ตอนที่แล้วบทที่ 11 สอนวาดภาพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 ความขัดแย้งในสวนดอกไม้หลวง

บทที่ 12 การบ้าน


เมื่อฮ่องเต้และฉินชิงทานอาหารเสร็จ ขณะที่ฉินชิงคิดว่าจะได้กลับไปพักผ่อนที่ตำหนักแล้ว ฮ่องเต้กลับเอ่ยกับนางขึ้นมาว่า

“คืนนี้ข้าจะพลิกป้ายชื่อของเจ้า กลับไปเตรียมตัวให้ดี” หลังจากกล่าวจบก็จับมือฉินชิงขึ้นมาจูบเบาๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ฉินชิงรู้สึกเสมอว่าในรอยยิ้มของฮ่องเต้มีความหมายว่าคืนนี้เขาคิดจะกลืนกินนางทั้งตัว

เมื่อฉินชิงกลับมาถึงตำหนักจงชุ่ย ยังนอนพักไม่ทันหายเหนื่อยก็ถูกหยินผิงปลุกขึ้นมาเตรียมตัว อาบน้ำ แต่งหน้า และเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับตอนเย็น

ฉินชิงปล่อยให้พวกนางจัดการ เมื่อพวกนางทำเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่ฮ่องเต้ใกล้จะมา

ฉินชิงรู้สึกว่าวันนี้นางยังไม่ได้พักเลย เฮ้อ~ การเป็นสนมที่ได้รับความโปรดปรานนี่ช่างเหนื่อยจริงๆ

ในฐานะสนมที่ได้รับความโปรดปราน อย่างน้อยก็เป็นสนมคนโปรดในตอนนี้ ฉินชิงจึงยอมทำเรื่องที่สนมคนโปรดสมควรทำ อย่างเช่นไปรอรับเสด็จที่หน้าประตู

ฉินชิงคิดว่าหากนางเป็นบุรุษคนหนึ่ง คงจะมีความสุขมากที่หลังจากเลิกงานกลับมาถึงบ้านแล้วเห็นภรรยารอตนอยู่ที่บ้าน พร้อมกับอาหารร้อนๆ บนโต๊ะและลูกๆ ที่นั่งทำการบ้านอยู่

ดังนั้นทุกครั้งที่ฮ่องเต้พลิกป้ายของนาง นางจะยืนรอเขาที่หน้าตำหนัก แม้ว่านางจะไม่ใช่ภรรยาของเขา และตำหนักจงชุ่ยก็ไม่ใช่บ้านของเขา แต่ความรู้สึกนี้ยังคงสำคัญมาก

ดังนั้นฉินชิงจึงรอการมาถึงของฮ่องเต้พร้อมกับคิดว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร นางนิ่งไปพักหนึ่ง

นางคิดว่าสิ่งที่นางคิดอยู่นี้ก็มีประโยชน์กับเหลียงอี้ด้วย

ท้องฟ้ามืดแล้ว หน้าประตูตำหนักก็มีเพียงแสงไฟอันอบอุ่นส่องสว่างออกมา ภายใต้แสงไฟมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ คนผู้นั้นมีรูปร่างเล็กเมื่อมองจากที่ไกลๆ ท่าทางคล้ายกำลังรออะไรอยู่

เหลียงอี้เห็นว่าฉินชิงกำลังรอเขาอยู่ เมื่อนางอยู่ภายใต้แสงสลัวก็ทำให้นางอ่อนโยนขึ้นมาทันที ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าส่วนที่ขาดหายไปในหัวใจได้รับการเติมเต็ม

หลังลงจากเกี้ยว เหลียงอี้จึงเดินไปหาฉินชิงทันที “ตอนกลางคืนมันหนาว เหตุใดเจ้าถึงออกมารอล่ะ ต่อไปไม่ต้องมารอแบบนี้แล้ว”

“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันยินดีรอฝ่าบาท”

เหลียงอี้จับมือฉินชิง ก็รู้สึกว่าฝ่ามือของนางเย็นเล็กน้อย นางน่าจะมารอเขาได้สักพักแล้ว ช่วงเวลากลางคืนในเดือนสามจะหนาวกว่าปกติ ดังนั้นเขาจึงใช้มือใหญ่ที่อบอุ่นกุมมือของนางเอาไว้ มองฉินชิงพร้อมกับเอ่ย

“ถ้าเจ้าจะรอก็อย่ารออยู่หน้าประตูตำหนัก ให้รออยู่ด้านใน เจตนาดีของเจ้า เจิ้นรู้ดี”

ฉินชิงคิดในใจ เกิดอะไรขึ้นกับบุรุษผู้นี้ เหตุใดวันนี้ถึงได้อ่อนโยนนัก ทั้งยังพูดอะไรแปลกๆ เจตนาดีอันใดนางไม่รู้ เมื่อครู่นี้นางแค่คิดว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรดีเท่านั้น เขามองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยน

อุณหภูมิร่างกายของเขาถูกส่งไปที่มือของฉินชิง ฉินชิงรู้สึกว่าร่างกายของนางอบอุ่นขึ้น นางรู้สึกว่าไม่เพียงความอ่อนโยนของสตรีเท่านั้นที่ทำให้คนเกือบตาย แต่ความอ่อนโยนของบุรุษก็ทำให้คนแทบต้านทานไม่ไหว

ในหัวใจของฉินชิงนั้นรู้สึกมีความสุขอย่างมาก แต่กลับพูดออกมาได้แค่คำเดียว “เพคะ”

เมื่อกล่าวจบแล้ว เหลียงอี้จึงพาฉินชิงเข้าไปในตำหนัก ในตำหนักนั้นอบอุ่นไม่น้อย

เดิมทีฉินชิงคิดว่าเมื่อเข้ามาในห้องเขาจะปล่อยมือนาง และจากนั้นพวกเขาก็จะนั่งอยู่บนเก้าอี้สักครู่ ก่อนจะปิดไฟและขึ้นเตียง

แต่บุรุษผู้นี้กลับไม่ปล่อยอย่างที่คิดไว้ หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ เขาก็ดึงนางเข้ามากอด โน้มศีรษะลงซบบนไหล่ของนางและเอ่ยกับนางเบาๆ

“อยู่นิ่งๆ ก่อน ให้ข้ากอดเจ้าสักพัก”

ความอบอุ่นที่โอบล้อมฉินชิงเอาไว้และน้ำเสียงทุ้มต่ำ ความอ่อนโยนและมีเสน่ห์ของชายคนนี้ ทำให้ฉินชิงรู้สึกสบายใจมาก

นางไม่เคยรู้เลยว่านางจะเป็นคนที่ถูกดึงดูดเพราะน้ำเสียงคน เดิมทีนางต้องการจะลุกขึ้นจากอ้อมกอดของเขา แต่ตอนนี้ นางกลับรู้สึกเหมือนแมวที่สยบต่อเสียงของเขา และทำได้เพียงอยู่นิ่งๆ ในอ้อมกอดของเขา

ส่วนเหลียงอี้ที่กอดฉินชิงเอาไว้ก็รู้สึกว่าส่วนที่แตกสลายของตัวเองได้ถูกเติมเต็มอย่างช้าๆ ตอนเด็กๆ ถูกบิดาละเลย มารดาก็มัวแต่ยุ่งกับการจัดการสนมคนอื่นๆ จนละเลยการอบรมสั่งสอนเขา ผลักเขาให้แม่นมดูแล เขารู้ว่านางรักเขา แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกถูกเติมเต็มเหมือนในตอนนี้

เมื่อเขาเริ่มโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มารดาก็เลือกชายาแทนเขา หวังดีอยากให้เขามีครอบครัว จริงๆ นางก็ดี ทุกการกระทำล้วนปฏิบัติตามกฎ แต่เพราะทำตามกฎมากเกินไปจนไม่เคยใส่ใจเขาเลย

เขารู้ เขาสามารถสัมผัสได้ ในฐานะบุรุษคนหนึ่ง ใช่ว่าจะไม่รู้เลยว่าชายาของตัวเองนั้นชอบตนหรือไม่ ดังนั้นความหวังก็กลายเป็นความผิดหวังอีกครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นความสิ้นหวัง ไม่มีใครสามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของเขาได้ อย่างน้อยก็เป็นเขาที่ทำไม่ได้ เมื่อความผิดหวังถูกสะสมมาหลายครั้ง เขาก็ไร้ซึ่งความหวังแล้ว

สรุปง่ายๆ การเป็นฮ่องเต้นั้นมีประโยชน์มากมาย สามารถใช้กิจการบ้านเมืองที่ยุ่งเหยิงนี้มาผลักไสสิ่งที่ไม่เต็มใจอยากทำออกไปได้มากมาย อย่างเช่นการไม่ไปเยี่ยมมารดาของตนหากไม่จำเป็น และไม่เข้าใกล้ฮองเฮากับคนมากมายในวังหลัง เช่นนี้เขาก็จะไม่ฝากความรู้สึกไว้กับใครอีก

เขาทุ่มเททั้งหมดให้กับราชสำนัก คนอื่นย่อมบอกว่าเขาขยันหมั่นเพียรรักราษฎร ส่วนวังหลังของเขา จะมีใครพูดอะไรได้? ดูแลสิ่งหนึ่ง ต้องเสียอีกสิ่งหนึ่ง คนในใต้หล้าย่อมอยากเห็นเขาใส่ใจราชสำนักมากกว่า ไม่ใช่วังหลัง

ส่วนฉินชิงเดิมทีก็เหมือนกับคนที่เขาใช้เป็นหมาก แต่นางกลับทำให้เขาทั้งประหลาดใจและมีความสุขทีละนิดๆ

ภูมิหลังครอบครัวของนาง ตำแหน่งของบิดาไม่สูงไม่ต่ำ คนเช่นนี้เหมาะจะเลือกเข้ามาในวังหลัง

ตอนคัดเลือกหญิงงาม บทเพลงทัศนียภาพอันงดงามนั้นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ และเขาก็รู้สึกว่าตนสามารถให้ความโปรดปรานกับนางได้ ครั้งแรกที่เขาเรียกนางถวายตัว นางก็ทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง หญิงงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด เขารู้สึกว่าตนสามารถโปรดปรานนางเพิ่มขึ้นได้อีก และเมื่อนางเข้าใกล้เขา นางก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย

ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน เขาเริ่มรู้สึกสนใจนางขึ้นมา จึงเรียกนางมากินข้าวเป็นเพื่อน นางกินข้าวคำโต เพลิดเพลินไปกับอาหารเลิศรสซึ่งแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกสนใจนางมาก และการใกล้ชิดในวันนี้ทั้งวัน ความสงบเรียบง่ายและงดงามทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว

เหลียงอี้ไม่ใช่คนเยิ่นเย้อ ในเมื่อหวั่นไหว เช่นนั้นเขาก็จะลองดู แม้จะพ่ายแพ้สิ้นหวังแต่ก็ไม่เสียใจ

เพราะโอกาสแบบนี้หายากเกินไป เขากลัวว่าถ้าไม่คว้าเอาไว้ อาจไม่มีแล้ว บางทีเวลาอาจรักษาบาดแผลของเขาให้หายไปแล้ว ทำให้แผลของเขาหายดีและลืมความเจ็บปวด

แค่หวังว่านางจะทำตามความคาดหวังของเขาได้ หากครั้งนี้เขาผิดหวังอีกครั้ง เขาคงไม่คาดหวังเช่นนั้นอีก

เหลียงอี้กอดนางไว้นานมาก นานจนกระทั่งฉินชิงเกือบจะหลับไปในอ้อมแขนของเขา เขาถึงได้ปล่อยนาง จะทำอย่างไรได้ อ้อมกอดนี้อบอุ่นเกินไป ถูกลมหนาวพัดกระทบจนกระทั่งมาได้อ้อมกอดอันอบอุ่น นางไม่ง่วงก็แปลกแล้ว

หลังจากเหลียงอี้ปล่อยนาง ฉินชิงก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จึงทำได้เพียงกะพริบตามองเขาอยู่เช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะให้การบ้านนาง เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจจริงๆ

“ตอนบ่ายบอกว่าจะสอนเจ้าวาดรูป เมื่อบุรุษได้เอ่ยแล้วก็ต้องทำตาม เจิ้นจะทำตามสัญญา นับจากนี้เจ้าต้องฝึกฝนอย่างน้อยสามชั่วยามต่อวัน ตอนเช้าฝึกหนึ่งชั่วยาม ตอนบ่ายฝึกสองชั่วยาม เลือกที่คิดว่าดีที่สุดส่งไปยังตำหนักเซวียนเจิ้ง ข้าจะดูตอนที่ว่างแล้ว”

ฉินชิงคิดว่าเขาจะล้มเลิกความคิดนี้หลังจากที่ได้เห็นภาพวาดของนาง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมอบการบ้านให้กับนาง ปกติแล้วนางจะฝึกวันละหนึ่งชั่วยามหรือสองชั่วยามเท่านั้น แต่เขากลับให้นางฝึกสามชั่วยามในคราวเดียว ใครจะทนได้

ดังนั้นนางจึงพูดกับฮ่องเต้อย่างต่อรอง “ฝ่าบาท สามชั่วยามมันนานเกินไปหรือไม่ ท่านลดลงมาสักหน่อยไม่ได้หรือ”

“แค่สามชั่วยามเท่านั้น ตอนข้าสิบขวบ ข้าอยู่ในห้องเรียนวันละห้าชั่วยาม”

“จะเอาหม่อมฉันไปเปรียบเทียบกับฝ่าบาทได้อย่างไร ฝ่าบาทเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุด แม้แต่ตอนยังเด็กฝีมือก็ห่างไกลกันเกินไป ฝ่าบาทให้หม่อมฉันฝึกวันละหนึ่งชั่วยามได้หรือไม่?”

ฉินชิงดึงแขนเสื้อเหลียงอี้และมองเขาด้วยแววตาน่าสงสาร หวังว่าเขาจะปล่อยนางไป การฝึกฝนด้วยตัวเองกับการทำการบ้านนั้นมันแตกต่างกันมาก

เหลียงอี้มองไปที่นาง หัวใจก็อ่อนลง “เอาละๆ เช่นนั้นเจ้าฝึกวันละสองชั่วยามได้หรือไม่?”

ฉินชิงเห็นฮ่องเต้ใจอ่อนจึงมองเขาตลอด หวังว่าเขาจะลดลงให้อีกหน่อย รู้สึกว่าอารมณ์วันนี้ของเขาเปลี่ยนไปมาก อ่อนโยนราวกับหยก ราวกับว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างที่นางต้องการ

เหลียงอี้คิดว่านางคงแน่ใจแล้วว่าตนจะใจอ่อน ดังนั้นเขาจึงไม่มองนางอีก หากยังให้นางมองเขาต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าเขาคงใจอ่อนแล้ว ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นอาจารย์ผู้เคร่งครัด “ถ้าเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็วันละสามชั่วยาม” จากนั้นก็หันหน้าไปทางอื่น ไม่มองฉินชิงอีก

ฉินชิงรู้ด้วยว่าเขาจะไม่ยอมประนีประนอมอีก และกลัวว่าเขาจะให้นางฝึกวันละสามชั่วยามจริงๆ ดังนั้นจึงรีบตอบตกลง “เพคะๆ รับรองว่าภารกิจจะสำเร็จแน่”

ข้างนอกมืดแล้ว เหลียงอี้จูงมือฉินชิงไปที่เตียงนอน ก่อนจะโผเข้าหาฉินชิง

ค่ำคืนแห่งความสุขนั้นย่อมผ่านไปเร็ว แน่นอนว่าต้องทำในสิ่งที่ควรทำ

และฉินชิงรู้สึกว่าวันนี้เขาอ่อนโยนเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงดื่มด่ำกับความอ่อนโยนนี้ทันที แต่ฉินชิงไม่รู้ว่าจากนี้ไปนางจะตกหลุมพรางกับความอ่อนโยนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นหรือไม่...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด