ตอนที่แล้วบทที่ 13 ความขัดแย้งในสวนดอกไม้หลวง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 เสวี่ยถวน

บทที่ 14 เจียเจี๋ยอวี้ได้รับความลำบาก


เมื่อได้ยินข่าวซุบซิบนินทานี้ ฉินชิงจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนการออกกำลังกายในสวนดอกไม้หลวงทุกวันของนาง คิดไม่ถึงว่าสวนดอกไม้หลวงจะเป็นที่ที่เกิดเรื่องบ่อยๆ

ขณะคิดอยู่ชั่วครู่ ฉินชิงจึงตัดสินใจเล่นโยคะ เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายสะดวก ทั้งยังสามารถออกกำลังกล้ามเนื้อและกระดูกได้เต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือไม่ต้องการพื้นที่มากนัก ฉินชิงรู้สึกว่าเตียงขนาดใหญ่ของตนก็เป็นตัวเลือกที่ดี อีกอย่างคือคนอื่นไม่เห็นแน่ แต่ถ้าฉินชิงทำท่าสควอตจัมป์ วิดพื้น หรือแพลงก์ คนอื่นต้องคิดว่านางบ้าหรือโง่แน่ๆ

ฉินชิงใช้เวลาฝึกโยคะก่อนเข้านอนทุกคืน ฝึกเสร็จก็ถึงเวลาเข้านอนพอดี

ฉินชิงกำลังตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตในวังต่อไปอย่างไร ขณะนี้เจียเจี๋ยอวี้ก็กำลังถูกคนสร้างความลำบากให้เสียแล้ว

แม้ว่าสนมโหลวจะไม่ได้รับความโปรดปรานเท่าไร แต่ตำแหน่งสนมของนางก็มั่นคง หากนางอยากทำให้ใครไม่มีความสุข คนผู้นั้นก็ไม่มีทางอยู่อย่างมีความสุขแน่นอน

โดยเฉพาะเจียเจี๋ยอวี้ที่อยู่ในวังมาเกือบหนึ่งเดือน แต่ฮ่องเต้กลับไม่มีท่าทีจะเรียกนาง คนในวังนั้นหูตาว่องไวและเป็นนกสองหัว

สนมโหลวต้องการวางแผนสร้างความลำบากให้นาง คนในตำหนักของเจียเจี๋ยอวี้ก็หายไปแล้วเกือบครึ่งอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ถ้าไม่ไปตอนนี้จะต้องรอจนถึงเมื่อไร หรือต้องรอให้ถูกลากตัวเข้าไปในคุกด้วยความผิดที่ไม่สมเหตุสมผลหรือ? แม้ว่าชื่อสนมโหลวจะหมายถึงอ่อนโยน แต่ที่ร่ำลือกันอย่างลับๆ ในวันนั้น นางไม่ใช่เจ้านายที่จะยั่วโมโหได้ง่ายๆ

เห็นได้ชัดแล้วว่าที่นี่คงไม่มีอนาคตอีกต่อไป พวกที่คิดจะมาหาผลประโยชน์จากตำหนักของเจียเจี๋ยอวี้ก็กำลังรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก

ในตอนเที่ยง ภายในตำหนักฉี่เสียง

“เหตุใดห้องเครื่องถึงยังไม่ส่งอาหารมาให้ข้า ชุนหัว เจ้าไปเร่งให้ที”

นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ปกติถ้าห้องเครื่องจะช้า อย่างไรก็ไม่เกินเที่ยง เจียเจี๋ยอวี้รอด้วยความหิว ต้องดื่มชาประทังความหิวเท่านั้น

รอจนถึงยามเว่ย (บ่ายโมงตรง) ห้องเครื่องก็ส่งอาหารเที่ยงมาที่ตำหนักฉี่เสียง

ขณะที่ชิวจวี๋รับอาหารเที่ยงมาก็รู้สึกว่ามันเบากว่าปกติจึงเปิดออกดู นางพบว่ามีอาหารอยู่ไม่กี่อย่าง ปกติแล้วจะมีอาหารอยู่สิบกว่าอย่าง แต่วันนี้ไม่ใช่แค่ส่งช้าเท่านั้น แต่อาหารยังน้อยกว่าเดิมด้วย

ดังนั้นจึงถามหาเหตุผลกับนางกำนัลที่มาส่งอาหาร “เกิดอะไรขึ้นกับห้องเครื่องของพวกเจ้า เหนียงเหนียงของพวกข้าเป็นถึงเจี๋ยอวี้ อาหารกลางวันต้องมีมากกว่ายี่สิบอย่าง แต่วันนี้มีแค่สิบอย่าง? อีกอย่างพวกเจ้าก็มาส่งอาหารช้า เหนียงเหนียงของพวกข้าหิวแล้ว”

สาวใช้ในวังมองชิวจวี๋แล้วยื่นอาหารกลางวันให้นาง “วันนี้ห้องเครื่องกำลังยุ่ง ตำหนักฉี่เสียงของเจ้าอยู่ไกล ย่อมมาส่งช้าเป็นธรรมดา ส่วนเรื่องอาหาร ตอนที่สนมโหลวส่งชุ่ยอวิ๋น นางกำนัลข้างกายมาเลือกอาหาร นางก็เลือกอาหารของตำหนักพวกเจ้าไปด้วย พวกเราจะทำอย่างไรได้ กินๆ ไปเถอะ”

ชิวจวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็เดือดดาลจนปอดแทบระเบิด ก่อนจะกลับไปพูดกับเจียเจี๋ยอวี้

“เหนียงเหนียง ห้องเครื่องดูถูกพวกเรา ท่านดูอาหารพวกนี้ มีวันไหนบ้างที่ห้องเครื่องจะไม่ยุ่งกัน ต่อให้ตำหนักฉี่เสียงจะไกลขนาดไหน อาหารก็ยังมาส่งตรงเวลาตลอด เหตุใดวันนี้ถึงทำไม่ได้ แล้วไหนจะอาหารของท่านที่ถูกสนมโหลวเลือกไปอีก จู่ๆ ชุ่ยอวิ๋นผู้นั้นจะเลือกอาหารของตำหนักพวกเราไปได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าต้องการจะหาเรื่องพวกเรา”

เจียเจี๋ยอวี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่หัวใจของนางกำลังคิดคำนวณและแอบสบถในใจ นางสารเลว รอข้าได้รับตำแหน่งพระสนมก่อนเถอะ ข้าจะให้นางได้ลิ้มรสชาติของการถูกคนดูถูก

เนื่องจากการจัดส่งล่าช้า อาหารบางอย่างก็ไม่ร้อนแล้ว น้ำมันที่อยู่บนเนื้อก็จับตัวกันเป็นก้อน มันเยิ้มจนไม่น่ากิน นางทำได้เพียงคีบผักขึ้นมากินเท่านั้น

ยิ่งเจียเจี๋ยอวี้กินมากเท่าไร นางก็ยิ่งเกลียดสนมโหลวมากขึ้นเท่านั้น และคิดว่านางเคยกินอาหารที่เย็นชืดเช่นนี้ที่ไหนกัน เสนาบดีกรมพระคลังมีเงินเดือนไม่ใช่น้อย ตั้งแต่เด็กจนโตนางได้กินแต่ของดีๆ คิดไม่ถึงว่าพอเข้ามาในวังจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

สนมโหลวจะไม่หยุดเพียงเท่านี้

วันต่อมา สนมโหลวเรียกเจียเจี๋ยอวี้ไปที่ตำหนักของนาง เมื่อเจียเจี๋ยอวี้เคารพนาง นางกลับไม่ได้อนุญาตให้อีกฝ่ายลุกขึ้น รอจนเจียเจี๋ยอวี้ทนไม่ไหวถึงได้บอกให้นางลุกขึ้น ในเวลานี้เจียเจี๋ยอวี้เกือบจะลุกไม่ขึ้นแล้ว ร่างของนางโอนเอนไปมาถึงได้ทรงตัวอยู่

“น้องเจีย เมื่อวานนี้ชุ่ยอวิ๋นนางกำนัลข้างกายข้าไม่รู้ความ เอาอาหารของเจ้ามา ข้าเลยคิดว่าน้องสาวเป็นคนใจกว้างไม่ถือสาเรื่องนี้ เมื่อครู่ข้าเห็นว่าตอนที่เจ้าทำความเคารพข้าขายืนได้ไม่มั่นคง แบบนั้นจะเรียกว่าทำความเคารพได้อย่างไร กฎของการทำความเคารพนั้นสำคัญมาก วันนี้ข้าอารมณ์ดี จะช่วยสอนให้เจ้ารู้ว่าอะไรคือการทำความเคารพอย่างแท้จริง หวังว่าน้องสาวจะตั้งใจเรียนนะ”

“ชุ่ยอวิ๋น เจ้าไปทำเป็นตัวอย่างข้างๆ ให้น้องสาวข้ามีตัวอย่างให้ทำตาม”

ใครที่ฝึกการเป็นทหารมาจะรู้ดีว่าการไม่เคลื่อนไหวนั้นเป็นสิ่งที่อึดอัดที่สุด ในวันนี้สนมโหลวได้แยกขั้นตอนการน้อมทักทายออกเป็นทีละขั้นตอน ให้เจียเจี๋ยอวี้ทำทีละขั้นตอน หากขยับก็จะต้องอยู่ในท่านั้นไปตลอดห้ามเคลื่อนไหว

เจียเจี๋ยอวี้ถูกบังคับให้คำนับสนมโหลวหลายครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับเจียเจี๋ยอวี้มันคือความอัปยศ

ระหว่างนั้นที่ฟางกุ้ยอี้มาหาสนมโหลว เจียเจี๋ยอวี้ก็ใช้สายตาขอความช่วยเหลือมองไปทางฟางกุ้ยอี้ แต่ฟางกุ้ยอี้ไม่กล้ามองมาที่นาง รีบเข้าไปด้านในตำหนักกับสนมโหลวอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าเจียเจี๋ยอวี้จะยังทำความเคารพอยู่ แต่มือยังคงกำแน่น นางไม่ยินยอม สนมโหลว สักวันหนึ่งนางก็ต้องล้ม แต่ฟางกุ้ยอี้นางมีตำแหน่งอะไรถึงได้กล้าเมินเฉยตนเช่นนี้

วันนี้ เมื่อเจียเจี๋ยอวี้ออกมาจากตำหนักของสนมโหลว นางก็ต้องถูกคนพยุงออกมา

เมื่อฉินชิงได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกว่าสตรีในวังไม่น่าไปยั่วโมโหเลย อยู่ด้วยตัวของตัวเองไม่ยุ่งกับใครดีที่สุด

และฉินชิงก็ยิ่งอยากจะเก็บตัวอยู่ในตำหนัก ถ้าไม่จำเป็นก็จะอยู่เป็นสตรีเฝ้าเรือน วาดรูปอยู่ในตำหนักทุกวัน พอวาดเสร็จก็ส่งให้ฮ่องเต้

วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว เสี่ยวเซี่ยจื่อกำลังมารับการบ้านของนาง

ตอนบ่ายฉินชิงนำภาพวาดมอบให้กับเสี่ยวเซี่ยจื่อ ก่อนจะเริ่มกินข้าวเย็นของตัวเอง

ส่วนทางด้านตำหนักเซวียนเจิ้ง ฮ่องเต้เห็นภาพวาดของฉินชิงก็รู้สึกว่าภาพวาดของนางยังคงแย่มากเหมือนเดิม ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะไปสอนนางในคืนนี้

ดังนั้นจึงเรียกจางเต๋อจง “เจ้าไปบอกห้องจิ้งซื่อ คืนนี้ข้าจะไปที่ตำหนักจงชุ่ย”

เมื่อฮ่องเต้กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ราชโองการก็มาถึงตำหนักจงชุ่ย ฉินชิงเองก็เพิ่งกินข้าวเย็นเสร็จพอดี เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกดียิ่งนัก ถึงอย่างไรก็ยังมองโลกในแง่ดี

เมื่อฉินชิงเตรียมการบ้านเสร็จแล้ว ฮ่องเต้ก็มาถึงที่ตำหนักจงชุ่ยพอดี

ฉินชิงทำตามคำสั่งของฮ่องเต้อย่างเคร่งครัด รอเขาอยู่หน้าประตูตำหนัก

เมื่อเห็นนางยืนอยู่หน้าประตูอย่างว่าง่าย เหลียงอี้ก็พอใจมาก จูงมือนางเข้าไปในตำหนัก

“ฝ่าบาท” ฉินชิงย่อมให้เขาจับอย่างว่าง่าย

“วันนี้เจิ้นอยากมาบอกเรื่องภาพวาดของเจ้าหน่อย” เหลียงอี้ตรงเข้าประเด็น

“ฝ่าบาทกล่าวมาเถอะเพคะ หม่อมฉันพร้อมจะรับฟัง” จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ แน่นอนว่าความคิดของนางนั้นท่องไปในอวกาศแล้ว

ก่อนหน้านี้ฉินชิงมีหัวหน้าห้องที่น่ารำคาญมากคนหนึ่ง พอเจอหน้าก็พูดไม่หยุด ดังนั้นนางจึงได้ฝึกวิธีการใช้ความคิดท่องไปในอวกาศ เป็นทักษะเหม่อลอยที่สมบูรณ์แบบ บางครั้งก็พยักหน้าได้ คนธรรมดาย่อมมองไม่ออก คิดว่านางนั้นตั้งใจฟังจริงๆ

เหลียงอี้พูดมาไม่น้อย เมื่อมองฉินชิงก็รู้ว่านางไม่ได้ฟังจึงโกรธเล็กน้อยและเคาะศีรษะนางครั้งหนึ่งเบาๆ

“คิดอะไรอยู่ ไม่ตั้งใจฟังเลย”

เหลียงอี้คิดว่าเอาแต่พูดเช่นนี้ผลที่ได้ย่อมค่อนข้างแย่ ดังนั้นจึงสั่งให้เสี่ยวอันจื่อนำภาพวาดไปวางไว้บนโต๊ะในห้องหนังสือ จากนั้นเหลียงอี้ก็พาฉินชิงเดินไปในห้องหนังสือ

เขาพูดไปก็คอยช่วยแก้ไขภาพวาดไปด้วย ทั้งยังให้ฉินชิงทำตาม ครั้งนี้ฉินชิงตั้งใจฟังแล้ว แต่การเลียนแบบนั้นยังค่อนข้างแย่

สุดท้ายเหลียงอี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกอดฉินชิงจากด้านหลัง ใช้วิธีสอนเด็กเขียนหนังสือมาสอนฉินชิง

ในที่สุดฉินชิงก็วาดเสร็จ ทั้งสองสูดลมหายใจเข้าอย่างเร่งรีบ ถึงอย่างไรก็ใกล้กันมาก ลมหายใจของคนข้างๆ ชัดเจนเกินไป

เหลียงอี้ย่อมไม่สามารถทนได้ อุ้มฉินชิงเข้าไปในห้องนอน

“ในเมื่อตรวจการบ้านเจ้าในตอนกลางวันแล้ว เช่นนั้นพวกเรามาทำการบ้านตอนกลางคืนกันเถอะ” เหลียงอี้เอ่ยข้างหูฉินชิงและกัดที่หูของนาง

เมื่อถูกเขาใช้วิธีนี้พูดข้างหู ฉินชิงก็ตัวอ่อนยวบทันที จนสุดท้ายที่ถูกเขากัดที่ใบหูนางก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ยามค่ำคืนยังอีกยาวไกล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด