึงเปิดหน้าแรกด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

บางทีนี่อาจเป็นโอกาส!

ทว่าตำรานั้นคมเกินไป ซึ่งบังเอิญเฉือนนิ้วของตน เลือดของเขาหยดลงไปในกระดาษอย่างเร็วไว

เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน!

ตำราโบราณเล่มนี้เปล่งแสงสีทองออกมาราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะหลุดออกมาจากตำรา!

หัวใจของลู่หยางเต้นแรง กระบวนการนี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา เขาไม่รู้ว่ามันเป็นพรหรือคำสาป

เขารู้สึกว่ากำลังถูกจับตามองโดยสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง มันทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวที่จะเคลื่อนไหวใด ๆ!

ความรู้สึกนี้เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง หมายความว่าตัวตนอันทรงพลังยืนอยู่ข้างหลังลู่หยาง อีกฝ่ายจ้องมองเขาอย่างเงียบงันโดยไม่พูดอะไรสักคำ ซึ่งทำให้ลู่หยางกลัวจนเหงื่อเย็นไหลออกา

“เจ้า...” ในที่สุดตัวตนทรงพลังก็เอ่ยวาจาออกมา

“นี่!” ลู่หยางตัวสั่น

“เจ้าทำตำราสกปรก!”

ตัวตนทรงพลังขมวดคิ้ว ลู่หยางหันกลับมาและพบว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์พี่ที่ประจำอยู่ประตูศาลาคัมภีร์

ศิษย์พี่มองดูคราบเลือดบนตำรา หลังจากเตือนไปไม่นานว่าอย่าให้ตำราเปื้อน ไม่กี่อึดใจศิษย์น้องคนนี้ก็ทำให้เลือดเปื้อนตำราเสียแล้ว

มีค่ายกลในศาลาคัมภีร์ ใครก็ตามที่ทำให้ตำราสกปรกมันจะปล่อยแสงสีทองออกมา ซึ่งส่งสัญญาณไปยังผู้ที่เฝ้าศาลาคัมภีร์

“นี่มันตำราประเภทใดกัน? เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน”

ศิษย์พี่หยิบตำราขึ้นมาอย่างสงสัยพลางพลิกดู ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก “นี่... นี่เป็นตำราต้องห้ามในตำนานรึ!”

ลู่หยางดีใจมาก เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะโชคดีเพียงนี้ เขาพบตำราต้องห้ามโบราณทันทีที่มายังศาลาคัมภีร์ แต่เขาไม่รู้ว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่ในตำราเล่มนี้

“ศิษย์พี่ ตำราเล่มนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่ขอรับ” ลู่หยางเผยอยากรู้อยากเห็น

สีหน้าของศิษย์พี่เปลี่ยนไป เขาคิดอยู่พักหนึ่งว่าควรบอกความลับนี้แก่ศิษย์น้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่หรือไม่ ทว่าเขาตัดสินใจพูดตามความจริง

“ตำราเล่มนี้บันทึกวิธีการผสมพันธุ์ของเผ่าพันธุ์มังกรและวิหคเพลิงอย่างละเอียด เนื่องจากมันถูกเขียนไว้อย่างละเอียดมากเกินไป เผ่าพันธุ์มังกรและเผ่าพันธุ์วิหคเพลิงจึงร่วมกันร้องเรียนและถูกระบุว่าเป็นตำราต้องห้าม ข้าคิดว่าตำราเล่มนี้ถูกทำลายไปแล้วเสียอีก ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะมีฉบับคัดลอกหลงเหลืออยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าใครแอบซ่อนมันไว้”

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือตำราลามกโดยแท้

ลู่หยางนิ่งงัน

‘มังกรและวิหคเพลิงผันแปรลุงเจ้าเถอะ!’

ทันใดนั้น เขาก็จำได้ว่าศิษย์พี่บอกว่าหากทำตำราสกปรกเขาจะต้องจ่ายชดใช้

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด