ตอนที่แล้วบทที่ 10 ชีวิตประจำวันในวังหลัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 12 การบ้าน

บทที่ 11 สอนวาดภาพ


ในยามเช้าฉินชิงยังคงตื่นนอนเวลาเดิม หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จจึงอ่านเรื่องสั้นที่ตนยังอ่านไม่จบต่อจากเมื่อวานนี้ ความรู้สึกที่ถูกขัดจังหวะขณะอ่านนั้นค่อนข้างน่าอึดอัด

ฉินชิงอ่านนิยายอย่างมีความสุขจนถึงเวลาเที่ยง เสี่ยวอันจื่อลูกศิษย์ของจางเต๋อจงก็มารายงานที่ตำหนักจงชุ่ย

“เหนียงเหนียง วันนี้ฝ่าบาทต้องการเชิญท่านไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย จึงขอให้ท่านเตรียมตัวล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินชิงตอบกลับไปสองสามคำ ให้หยินผิงมอบซองจดหมายสีแดงให้เสี่ยวอันจื่อ และจากนั้นก็ให้สาวใช้แต่งหน้าสวมเครื่องประดับให้ตนเล็กน้อย

ฉินชิงไม่ได้แต่งหน้ามากนักเมื่ออยู่ในตำหนักของตัวเอง ในสมัยโบราณแม้จะบอกว่ามีเครื่องสำอางจากธรรมชาติที่ไม่เลว แต่เครื่องสำอางเหล่านี้ หากเป็นในยุคปัจจุบันนับว่าไม่ดีต่อผิว ดังนั้นหากเลี่ยงได้ฉินชิงจะทำ นางไม่อยากทำให้ผิวดีๆ ของนางต้องพัง

เป็นนิสัยธรรมชาติที่สตรีย่อมรักความงาม ชาตินี้ใบหน้าของนางงดงามกว่าชาติก่อน แน่นอนว่านางต้องทะนุถนอมไว้ จะไม่ทำลายความงามนี้เป็นอันขาด

ในตอนเที่ยง ฉินชิงนั่งเกี้ยวมุ่งหน้าไปยังตำหนักเซวียนเจิ้งของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังคงขยันหมั่นเพียร เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งวันจะหมดไปกับการจัดการราชกิจบ้านเมืองในตำหนักเซวียนเจิ้ง มีเพียงเวลากลางคืนเท่านั้นถึงจะได้พักผ่อน หากมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในราชสำนักก็จะยุ่งมากขึ้น

ในปีแรกของการขึ้นครองบัลลังก์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ ฮ่องเต้จะแช่อยู่ในห้องโถงตำหนักเซวียนเจิ้ง และในตอนนี้ สถานการณ์ในราชสำนักได้มั่นคงแล้ว เขาจึงสามารถพักผ่อนได้

เมื่อฉินชิงมาถึงตำหนักเซวียนเจิ้ง เป็นดังที่นางคาดไว้ ฮ่องเต้ยังคงจัดการกับราชกิจบ้านเมือง ดังนั้นฉินชิงจึงกินขนมรอเขาที่ห้องโถงด้านข้าง

ขนมถั่วกวนยังคงอร่อยมาก ขนมลาม้วนตัว [1] ก็อร่อยดี ฉินชิงกินขนมไปหลายชิ้นและดื่มชาไปสองสามถ้วยในคราวเดียว นางคิดว่าถ้าฮ่องเต้ไม่ออกมาเสียที นางคงอิ่มแล้ว

และในเวลานี้ ฮ่องเต้ก็ออกมาแล้ว

“สนมรักของข้ารอนานแล้ว พวกเรามากินอาหารกันเถอะ” ฮ่องเต้กล่าวกับฉินชิงด้วยรอยยิ้ม

ฉินชิงรอเกือบครึ่งชั่วยาม ในใจก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่นางยังคงพูดกับฮ่องเต้ด้วยใบหน้าอ่อนโยน “ฝ่าบาทจัดการกับราชกิจบ้านเมือง ให้หม่อมฉันรอนั้นถูกต้องแล้วเพคะ”

เมื่อได้เห็นนาง เหลียงอี้ก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าในตอนเช้าของเขาค่อยๆ จางหายไป จากนั้นก็จูงมือฉินชิงไปกินข้าว

อาหารของฮ่องเต้ยังคงอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าฉินชิงจะกินขนมไปไม่น้อย แต่นางยังคงมีความอยากอาหารไม่เปลี่ยนและกินได้ไม่น้อย

เมื่อฮ่องเต้เห็นว่านางกินน้อยกว่าคราวก่อน จึงเอ่ยถามฉินชิง “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกินน้อยกว่าครั้งที่แล้ว อาหารไม่อร่อยหรือ?”

ฉินชิงตอบฮ่องเต้ด้วยความเขินอาย “ตอนอยู่ห้องโถงด้านข้างเมื่อครู่ หม่อมฉันกินขนมไปไม่น้อยจึงรู้สึกอิ่มบ้างแล้วเพคะ”

แน่นอนว่าฉินชิงจะไม่บอกว่านางกินเพราะโลภมากในอาหาร ตอบแบบนั้นมันน่าขายหน้าเกินไป

เมื่อเหลียงอี้ได้ยินคำตอบเช่นนั้น กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ปล่อยให้นางรอนาน เมื่อจิ่นซิ่วมารายงานที่ตำหนักเฉียนชิงโดยบอกว่าฉินชิงใช้ชีวิตตามกฎระเบียบ ทันทีที่มาถึงก็แทบจะกินอาหารในทันที กินครบสามมื้อไม่ตกหล่นสักมื้อ หลังจากรอมานาน อาการหิวย่อมมีเป็นธรรมดา

จิ่นซิ่วคือคนที่เหลียงอี้ส่งไปดูแลฉินชิงโดยเฉพาะ ไม่ใช่เพื่อสอดแนมฉินชิง แต่กว่าจะได้พบคนที่ถูกใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉินชิงคือคนที่ทำให้เขาพอใจอย่างมากในวันคัดเลือกหญิงงาม ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ว่าคนผู้นี้ทำอะไรบ้างในแต่ละวัน

ตอนที่จิ่นซิ่วมารายงานว่าฉินชิงหยอกล้อนางกำนัลทุกวัน เหลียงอี้จึงคิดว่านางผู้นี้ช่างน่าสนใจดี งานอดิเรกของนางก็คือการหยอกล้อนางกำนัล เมื่ออยู่ต่อหน้าบ่าวรับใช้ในตำหนัก นางมักจะถามนางกำนัลว่าในอนาคตอยากมีสามีแบบไหน

สตรีคนอื่นต่างคอยแสวงหาแย่งชิงสิ่งที่ตนชอบสิ่งที่ตนอยากได้ทั้งวัน และวันๆ ก็เอาแต่ส่งน้ำแกงบำรุงมาที่ตำหนักเซวียนเจิ้ง หรือไม่ก็จะเดินเตร่ไปมาในสถานที่ที่เขามักจะไปปรากฏตัวมากที่สุด หรือไม่ก็จะคอยศึกษาว่าจะทำอย่างไรให้ตนงดงามยิ่งกว่าเดิมเพื่อให้เขาชอบ

แต่นางผู้นี้ตอนอยู่ในตำหนักไม่แต่งแม้แต่หน้า ทว่าความงามก็ยังคงงดงาม นางไม่มีเจตนาจะแย่งชิงความโปรดปราน ทุกๆ วันนอกจากสวนดอกไม้หลวงแล้วนางก็ไม่ได้ไปที่อื่นอีก

เมื่อวานนี้ จู่ๆ นางก็ให้คนส่งเกี๊ยวมาให้ ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยาก ดังนั้นวันนี้จึงชวนนางมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยโดยเฉพาะเพราะไม่ได้เจอนางมาสามวันแล้ว

เหลียงอี้จับมือฉินชิงแล้วพูดกับนาง “ครั้งหน้าจะไม่นานแบบนี้แล้ว”

นี่ฮ่องเต้กำลังรับปากนางหรือ? ประโยคนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของฉินชิงมาก แม้ว่านางจะเป็นคนในยุคปัจจุบัน แต่นางก็อยู่ในยุคโบราณมาสิบเจ็ดปีแล้ว และเข้าใจบุรุษในยุคนี้ไม่น้อย คำพูดเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนกับฮ่องเต้ที่พูดกับสนมอีกเป็นโหล

ฉินชิงข่มความรู้สึกเล็กน้อยที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้ไว้ในใจและตอบฮ่องเต้

“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

หลังทานอาหารเสร็จแล้วก็เลยเวลานอนกลางวันของฉินชิง ขณะที่นางกำลังจะบอกฝ่าบาทว่าจะกลับแล้ว

