ตอนที่แล้วบทที่ 10 การประเมินก่อนเข้าโรงเรียน (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 ยารักษาน้ำร้อนลวก (2)

บทที่ 11 ยารักษาน้ำร้อนลวก (1)


เขาชะงักฝีเท้า เสิ่นเยว่เองก็ชะงักฝีเท้าเช่นกัน

เขาสูงกว่าเสิ่นเยว่มาก หากเสิ่นเยว่ต้องการมองเขา ก็ทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

รูปร่างนางยังโตไม่เต็มวัย หน้าตาไม่ถือว่าเด่นกว่าคนทั่วไป แต่รอยยิ้มในดวงตากลับคล้ายน้ำใสในวสันตฤดู ทั้งสะอาดและใสแจ๋ว

สายตาจัวหย่วนอดไม่ได้ที่จะหยุดมองที่ดวงตาของนาง

เสิ่นเยว่สนใจเพียงจะอธิบายให้เขาฟัง ภายในใจจึงไม่มีความคิดอื่นปะปน “ความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายของเสี่ยวอู่ดีมาก กล้ามเนื้อมัดเล็กดูอ่อนแอกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น แต่ในช่วงอายุนี้ถือว่าปกติ หากต้องการฝึกฝนความสามารถในการเขียนพู่กันให้เขา ต้องให้เขาฝึกใช้ความสามารถของกล้ามเนื้อมัดเล็กที่นิ้วมือโดยสัญชาตญาณ...”

ความสามารถของกล้ามเนื้อมัดเล็ก

เดิมทีจัวหย่วนเบี่ยงเบนความสนใจไปแล้ว แต่คล้ายกับถูกคำพูดของนางดึงดูดกลับมาอีกครั้ง

ในดวงตาซ่อนความไม่แน่ใจเอาไว้

เสิ่นเยว่ลองบรรยายให้เห็นภาพด้วยถ้อยคำที่เรียบง่าย “อย่างเช่นการฝึกใช้ตะเกียบให้คล่องก็เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หรือการร้อยไข่มุก นับเมล็ดถั่ว การคีบลูกแก้ว เกมประเภทนี้ล้วนสามารถฝึกให้เด็กใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้”

จัวหย่วนคล้ายกับเข้าใจความหมายของนางขึ้นมาบ้าง สายตาจมดิ่ง มองนิ่งที่พื้น เขาถูกนางเตือนสติ

แต่ไหนแต่ไรมา เขาคิดว่าเสี่ยวอู่ควบคุมพละกำลังปลายนิ้วมือได้ไม่ดีพอ ก่อนหน้าที่จะได้ฟังเสิ่นเยว่อธิบายเรื่องกล้ามเนื้อมัดเล็กจบ เขาคิดมาตลอดว่าเหตุเกิดเพราะกำลังของเสี่ยวอู่ไม่มากพอ แต่ปกติแล้วเสี่ยวอู่มักกระโดดโลดเต้นไปมา เวลาเล่นสนุกหรือมีเรื่องต่อยตีกลับมีพละกำลังมากพอ

อย่างเช่นในเมื่อครู่ ขณะที่เสี่ยวอู่กวัดแกว่งดาบไม้ไปมาแล้ววิ่งพุ่งมาที่จัวหย่วน ดูเหมือนเขาจะใช้แรงไม่น้อย

การฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างตรงจุดที่เสิ่นเยว่กล่าวมาทำให้เขานึกได้ในฉับพลัน เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ง่าย แต่เหตุใดก่อนหน้านี้เขาจึงคิดไม่ถึง?

เขาไม่มีความละเอียดรอบคอบเท่าเสิ่นเยว่...

ข้างหู เสียงของเสิ่นเยว่ดังขึ้นต่อ จัวหย่วนเก็บอาการ เบนสายตาไปมองนาง

“ระหว่างที่เล่นเกมเหล่านี้ ความสนใจของเด็กจะรวมอยู่ที่การเคลื่อนไหวของนิ้วมือ การฝึกนิ้วมือซ้ำไปซ้ำมาจะทำให้เด็กควบคุมระดับพละกำลังและระดับความละเอียดของการเคลื่อนไหวนิ้วมือได้ และสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือความสามารถในการสังเกตและความสามารถในการทำงานร่วมกันของมือกับสมองของเด็กจะได้รับการฝึกฝนไปด้วย เมื่อเปรียบเทียบเกมเหล่านี้กับการฝึกจับพู่กัน เกมจะสามารถทำให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเพลิดเพลิน ทั้งยังไม่น่าเบื่อ...”

จัวหย่วนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ยังมีอีกหรือไม่?”

เขาเชื่อคำพูดเมื่อครู่ของนาง

เสิ่นเยว่ชะงักเล็กน้อย ที่จริงแล้วนางอยากจะพูดว่าอายุเสี่ยวอู่ยังน้อย การพัฒนานิ้วมือจำเป็นต้องใช้เวลา อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเริ่มฝืนเรียนจับพู่กันในตอนนี้...

แต่ที่นี่ไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่จะทะลุมิติมา...

เด็กเล็กของตระกูลสูงศักดิ์ โดยเฉพาะลูกหลานตระกูลขุนนาง โดยพื้นฐานแล้วในวัยก่อนเรียนก็จะเริ่มฝึกเขียนอักษร นี่เป็นการศึกษาแบบเสรีนิยม ไม่มีใครคิดว่าไม่ถูกต้อง สิ่งที่นางสามารถทำได้คือพยายามอย่างสุดความสามารถในการโน้มน้าวเด็กที่อยู่รอบตัวนาง

อย่างเช่นหานเซิง หานเซิงเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้พู่กันเขียนอักษรในช่วงวัยที่เหมาะสม เพราะเข้าใจเหตุผล ความรู้สึกต่อต้านในการเขียนอักษรจึงต่ำ อีกทั้งยังมีความมานะในการฝึกฝน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเรียนรู้ได้ทัน ประกอบกับที่อายุมากขึ้นเล็กน้อย ความสามารถในการจับพู่กันจึงดีมากกว่า ตัวอักษรของหานเซิงจึงเขียนได้ดี

แต่เสี่ยวอู่แตกต่าง

เสี่ยวอู่เป็นเด็กในจวนอ๋อง มีอาจารย์คอยสอนตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อครู่นางเพียงถามหยั่งเชิง อ๋องผิงหย่วนกลับพูดถึงเรื่องการฝึกเขียนของเสี่ยวอู่จริงๆ ทั้งยังมองว่าเป็นเรื่องสำคัญมากอีกด้วย

ตอนนี้แม้ว่าอ๋องผิงหย่วนจะเชื่อใจนาง แต่ความเชื่อใจเช่นนี้เป็นความเชื่อใจที่จะให้นางดูแลเด็กๆ ในจวน รวมถึงจัดการเรื่องต่างๆ ภายในโรงเรียนอนุบาล แต่หากนางใช้ความเชื่อใจนี้เพื่อ ‘ปกป้อง’ เด็กๆ ไม่ให้เขียนอักษร ความเชื่อใจก็คงสลายหายไปอย่างรวดเร็ว จึงทำได้เพียงให้เขาคุ้นชินแล้วค่อยๆ ซึมซับไปตามลำดับ

เสิ่นเยว่เก็บอารมณ์แล้วกล่าวกับจัวหย่วน “ท่านอ๋องจะต้องเตรียมใจไว้ เสี่ยวอู่อาจต้องใช้เวลาสักพัก แต่เมื่อรอให้ฝึกฝนได้ดีแล้ว วิชาการเขียนอักษรของเขาใช้เวลาอีกสักพักก็จะเรียนรู้ได้ทัน เร่งร้อนไปในเวลานี้ในทางกลับกันอาจได้ไม่คุ้มเสีย”

นางสามารถพูดแทนเสี่ยวอู่ได้มากขนาดนี้เพียงชั่วคราว

จัวหย่วนก้มหน้าครุ่นคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็เงยหน้ามองนาง “เช่นนั้นรอข้ากลับมาจากออกศึกค่อยว่ากัน ช่วงเวลานี้ให้เสี่ยวอู่ทำตามการจัดการของเจ้าก่อน วิชาเขียนอักษรสามารถรั้งรอเวลาได้ชั่วคราว”

เขาไม่ได้จงใจคล้อยตามนาง แต่เป็นเพราะคำพูดของนางมีเหตุผล

ปัญหาเสี่ยวอู่กับอาจารย์สอนเขียนอักษรไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ก่อนหน้าไม่ว่าจะลงโทษ ฝึกฝน หรืออดทนพูดคุยก็ทำมาหมดแล้ว แต่เสี่ยวอู่ก็ยังเขียนได้ไม่ดี เขาเองเมื่อได้ฟังเสิ่นเยว่พูดในวันนี้ถึงคล้ายกับจะเข้าใจในเหตุผลอย่างชัดเจนขึ้น

ครั้งนี้ที่ไปจัดการความขัดแย้งทางทิศใต้ เร็วสุดสามเดือน ช้าสุดสี่ห้าเดือน ไม่นับว่านานนัก

เสิ่นเยว่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับง่ายดายขนาดนี้ ความดีอกดีใจล้วนปรากฏบนใบหน้า

จัวหย่วนเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะแสดงความรู้สึกเช่นนี้เพราะเรื่องเสี่ยวอู่

“เรื่องภายในบ้านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?” จัวหย่วนถามขึ้นอย่างฉับพลัน

การแสดงออกทางสายตาของเสิ่นเยว่คล้ายกับมืดสลัวลง ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ “จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ จากเมืองหลวงไปเมืองตานเฉิงใช้เวลาเพียงสองสามวัน หากเดินทางโดยไม่พัก การเดินทางไปกลับอาจใช้เวลาเพียงสามวัน ไม่ถือว่าไกล ข้าสามารถเดินทางไปเมืองตานเฉิงในทุกๆ ครึ่งปีเพื่อพบท่านลุง ท่านป้า ญาติผู้พี่ และน้องชาย”

เมื่อวานไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเขา

วันนี้ช่วงเช้ายังต้องอยู่กับผู้ดูแลจวนเถา ในทางกลับกันมิสู้กล่าวขอบคุณเสียตั้งแต่ตอนนี้

เสิ่นเยว่ยอบตัวทำความเคารพเขา “ญาติผู้พี่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ท่านลุงสามารถย้ายงานไปเมืองตานเฉิงได้อย่างราบรื่น ขอบคุณท่านอ๋องมาก...”

จู่ๆ จัวหย่วนก็รู้สึกขาดความมั่นใจ

กำมือแล้วยกขึ้นปิดปากกระแอมสองครั้ง ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามว่า “ในตอนที่ไปจากเมืองหลวง น้องชายร้องไห้หรือไม่?”

จัวหย่วนถามขึ้นอย่างกะทันหัน เสิ่นเยว่ที่เก็บอารมณ์ไว้ตลอดเวลาจึงแสดงอาการออกมาเล็กน้อย “อายุยังน้อย ร้องไห้อยู่บ้าง แต่เพราะเข้าใจในเหตุผลและเชื่อฟัง...”

จัวหย่วนถอนหายใจกล่าว “ตอนที่ข้ายังเล็กก็เป็นเช่นกัน แม้แต่ในตอนที่พี่น้องติดตามท่านพ่อไปออกศึกและต้องรีบเดินทาง บางครั้งก็ร้องไห้ แต่รู้ว่าพวกเขาไปทำในสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นจึงเข้าใจในเหตุผลและเชื่อฟัง ทั้งที่จริงๆ แล้วรู้สึกเสียใจ...”

จัวหย่วนเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องบอกนาง

เพียงแต่เมื่อพูดจบ คิ้วจึงค่อยๆ ขมวดขึ้นและคล้ายกับว่าจะเพิ่งนึกขึ้นได้

เสิ่นเยว่หัวเราะเล็กน้อย พลางสังเกตมองเขาอย่างละเอียด

หากจัวหย่วนสังเกตเห็นไม่ผิด สายตาของนางที่มองเขาในตอนนี้เหมือนสายตาที่นางใช้ประเมินมองเสี่ยวอู่...

จัวหย่วนค่อยๆ ควักเอาขวดเล็กขวดหนึ่งออกมา แล้วส่งไปตรงหน้านาง

เสิ่นเยว่ลังเล ไม่กล้ารับ แล้วมองไปทางเขาด้วยสายตาประหลาดใจ

เขากล่าวด้วยเสียงที่เบา “รับไว้สิ”

เสิ่นเยว่ทำได้เพียงค่อยๆ รับมา มองแค่ภายนอกมองไม่ออกจริงๆ ว่าข้างในใส่อะไรอยู่

จัวหย่วนกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ยารักษาน้ำร้อนลวก ประทานมาจากในวัง”

ยารักษาน้ำร้อนลวกที่ในวังประทานให้...

สักพักเสิ่นเยว่ถึงได้มีการตอบสนอง นางมองไปยังแผลบนง่ามนิ้วที่เริ่มหายดีของตนเอง ทว่ากลับทิ้งแผลเป็นเอาไว้ จู่ๆ ภายในใจก็นิ่งชะงักไป ในตอนที่เงยหน้ามองเขา จัวหย่วนก็ก้าวเท้าเดินจากไปแล้ว เสียงดังลอยมาตามลม “เมืองตานเฉิงไม่จำเป็นต้องรอถึงครึ่งปีค่อยไปหนึ่งครั้ง บอกลุงเถา ทุกสองเดือนหยุดหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินทางให้จัดการเรื่องภายในจวนให้เรียบร้อยก็พอ...”

สายตาของเสิ่นเยว่หยุดมองอยู่ที่แผ่นหลังของเขาเป็นเวลานาน...

เมื่อแผ่นหลังของเขาลับสายตาไปจากทางเดินยาวที่อยู่ไกลๆ เสิ่นเยว่ถึงได้ก้มหน้ามองขวดเล็กในมือตนเองอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องวางใกล้ปลายจมูกก็ได้กลิ่นหอมของอวี้หลานขาวจางๆ

หอมจรุงใจ ทั้งยังแฝงไปด้วยความอบอุ่น...

……

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด