เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 7 ผู้อาวุโสผู้ต่ำต้อย
เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 7 ผู้อาวุโสผู้ต่ำต้อย
หลังจากที่ทุกคนจากไป ทั้งสองก็ก้มศีรษะลงกลัวว่าอวิ๋นจื่อจะคิดบัญชีเรื่องที่พวกเขาตั้งใจฉ้อโกง
หลังจากนั้นไม่นาน อวิ๋นจื่อก็พูดเสียงเรียบ
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าพวกเจ้าทั้งคู่จะผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์นิกายเหวินเต๋า”
“ในการทดสอบทั้งสามด่าน พวกเจ้าทั้งสองอยู่ในอันดับที่สูง โดยเฉพาะด่านที่สาม พวกเจ้าเป็นอันดับหนึ่งและสอง โดยรวมแล้ว ผลลัพธ์ของพวกเจ้าย่อมดีที่สุด”
“แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น รากกระดูกเผ่าพันธุ์หมาน หมานกู่, กายาเซียนเหินเวหา เถาเย่าเย่, และรากวิญญาณไฟ หลี่ฮ่าวหราน คนที่อยู่ข้างหลังพวกเจ้า... พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นอัจฉริยะที่ไม่ด้อยกว่าพวกเจ้าเลย”
เมิ่งจิ่งโจวเต็มไปด้วยความมั่นใจและขยิบตาให้ลู่หยาง “กายาเซียนเหินเวหานั้นหายากกว่ารากวิญญาณเดียวดายมาก แต่การประเมินที่ศิษย์พี่หญิงบอกเรานั้น อีกฝ่าย ‘อยู่ข้างหลังเรา’ นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี”
ลู่หยางอธิบาย “ศิษย์พี่หญิงอาจหมายความว่ากายาเซียนเหินเวหานั้นอ่อนด้อยกว่าเราในระดับหนึ่ง”
“แม้ว่าพวเจ้าจะทำได้ดี แต่พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เมื่อพวกเจ้าบำเพ็ญเซียนอย่างเป็นทางการ พวกเจ้ายังคงต้องทำตัวติดดิน ปกปิดความเย่อหยิ่งและความใจร้อนไว้”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นของศิษย์พี่หญิง ทั้งสองคนจึงสัญญาว่าจะบำเพ็ญเพียรอย่างขยันขันแข็งและไม่กล้าที่จะหย่อนยาน
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของทั้งสองคนดูจริงจังขึ้น ใบหน้าของอวิ๋นจื่อก็อ่อนลงเล็กน้อย “ในเมื่อพวกเจ้าเชื่อฟังข้าแล้ว ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า”
“เมิ่งจิ่งโจว เจ้ามีรากวิญญาณหยางบริสุทธิ์ ในบรรดาผู้อาวุโส มีผู้ที่สอดคล้องกับสิ่งนี้อย่างลึกซึ้ง เจ้าสามารถคำนับเขาในฐานะอาจารย์ได้”
เมิ่งจิ่งโจวมีความสุขมากและรีบขอบคุณนาง “ขอบคุณศิษย์พี่หญิงขอรับ”
“ลู่หยาง เจ้ามีรากวิญญาณกระบี่ และเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งกระบี่ ผู้ที่เก่งกาจในด้านกระบี่ในนิกายนี้คือประมุขนิกาย เจ้าควรคำนับเขาเป็นอาจารย์”
“แต่ศิษย์พี่หญิง ท่านบอกว่าประมุขนิกายไม่ชอบสั่งสอนศิษย์...” ลู่หยางกระซิบ
เขาสังเกตเห็นว่าสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงพูดกับเมิ่งจิ่งโจวคือ “เจ้าสามารถคำนับเขาเป็นฐานะอาจารย์”
และสิ่งที่นางพูดกับเขาคือ “เจ้าควรคำนับเขาเป็นอาจารย์”
ทั้งสองประโยคนี้มีความหมายแตกต่างกัน
“นั่นไม่สำคัญ ข้าจะช่วยให้เขารับเจ้าเป็นศิษย์”
น้ำเสียงสบาย ๆ ของอวิ๋นจื่อทำให้ลู่หยางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าประมุขนิกายต้องทำตาม แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
“ข้าแค่แนะนำให้เจ้าปรับตัวได้เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น ๆ ส่วนเจ้าจะคำนับใครเป็นอาจารย์ก็หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งเดือน”
หลังจากที่อวิ๋นจื่อพูดจบ นางก็บินไปที่ขุนเขาประตูสวรรค์ ที่ซึ่งประมุขนิกายพักอยู่
…
ณ โถงประชุมบนขุนเขาประตูสวรรค์
น้ำที่เรียบลื่นราวกับคันฉ่องกระเด็นขึ้น ภายใต้พลังบางอย่าง มันสามารถมองเห็นสิ่งที่สะท้อนออกมาได้ชัดเจนจากทุกทิศทาง และแสดงให้เห็นถึงผลการทดสอบทั้งสามด่าน
ร่างทั้งแปดพยักหน้าและส่ายหัว ทั้งชื่นชมและดุด่า พวกเขามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับศิษย์ที่ผ่านการทดสอบ เมื่อถึงจุดหนึ่ง พวกเขาก็เกือบจะต่อสู้กัน
เคยมีกรณีเช่นนี้มาก่อน ในบรรดาแปดร่างนี้ มีคนอารมณ์ดีมากมายเริ่มทะเลาะกันเมื่ออีกฝ่ายพูดไม่ได้ดั่งใจ
เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคัดเลือกศิษย์ ในท้ายที่สุด มันกลับกลายเป็นการต่อสู้ทางอารมณ์ของผู้มีอำนาจในนิกายเหวินเต๋า
ด้วยเหตุนี้ ร่างที่แท้จริงของร่างทั้งแปดจึงไม่อยู่ที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะใจร้อนจริง แต่ก็จะไม่ต่อสู้กัน
“รากกระดูกเผ่าพันธุ์หมานนั้นยอดเยี่ยม เขามีสายเลือดที่ไร้เทียนมทาน ความแข็งแกร่งที่ดุร้ายและจิตใจที่เรียบง่ายเขาเหมาะสมกับมรดกของข้า”
“น่าเสียดายที่พวกเขาเรียบง่ายเกินไป เผ่าพันธุ์หมานโบราณตายเพราะสิ่งนี้ หากพวกเขามีโอกาสในอนาคต พวกเขาจะสามารถบำเพ็ญได้โดยง่าย”
“สิ่งที่เหมาะสมสำหรับมรดกของเจ้ารึ ศาสตร์การหลอมอาวุธของข้าไม่ได้มีผู้สืบทอดที่เหมาะสมมาเป็นเวลานาน หมานกู่ทุ่มเทให้กับการทำงาน ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลที่เขาจะมาเป็นศิษย์ของข้า”
ผู้อาวุโสทั้งสองเริ่มใจร้อนในขณะที่พูดคุยกัน ทว่าไม่นานก็ถกแขนเสื้อขึ้นและจ้องมองกันอย่างดุร้าย
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เพิกเฉยต่อคนโง่เขลาสองคนนี้และยังคงแสดงความคิดเห็นต่อไปว่า “กายาเซียนเหินเวหานั้นคงกระพัน ไม่มีใครเทียบได้ นานมากแล้วที่ข้าได้เห็นกายาเซียนเหินเวหาถือกำเนิดในนิกายของเรา”
“น่าเสียดายที่เขาใจร้อนเกินไป เขายังไม่มีชื่อเสียงในทวีปด้วยซ้ำ ทว่ากลับกระตือรือร้นที่จะบำเพ็ญเพียรเพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์แบบของกายาเซียน ด้วยเหตุนี้จึงได้เสียชีวิตไป”
“ผู้อาวุโสหก เจ้าคุ้นเคยกับกายาเซียนที่สุดในหมู่พวกเรา บางทีหญิงสาวผู้นี้อาจถูกลิขิตให้อยู่กับเจ้า”
“รากวิญญาณไฟ หลี่ฮ่าวหราน เขาเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการปรุงโอสถและการหลอมสร้างอาวุธ แต่บุคลิกของเขาใจร้อนเกินไป เขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ ในด่านที่สาม เขาระงับปราณตนเองและปีนขึ้นไปข้างบน มุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามชายหนุ่มเผ่าพันธุ์หมานที่อยู่ข้างหน้า ทำให้ปราณของเขาหมดลงอย่างเร็ว และกลายเป็นคนสุดท้ายที่ผ่านด่าน”
“สำหรับเด็กจากตระกูลเมิ่งและเด็กหนุ่มลู่หยาง คนหนึ่งมีรากวิญญาณหยางบริสุทธิ์และอีกคนมีรากวิญญาณกระบี่ พวกเขาทั้งสองเป็นต้นกล้าชั้นยอด เคล็ดที่พวกเขาใช้ผ่านด่านนั้นช่างชาญฉลาดและน่าประหลาดใจเช่นกัน ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้… พี่ใหญ่ เหตุใดท่านไม่ลองยอมรับพวกเขาดูเล่า?”
“ใช่แล้ว ตอนนี้ท่านมีแค่ไต้ปู้ฝานเป็นศิษย์ ไต้ปู้ฝานได้ร่ำเรียนจนจบแล้วและไม่จำเป็นต้องสั่งสอนเขาอีกต่อไป ตอนนี้ หากท่านยอมรับอัจฉริยะสองคนนี้ พวกเขาจะกลายเป็นยอดฝีมือในอนาคต มันจะไม่เป็นสิ่งที่ดีอีกหนึ่งอย่างหรอกรึ?”
“จากวิธีที่พวกเขาผ่านด่าน หากข้ารับพวกเขาเข้ามาเป็นศิษย์ ชีวิตข้าคงยากที่จะหาความสงบ ข้าแค่อยากอยู่อย่างสงบ ผู้อาวุโสใหญ่อย่าสร้างปัญหาให้ข้าเถิด”
“ผู้อาวุโสสอง ท่านต้อการยอมรับพวกเขาหรือไม่?”
“ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้าให้เจ้าเลือกเขาก่อน”
ผู้อาวุโสทั้งแปดคนถ่อมตัวมาก ไม่ได้ถูกอัจฉริยะรากวิญญาณเดียวดายทั้งสองล่อลวงแม้แต่น้อย
ใครก็ตามที่ยอมรับคนสองคนนี้จะไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขไปได้ตลอดชีวิต
“ดูนั่นสิ หญิงสาวคนนี้ อวิ๋นจื่อกำลังให้คำแนะนำกับคนสองคนนี้ ให้คนหนึ่งเป็นศิษย์ของประมุขนิกาย และอีกคนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสาม!”
ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ผู้อาวุโสสาม ซึ่งถอนหายใจอย่างหมดหนทาง คำแนะนำของอวิ๋นจื่อนั้นถูกต้อง เขามีความรู้เกี่ยวกับรากวิญญาณหยางบริสุทธิ์มากที่สุด
ในบรรดาทั้งแปดร่าง ผู้อาวุโสสามเป็นคนที่เด่นชัดที่สุด เขาไม่ได้ตัวสูงนัก แต่มีเพียงแค่เส้นเอ็นและเนื้อหนัง ปราณและเลือดของเขาแข็งแกร่งราวกับคบเพลิงในความมืด เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญกายา
ว่ากันว่าตอนที่เขายังเด็ก ปราณและเลือดของเขาแข็งแกร่งมากจนไม่สามารถควบคุมได้ เขามักจะวิ่งไปที่ไร่นาเพื่อขับไล่อสูรวัวออกไป และไถดินด้วยตัวเอง
“หากเป็นเช่นนั้น ประมุขนิกายไม่ได้ออกจากการปิดด่านมาเก้าปีแล้วหรือ?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ทุกคนจำได้ว่าพวกเขายังคงมีประมุขนิกาย
“เขาจะรับศิษย์ที่มีรากวิญญาณกระบี่ได้อย่างไร”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ร่างที่สวยงามที่ลอยอยู่บนเมฆหมอกได้ปรากฏ เมฆหมอกจางหายไป เผยให้เห็นร่างของศิษย์หญิง
“อวิ๋นจื่อคารวะผู้อาวุโสทุกท่าน”
ทุกคนรีบยืนขึ้นและทำความเคารพ ขณะที่ประมุขนิกายกำลังปิดด่าน อวิ๋นจื่อได้รับหน้าที่เป็นประมุขนิกายและรับผิดชอบทั้งนิกายชั่วคราว ตำแหน่งของนางอยู่เหนือผู้อาวุโสทั้งแปดคนเสียอีก
“อวิ๋นจื่อรู้ดีว่าผู้อาวุโสทุกคนมีศิษย์คนโปรด แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหตุและผลของการบำเพ็ญเพียรนั้นหนักหนาสาหัส พวกเราไม่สามารถบังคับพวกเขาได้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะเข้าใจ”
เหล่าผู้อาวุโสรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติและหัวเราะ “นี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่การที่เด็กหนุ่มผู้มีรากวิญญาณกระบี่จะคำนับประมุขนิกายเป็นอาจารย์ มันเป็นความตั้งใจของประมุขนิกายหรือเป็นของเจ้าเอง...?”
เมื่อพูดถึงประมุขนิกาย อวิ๋นจื่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบกลับไป “แล้วมันแตกต่างกันหรือ?”
ผู้อาวุโสทั้งแปดเงียบงัน มันไม่มีความแตกต่างกัน
‘ประมุขนิกายกล้าจะคัดค้านการตัดสินใจของเจ้าได้อย่างไร?’