ฝ่าบาทก็พูดขึ้นมา “อยู่ช่วยฝนหมึกให้ข้าหน่อยสิ”

ฉินชิงจะพูดอะไรได้อีก แน่นอนว่าต้องบอกว่า “เพคะ”

ฝ่าบาทรั้งให้อยู่ทำงานของนางกำนัลฉินชิงก็ยังไม่รู้สึกขี้เกียจ ถึงอย่างไรไม่ว่าจะมองมุมไหนฝ่าบาทก็ยังคงงดงาม

เป็นแบบที่นางชอบ การได้มองไอดอลใกล้ๆ แบบนี้ ฉินชิงแทบอยากจะร้องกรี๊ดออกมา

ไม่ว่าตรงไหนก็ใช่ไปหมด อ๊าก!!!

ตอนที่ฝนหมึก ฉินชิงแอบมองเหลียงอี้ไม่หยุด จึงทำให้ฝนหมึกได้ช้ามาก

นี่หรือที่เรียกว่าบุรุษทำงานนั้นมีเสน่ห์ที่สุด?

ฉินชิงรู้สึกว่าฮ่องเต้ตอนทำงานนั้นจะหล่อเหลาและมีเสน่ห์มากที่สุด น้ำลายนางแทบจะไหลออกมาแล้ว หลงใหลในความงามของฝ่าบาทจนไม่อาจถอนตัวได้อีกแล้ว

ฉินชิงแอบมองแบบชัดเจนขนาดนี้ เหลียงอี้ย่อมสังเกตเห็นอยู่แล้ว ตอนแรกเขาก็รู้สึกภูมิใจ แต่หลังๆ เริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก

นางมองแบบนี้เขาก็ไม่มีสมาธิเลย เมื่อก่อนเขาจัดการฎีกาที่อยู่ตรงหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ตอนนี้ผ่านไปนานแล้ว เขาทำเสร็จได้แค่ไม่กี่ฉบับเท่านั้น

เหลียงอี้คิดว่าไม่อาจให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้ นางรบกวนเขาเล็กน้อย การตัดสินใจให้นางอยู่ด้วยเป็นเรื่องที่ผิด

เมื่อเห็นนางฝนหมึกช้าขนาดนี้ เหลียงอี้จึงเคาะศีรษะของนางเบาๆ

“ฝนหมึกช้าขนาดนี้ ไม่ตั้งใจเลยนะ ไม่ต้องฝนแล้วละ ช่วงบ่ายๆ เจ้าชอบวาดภาพไม่ใช่หรือ? ไปนั่งวาดตรงนั้นสิ วาดดอกไม้วาดนก ถ้าข้าจัดการกับงานเสร็จแล้วจะเข้าไปตรวจ

ฉินชิงคิดว่าตนถูกลงโทษแล้ว ยังมองความงามได้ไม่เต็มอิ่มเลย ทรมานจริงๆ ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะรู้ว่านางวาดภาพตอนบ่ายๆ ทุกวัน

จึงได้แต่เดินไปวาดรูปที่โต๊ะเล็กด้านข้างอย่างเงียบๆ

เมื่อวาดภาพต่อหน้าฮ่องเต้ย่อมต้องเลือกสิ่งที่ตนถนัด ปกติแล้วฉินชิงมักจะฝึกวาดภาพแบบเสี่ยอี้ [2] ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนไม่ถนัด ตอนนี้จึงเลือกภาพวาดกงปี่ [3] ที่ตนถนัดมากที่สุด

เมื่อไม่มีฉินชิงแล้ว เหลียงอี้ก็สามารถจดจ่อกับงานตรงหน้าได้ หลังจากที่จัดการกองฎีกาเสร็จแล้ว เขาก็มาดูภาพวาดที่ฉินชิงวาด

“ภาพวาดของเจ้าดูขาดความเป็นเอกลักษณ์ วาดได้ไม่ดีพอ” เหลียงอี้วิจารณ์ภาพวาดของฉินชิงอย่างไร้ความปรานี เมื่อมองดูภาพวาดที่ฉินชิงตั้งใจทำเมื่อครู่นี้ ล้วนแต่เป็นการวาดแบบกงปี่

ดังนั้นเขาจึงถามฉินชิงว่า “เหตุใดเจ้าถึงเลือกวาดภาพแบบกงปี่?”

รูปแบบการวาดภาพส่วนใหญ่ของต้าเหลียงล้วนเป็นเสี่ยอี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่เหลียงอี้จะถามคำถามนี้

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ถนัดวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก และการวาดแบบเสี่ยอี้นั้นจึงดูน่าเกลียดมากกว่าการวาดแบบกงปี่ ฝ่าบาทอย่าดูเลยเพคะ”

เมื่อเหลียงอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งอยากดู

“เจ้าวาดสิ ถ้าวาดไม่ดีข้าจะสอนเจ้าเอง”

กับเรื่องนี้ฉินชิงยินดียอมรับ ในเมื่อฮ่องเต้ยินดีสอน เช่นนั้นก็ยอมวาดแล้วกัน ถึงอย่างไรต่อให้เชิญอาจารย์มากมายมาสอนนางวาดก็ไม่มีประโยชน์ นางยอมแพ้แล้ว และเขาก็คงทนได้ไม่นานหรอก

จากนั้นนางก็เริ่มวาดภาพเสี่ยอี้

รอเหลียงอี้จัดการกับงานเสร็จ ฉินชิงก็วาดภาพได้หลายใบแล้ว แม้ว่าภาพเหล่านั้นจะดูแย่มากจนทนมองไม่ได้  แต่อย่างน้อยก็พยายามแล้ว และได้เอาจริงเอาจังกับมันได้สำเร็จ

เหลียงอี้มองไปที่ภาพวาดของฉินชิง จู่ๆ ก็รู้สึกอยากจะขุดหลุมฝังตัวเอง ภาพวาดแบบกงปี่เมื่อครู่นี้ยังพอเข้าตาอยู่ แต่ในตอนนี้ การวาดแบบเสี่ยอี้ของนางกลับไม่ต่างอะไรจากภาพตอนที่เขาวาดเมื่ออายุสิบขวบ เมื่อครู่ที่เขาบอกจะสอนนาง นี่อาจเป็นภารกิจที่ยากลำบากแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่นางจะตอบตกลงโดยไม่ลังเล คงเพราะคิดว่าเขาจะยอมแพ้เมื่อเห็นภาพวาดของนาง

“ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับภาพวาดของเจ้าดี เอาไว้ก่อนเถอะ ไปกินข้าวก่อน”

เมื่อฉินชิงได้ยินดังนั้น นางจึงคิดว่าฮ่องเต้ยอมแพ้แล้ว นางคิดว่าอย่างน้อยเขาอาจจะสอนนางเสียหน่อยถึงค่อยยอมแพ้ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ แต่อย่างไรเสียการกินข้าวนั้นสำคัญกว่า นางวาดภาพนี้ตลอดทั้งบ่ายก็รู้สึกเหนื่อยจะตายแล้ว

“ได้เลยเพคะ ฝ่าบาทรีบขอให้คนมาส่งอาหารเถอะ หม่อมฉันกำลังหิวพอดี”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเรียกจางเต๋อจงให้เขาไปเร่งให้”

เมื่อฮ่องเต้หิว ห้องเครื่องย่อมต้องรีบหน่อย ไม่นานอาหารก็นำมาส่ง

เมื่อมองดูอาหารน่าอร่อยที่วางไว้บนโต๊ะ ในสายตาของฉินชิงนั้นเต็มไปด้วยอาหาร มาตรฐานอาหารของฮ่องเต้ย่อมอุดมสมบูรณ์มากกว่านาง ทุกครั้งที่ฮ่องเต้เรียกนางกินข้าว นางก็จะได้กินอิ่มหนำในมื้อนั้น

เมื่อมีอาหารเลิศรสก็ย่อมไร้ซึ่งความกังวล มันช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการวาดภาพเมื่อตอนบ่ายได้ไม่น้อย

---------------------------------------------

(1) ลาม้วนตัว หมายถึง ขนมพื้นเมืองของชาวปักกิ่ง มีต้นกำเนิดมาจากชาวแมนจู

(2) ภาพวาดเสี่ยอี้ หมายถึง  ศิลปะในการวาดภาพของจีนชนิดหนึ่ง เน้นการเคลื่อนไหวพู่กันอย่างอิสระ ไม่เน้นความเหมือนจริง แต่เน้นอารมณ์ความรู้สึกของภาพ

(3) ภาพวาดกงปี่ หมายถึง ศิลปะในการวาดภาพของจีนแนวอัตถนิยมชนิดหนึ่ง ที่เน้นหนักในทางการลงรายละเอียดอย่างประณีตบรรจง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด