เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 10 แม้แต่อากาศบนขุนเขากระถางโอสถก็ยังหอมหวน
เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 10 สมที่เป็นขุนเขากระถางโอสถ แม้แต่อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม
ลู่หยางกล่าวคำอำลากับโจวลูลู่ และมาที่ขุนเขากระถางโอสถ ทันทีที่เขามาถึงเชิงเขาเขาก็ได้กลิ่นหอมของโอสถที่เข้มข้น
"สมที่เป็นขุนเขากระถางโอสถ แม้แต่อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวน ถ้ำสวรรค์ในตำนานและภูเขาเซียนก็ไม่ได้มากไปกว่านี้แม้แต่น้อย"
ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจอีกสองครั้ง รู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาโล่งโปร่งไม่น้อย
ราวกับว่าเขากำลังจะกลายเป็นเซียนก็มิปาน
"ศิษย์น้อง อย่าสูดลมหายใจ!"
เสียงตะโกนดังมาไม่ไกล ทว่าเจ้าของเสียงก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อเห็นว่าลู่หยางสูดลมหายใจอีกสองครั้ง
“ศิษย์นอง รีบใช้เคล็ดลมหายใจเต่าเร็วเข้า ประเดี๋ยว ดูเหมือนเจ้าจะเป็นมนุษย์ รีบปิดจมูกเสีย กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของพิษที่เกิดจากความผิดพลาดของข้าในการปรุงโอสถ…”
นี่คือประโยคสุดท้ายที่ลู่หยางได้ยินก่อนที่เขาจะหมดสติ
"บัดซบ แม้แต่กลิ่นที่นี่ก็ยังเป็นพิษหรือ..." ลู่หยางพึมพำ ร่างกายของเขาโอนเอน และรู้สึกราวกับโลกทั้งใบกำลังหมุนอยู่ จากนั้นดวงตาของเขาก็มืดลงและฟุบลงกับพื้น
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่ากลิ่นนั้นไม่สามารถตัดสินว่าเป็นพิษหรือไม่ได้
เมื่อลู่หยางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นใบหน้าขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาตกใจมากจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ชายคนนั้นหัวเราะสองสามครั้งอย่างเขินอาย "ศิษย์น้องลู่ เจ้าตื่นแล้วหรือ เจ้าเป็นไรมากหรือไม่"
ตัวตนของลู่หยางถูกเขียนไว้บนจี้หยก
ลู่หยางกระพริบตา เขารู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งร่างกาย ราวกับว่ามีคนนวดด้วยไม้รีดขนมปังก็มิปาน
นี่คือห้องปรุงโอสถที่มีกลิ่นหอมของโอสถเข้มข้น และมีอุณหภูมิสูงกว่าภายนอกมากนัก มีกระถางปรุงโอสถขนาดใหญ่อยู่กลางห้องปรุงโอสถ ซึ่งล้อมรอบด้วยชั้นวางที่มีสมุนไพรและขวดหยกสีขาวจำนวนมาก ขวดหยกควรเป็นโอสถที่ผ่านการปรุงสำเร็จแล้ว
มีภาพร่างแสดงถึงการปรุงโอสถและหนูในกรงกองอยู่บนพื้น ผู้คนที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้คงยากที่จะหาพื้นก้าวเท้า
ในห้องปรุงโอสถมีเพียงเตียงเดียว ซึ่งเป็นเตียงที่ลู่หยางนอนอยู่
“ข้าชื่ออู๋หมิง ข้าขอโทษศิษย์น้องด้วย ศิษย์พี่ผู้นี้กำลังคิดเกี่ยวกับปัญหาในการปรุงโอสถ ข้าประมาทเล็กน้อย จึงไม่ได้ควบคุม ทำให้โอสถยาเปลี่ยนเป็นโอสถพิษเสียได้”
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพิษ แม้จะมีคนโดนพิษข้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีผู้ใดล้มตาย” อู๋หมิงภูมิใจมาก
‘ยิ่งท่านพูดเช่นนั้นข้าก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไม่รู้หรือ?’
ลู่หยางลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก ขยับบั้นท้าย และพิงกับมุมเตียง ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
ลู่หยางคันศีรษะมาก เขาแตะด้านหลังศีรษะ และถามหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
"ในเมื่อข้าเพิ่งสูดกลิ่นพิษไป เหตุใดจึงมีผ้าพันรอบศีรษะของข้าด้วยหรือขอรับ"
อู๋หมิงอธิบายอย่างเขินอาย
“ข้ากำลังอุ้มเจ้ามาเตียง ทว่าข้าก้มหัวลง จึงทำให้หัวเจ้าฟาดลงบนพื้น เจ้าไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะหายขาดตราบใดที่อยู่ในขุนเขากระถางโอสถของข้า!”
“โอสถที่ข้ามีอยู่นั้นมีฤทธิ์แรงเกินไปและไม่เหมาะกับเจ้านัก ดูสิ ในช่วงที่เจ้าบาดเจ็บข้าได้ปรุงโอสถสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปสามารถกินได้”
อู๋หมิงขอให้ลู่หยางกินโอสถยาสองเม็ด
โอสถยาที่ว่ามีสีทองและมีวงแหวนสามวงปรากฏ ลู่หยาง รู้ว่านี่คือลวดลายโอสถ ซึ่งหมายความว่าโอสถยาได้ผ่านการปรุงได้มาถึงระดับที่เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว
ทว่าลู่หยางยังไม่กล้ากิน
เขาแค่ต้องการมาที่ขุนเขากระถางโอสถเพื่อขอโอสถปี้กู่สักสองสามเม็ด ทว่าก่อนที่เขาจะทำอะไรได้เขาก็กลับได้นอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าพันรอบหัวเสียได้
หากเขากินโอสถที่ว่าลงไป ยมราชคงจะสรรเสริญเขาแล้วกระมัง
“แน่นอนว่ามันไร้พิษภัย” อู๋หมิงมั่นใจ
เมื่อเห็นว่าลู่หยางไม่เชื่อ อู๋หมิงก็จับหนูขาวเพื่อสาธิต
หนูขาวตัวน้อยดูเหมือนจะรู้ว่าความตายของมันกำลังใกล้เข้ามา และเมื่ออู๋หมิงหยิบมันขึ้นมา มันก็ยังคงกรีดร้องและบอกลาภรรยาและลูก ๆ ของมันอย่างหดหู่
หนูขาวตัวน้อยกลืนโอสถยาแล้วล้มลงกับพื้นโดยไร้สัญญาณชีวิต เมื่อเห็นเช่นนี้ ภรรยาและลูก ๆ ของมันก็ร้องไห้อย่างอนาถ ราวกับว่าพวกมันได้เห็นอนาคตข้างหน้าของตนเอง
ลู่หยาง "..."
อู๋หมิง "..."
"อุบัติเหตุ นี่ล้วนเป็นอุบัติเหตุ หนูตัวเล็กมักจะตายด้วยพิษเพียงเล็กน้อย มนุษย์ย่อมต่างกัน ข้ารู้แล้วว่าผิดพลาดตรงไหน แค่รอสักครู่ ข้าจะปรุงใหม่ให้เจ้า”
ลู่หยางรีบหันเหความสนใจของอู๋หมิง "ศิษย์พี่ ท่านบอกว่าท่านกำลังครุ่นคิดปัญหาและฟุ้งซ่าน ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?"
อู๋หมิงถูกเบี่ยงเบนสำเร็จ และเขาก็สรุปคำพูดและพูดว่า "โอสถยา เน้นคำว่า ‘ยา’ ที่ด้านหลัง โอสถยาย่อมสามารถรักษาโรคตามธรรมชาติและช่วยชีวิตผู้คนได้ แต่โอสถปี้กู่ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ป่วย แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น มันนับเป็นโอสถยาหรือไม่?”
“หากโอสถปี้กู่นับเป็นโอสถยา โอสถยานั้นไม่ใช่เพียงแค่รักษาโรคและช่วยชีวิตเท่านั้น แต่มันยังเป็นอาหารได้ด้วยเช่นกัน”
หากโอสถปี้กู่ไม่ใช่โอสถยา แล้วโอสถปี้กู่จะเป็นอันใด?
ลู่หยางรู้สึกว่าเขาไม่ควรเอาสมองไปยุ่งกับการปรุงโอสถ แม้จะถูกอบในเตาอบเป็นเวลาสามวันสามคืน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดถึงปัญหาดังกล่าว
“ศิษย์พี่ผู้นี้มีสิ่งเดียวที่คนธรรมดากินได้คือโอสถปี้กู่ รสชาติมันเหมือนกับเฉ่าเหมย[1] ผิงกั่ว[2] และซีกวา[3] เจ้าต้องการหรือไม่” อู๋หมิงหยิบโอสถสีสันสดใสออกมาหนึ่งกำมือ
ลู่หยางทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกที่จะรับของขวัญจากอู๋หมิง
มีผู้คนจำนวนมากในขุนเขากระถางโอสถที่กำลังฝึกฝนการปรุงโอสถปี้กู่ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม โอสถของพวกเขาย่อมปลอดภัยกว่าของศิษย์พี่อู๋หมิงแน่แท้
"ศิษย์น้อง หากเจ้าต้องการปรุงโอสถก็จงมาหาข้า ข้าไม่คิดเงิน” อู๋หมิงส่งลู่หยางกลับอย่างกระตือรือร้น
ลู่หยางเดินกะโผลกกะเผลกและรีบเร่งไปให้ไว
วันรุ่งขึ้น ผู้อาวุโสเจ็ดของขุนเขากระถางโอสถได้รับรู้ถึงประสบการณ์ที่น่าเศร้าของลู่หยาง ฉะนั้นจึงได้ส่งมอบโอสถยาทุกชนิดให้กับลู่หยางที่สามารถรักษามนุษย์ได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับขวดน้ำเต้าที่มีโอสถปี้กู่ภายใน
ลู่หยางฟื้นตัวแล้ว
...
ในเดือนถัดมา ลู่หยางใช้ชีวิตอย่างร่าเริง เขาเดินไปรอบ ๆ สถานที่ทั้งสามแห่ง ได้แก่ ศาลาคัมภีร์, ขุนเขาสืบวาจา และถ้ำ
ลู่หยางเรียนรู้และซึมซับความรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนอย่างตะกละตะกลาม นักเดินทางย่อมรู้สึกหิวกระหายเมื่อเห็นน้ำพุที่ใสสะอาด
หนึ่งเดือนต่อมา ทุกคนทำตามความปรารถนาของตน และคำนับอาวุโสเป็นอาจารย์
เมิ่งจิ่งโจวคำนับผู้อาวุโสสาม, หมานกู่คำนับผู้อาวุโสสี่, หลี่ฮ่าวหรานผู้มีรากวิญญาณไฟคำนับผู้อาวุโสห้า และเถาเหยาเย่ผู้มีกายาเซียนเหินเวหาคำนับผู้อาวุโสหก... ...
สิ่งนี้ทำให้ลู่หยางค่อนข้างแปลกใจ เขาคิดว่าหมานกู่จะคำนับผู้อาวุโสสามเหมือนกับเมิ่งจิ่งโจว ผู้อาวุโสสามเป็นผู้บำเพ็ญกายาที่โด่งดังในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน ฉะนั้นจึงเหมาะสมกับหมานกู่
ในทางกลับกัน ผู้อาวุโสสี่เป็นนักปราชญ์ที่มีความรู้ลึกซึ้งและไม่รู้ว่าแข็งแกร่ง เพียงใด เขาไม่รู้ว่าทำไมหมานกู่ถึงเลือกผู้อาวุโสสี่เป็นอาจารย์ของเขา
ผู้อาวุโสห้าเก่งในการหลอมสร้างอาวุธ และหลี่ฮ่าวหรานก็มีรากวิญญาณไฟ ซึ่งเหมาะสม
ผู้อาวุโสหก ลู่หยางไม่เคยเห็นนางมาก่อน เขาได้ยินมาว่านางเป็นสตรีที่สวยน่าทึ่งและมีกายาเซียนคล้ายกับเถาเหยาเย่
การบำเพ็ญเพียรของหมานกู่กับผู้อาวุโสสี่ไม่ใช่บุคคลที่เด่นชัดที่สุด บุคคลที่เด่นชัดที่สุดคือลู่หยางเอง ซึ่งต้องบำเพ็ญเพียรกับประมุขนิกายผู้ลึกลับ
และประมุขนิกายไม่รับศิษย์มานานกว่าร้อยปีแล้ว และใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล เหล่าศิษย์พูดคุยกันมากมายและไม่เข้าใจว่าทำไมประมุขที่ยังปิดด่านจึงได้ยอมรับลู่หยางเป็นศิษย์ของเขา
ลู่หยางถูกพาไปที่ขุนเขาประตูสวรรค์โดยศิษย์พี่หญิงอวิ๋นจื่อ ซึ่งประมุขนิกายอาศัยอยู่ภายใต้การจ้องมองอย่างน่าอิจฉาของทุกคน
[1] เฉ่าเหมย(草莓) แปลว่า สตรอว์เบอรี่
[2] ผิงกั่ว(苹果) แปลว่า แอปเปิล
[3] ซีกวา(西瓜) แปลว่า แตงโม