ตอนที่แล้วเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 4 นำมาให้ข้า!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 6 ศิษย์พี่ไต้ ท่านต้องใจเย็นลงก่อน

เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 5 ข้าคิดว่าด่านที่สามคือการทดสอบสติปัญญา


เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 5 ข้าคิดว่าด่านที่สามคือการทดสอบสติปัญญา

ทุกคนมาที่ภูเขาเวิ่นซินโดยไม่ทันได้สังเกตสิ่งใด มีเพียงหมานกู่เท่านั้นที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของเขากำลังลดลงจนเทียบเท่าคนอื่น ๆ

สายเลือดของเผ่าพันธุ์หมานโบราณที่เดือดพล่านในร่างของเขากลับมาสงบแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ความแข็งแกร่งของเขามั่นคงอีกต่อไป

ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะหันกลับไปมองผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

“ข้าไปก่อนล่ะ” เมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่เขา หมานกู่ก็พุ่งออกไปเป็นคนแรก

เขาก้าวผ่าน ชั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3... ขั้นที่ 10

สิบขั้นแรกนั้นงายดาย ขณะที่หมานกู่จะเดินไปยังขั้นที่ 11 แรงกดดันก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น เขารู้สึกราวกับว่ากำลังแบกแผ่นหิน ยิ่งสูงขึ้น แผ่นหินนี้ก็ยิ่งหนักขึ้น

แต่มันก็ยังอยู่ในระดับที่รับมือได้

เขาก้าวต่อไป

หมานกู่หอบหนักอยู่สองครั้งก่อนจะกลั้นหายใจและเดินไปถึงขั้นที่ 20

หมานกู่ปีนขึ้นไปอีกยี่สิบขั้น เขาก้าวต่อไปอย่างยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ

ในขั้นที่ 29 แผ่นหลังของหมานกู่เริ่มมีเหงื่อซึมทำให้เสื้อผ้าเปียกโชก เขาหอบหนัก ก่อนจะนั่งพักบนบันได

“แม้แต่นั่งก็ยังยากลำบาก” หมานกู่กัดฟันพูด ตอนนี้ เขาเพิ่งเปลี่ยนจากการยืนแบกแผ่นหินเป็นการนั่งแบกแผ่นหิน ความเร็วในการฟื้นตัวของเขาก็ช้าลงมาก

เมื่อเห็นว่าหมานกู่เหน็ดเหนื่อยเพียงใด ทุกคนก็รู้ว่าภูเขาลูกนี้น่าสะพรึงไม่น้อย หัวใจของพวกเขาเริ่มสั่นเทา

มีคนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ข้าได้ยินเรื่องที่คล้ายกันจากผู้อาวุโสของตระกูลว่าภูเขาเวิ่นซินนี้สามารถทดสอบหัวใจในการแสวงหาเต๋า ยิ่งสมาธิมั่นคง ยิ่งหัวใจบริสุทธิ์ หัวใจในการแสวงหาเต๋าก็ย่อมสูงส่งเท่านั้น หมานกู่เกิดในเผ่าพันธุ์หมานโบราณและมีชื่อเสียงในเรื่องใจเด็ดเดี่ยว ถึงแม้เขาจะเหน็ดเหนื่อย ข้าเกรงว่ามันจะยากยิ่งกว่านี้เสียอีก!”

“เคล็ดบำเพ็ญสมาธิช่วยให้จิตใจสงบได้หรือไม่” คนอื่น ๆ เริ่มคิดหาวิธี

ด่านที่สามต้องปีนขึ้นไปถึงขั้นที่ 50 จึงจะสามารถผ่านด่านนี้ได้ ตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันอีกต่อไป

ทุกคนพยักหน้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี ผู้อาวุโสในตระกูลได้สอนเคล็ดเช่นนี้ให้พวกเขา ซึ่งใช้ในการบำเพ็ญสมาธิ

ลู่หยางอ้าปากเขาไม่รู้เคล็ดใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

“เจ้าอยากให้ข้าสอนเคล็ดเหล่านี้” เมิ่งจิ่งโจวถาม

ลู่หยางส่ายหัว “ยังไม่จำเป็น ข้าจะคิดหาวิธีอื่น”

เมื่อเมิ่งจิ่งโจวเห็นสิ่งนี้ เขาไม่ได้บังคับให้ลู่หยางเรียนรู้เช่นกัน

เมิ่งจิ่งโจวตื่นขึ้นมาจากภวังค์และรู้สึกว่าหัวใจของเขาสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เคล็ดบำเพ็ญสมาธิได้ผล!

เมิ่งจิ่งโจวใช้เวลานานกว่าคนทั่วไปในการเข้าสู่สมาธิ เมื่อตื่นขึ้นมาคนอื่น ๆ ก็ไปขั้นที่ 20 ถึงขั้น 30 แล้ว เหงื่อของเขาไหลออกมาราวกับสายน้ำ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการก้าวต่อไป

เหงื่อหยดใหญ่ปกคลุมใบหน้า เขาไม่มีแรงแม้แต่จะเช็ดหน้าด้วยซ้ำ

มีคนที่ต้องการหาทางอื่น เขาคิดว่าแรงกดดันจะอยู่ที่ขั้นบันไดเท่านั้น จึงเดินวนจากภูเขาข้างบันได ไปยังขั้นที่ห้าสิบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาไปถึงภูเขาที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ตระหนักว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ยิ่งภูเขาสูง แรงกดดันก็ยิ่งมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีคนที่ต้องการใช้อาวุธวิเศษ แต่พวกเขาก็พบว่าอาวุธวิเศษนั้นสูญเสียพลังไป ไม่ว่าอาวุธวิเศษจะวิเศษเพียงใดก็ไม่สามารถใช้งานได้ พวกมันกลายเป็นเพียงเศษขยะ

ไม่แปลกใจเลยที่ไต้ปู้ฝานไม่กังวลว่าพวกเขาจะใช้อาวุธวิเศษ

ลู่หยางล่าช้ากว่าทุกคน

เขานั่งยอง ๆ บนขั้นที่ 10 ด้วยเท้าเปล่าข้างเดียวพลางครุ่นคิดบางอย่าง

“เจ้าทำกำลังอะไรอยู่ คนอื่น ๆ ปีนขึ้นไปไกลแล้ว” เมิ่งจิ่งโจวถามอย่างสงสัย

ลู่หยางเงียบและถือรองเท้าไว้ในมือ

ทันทีที่ลู่หยางขว้างรองเท้า มันก็ตกลงไปที่ยังขั้นที่ 11 “หยิบมันขึ้นมาลองดูสิ”

เมิ่งจิ่งโจวไม่เข้าใจความคิดของลู่หยาง แต่เขายังคงพบว่ารองเท้านั้นหนักกว่าปกติ ราวกับว่ามีบางอย่างดึงมันไว้

ดูเหมือนเมิ่งจิ่งโจวจะเข้าใจแล้ว เขาโยนรองเท้าไปยังขั้นที่ 12 และพบว่ารองเท้าตกลงด้วยความเร็วเท่ากับขั้นที่ 11 แต่เมื่อหยิบขึ้นมามันกลับหนักกว่าขั้นที่ 11

“เจ้าค้นพบอะไรหรือ?”

เมิ่งจิ่งโจวขมวดคิ้ว “หากวัตถุไม่ตกลงสู่พื้น แรงกดดันจะไม่ถูกส่งไปยังวัตถุ เฉพาะเมื่อวัตถุตกลงและสัมผัสกับพื้นเท่านั้น แรงกดดันจึงจะเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว” ลู่หยางประสานมือ เป็นเรื่องยากที่ใครจะคิดเช่นเดียวกับ เขามีความสุขอย่างมาก

เมิ่งจิ่งโจวครุ่นคิด ในขณะนั้น เขาก็คิดอะไรได้บ้างอย่าง “ขั้นบันไดมีความลาดเอียง ทั้งยังมีต้นไม้มากมายที่นี่ เราสามารถสร้างบันไดรูปทรง '7' โดยมีปลายด้านหนึ่งฝังอยู่ที่พื้น ปลายอีกด้านมุ่งตรงไปขั้นที่ 50”

ลู่หยางพูดอย่างหนักแน่น “ใช่แล้ว การทดสอบด่านที่สามนี้คือจะต้องเป็นการทดสอบสติปัญญา นี่จะต้องเป็นคำตอบอย่างแน่นอน”

เมิ่งจิ่งโจวเข้าใจความคิดของลู่หยางและถามคำถามอื่นอย่างรวดเร็ว “เราจะตัดต้นไม้ได้อย่างไร”

พวกเขาไม่มีขวานหรือเลื่อย แล้วจะตัดต้นไม้เพื่อทำบันไดได้อย่างไร?

“เจ้ามีอาวุธวิเศษติดตัวหรือไม่?” ลู่หยางครุ่นคิด

เขาคิดที่จะร่วมมือกับผู้อื่น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขา

เมิ่งจิ่งโจวหยิบกริชออกมา “นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสในตระกูลมอบให้ข้าเพื่อป้องกันตัว มันสามารถบินได้เร็วเทียบเท่ากับสมบัติระดับแก่นทองคำ แต่มันไม่สามารถบินในภูเขาเวิ่นซินได้”

“มันไม่สำคัญ แค่คมก็พอแล้ว” ลู่หยางพูดด้วยรอยยิ้ม ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวย แม้ว่าอาวุธวิเศษของพวกเขาจะไม่สามารถใช้งานได้ แต่ความคมของมันก็เกินกว่าขวานและเลื่อยทั่วไป

มันเหมาะแก่การตัดต้นไม้..

“มาดูนี่สิ ตอนที่เจ้ากำลังบำเพ็ญสมาธิ ข้าได้ออกแบบไว้แล้ว”

ลู่หยางพาเมิ่งจิ่งโจวไปที่ผืนทรายนุ่ม ๆ ซึ่งมีรูปวาด มันคือรูปบันไดมีรูปทรง ‘7’

ที่ออกแบบโดยลู่หยาง

ทั้งสองพูดคุยกันสักพักแล้วเริ่มลงมือทำ

กริชของตระกูลเมิ่งนั้นคมมาก ทำให้ต้นไม้หนาทึบไม่ต่างจากกระดาษเมื่ออยู่ต่อหน้ากริชนี้ ทั้งสองคนรีบเฉือนต้นไม้จนได้แผ่นไม้ที่มีรูปร่างผิดแปลก

ผู้บำเพ็ญเพียรในภูเขาเวิ่นซินก็เหมือนกับคนทั่วไป ต้นไม้สามารถเติบโตในนี้เช่นกัน

ในไม่ช้าเมิ่งจิ่งโจวก็ค้นพบปัญหา

“เราจะยึดแผ่นไม้ทั้งสองนี้เข้าด้วยกันได้อย่างไร เราไม่มีตะปู ถึงเราจะมีตะปู เราก็ไม่สามารถต่อแผ่นไม้ที่หนาเช่นนั้นได้”

“เจ้าเคยได้ยินเรื่องโครงสร้างร่องและเดือยบ้างหรือไม่”

“ไม่เคย”

ลู่หยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบกริชและตัดข้อต่อของแผ่นไม้ให้เป็น โครงสร้างร่องและเดือย ในขณะที่อธิบายให้เมิ่งจิ่งโจวฟัง

“ส่วนที่ยื่นออกมาเรียกว่าเดือยและส่วนที่เว้าเรียกว่าร่อง เมื่อรวมกันแล้วก็จะกลายเป็นโครงสร้างร่องและเดือย จุดเด่นของโครงสร้างร่องและเดือยคือมีความแข็งแรง แม้จะไม่ได้ใช้ตะปูก็ตาม”

เมิ่งจิ่งโจวตั้งใจฟังมาก ตระกูลเมิ่งใช้ปราณวิญญาณเพื่อหลอมสร้างสรรพาวุธ ซึ่งเป็นเคล็ดหลอมอาวุธ และไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างร่องและเดือย

ทุกคนบนขั้นบันไดต่างก็หอบหนัก พวกเขาต้องการปีนขึ้นไปถึงขั้นที่ 50 และกลายเป็นคนแรกที่ผ่านด่านนี้

บางทีคนแรกที่ผ่านด่านนี้อาจจะได้รับการชื่นชมจากนิกายเหวินเต๋า

ในตอนนี้ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงไม่มีการจำกัดเวลา การปีนเขานั้นใช้แรงกายมากเกินไป หากอยู่ที่นี่นานเกิน พวกเขาก็จะหิวโหยจนไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นยืน ไม่ต้องพูดถึงการปีนภูเขาเลยด้วยซ้ำ

ที่ด้านล่างของขั้นบันได คนทั้งสองเหงื่อไหลออกมาราวกับสายน้ำ พวกเขาใช้เวลานานในการตัดต้นไม้จนหอบขึ้นปาก หลังจากลองผิดลองถูกหลายครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็สร้างบันไดได้สำเร็จ

มันคือบันไดรูปทรงแปลกตา ด้านบนบาง ด้านล่างหนา และปลายโค้งเป็นรูป ‘7’

พื้นที่ว่างรอบ ๆ พวกเขานั้นดูเละเทะราวกับโดนอสูรหมูยักษ์แทะก็มิปาน

ศิษย์นิกายบางคนเหลือบมองไต้ปู้ฝาน พวกเขาจำได้ว่าศิษย์พี่ไต้ปู้ฝานชอบโอ้อวดภูเขาเวิ่นซินอันเขียวชอุ่มนี้อย่างมาก

มุมตาของไต้ปู้ฝานกระตุก เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

สิ่งที่เกิดต่อมาถือแผนการปีนบันไดของลู่หยาง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด