บทที่ 102 แผนต่อไป
บทที่ 102 แผนต่อไป
เอไลตัดสินใจพักเรื่องซากมรดกไว้ก่อน อย่างไรก็ตามขอบเขตที่จะค้นหานั้นใหญ่เกินไปเล็กน้อย และถ้าเขาต้องค้นหามันด้วยตัวเอง อาจใช้เวลานานอย่างมาก
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะค้นหามันด้วยตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วแม้แต่เซวิโร่ เมซาที่อยู่คนเดียวมานานกว่า 20 ปี ก็ค้นหาเพียงสี่ถึงห้าอาณาจักรรอบ ๆ เท่านั้นแต่เขาก็ยังไม่พบอะไรเลย อย่างไรก็ตามครั้งนี้เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่กว่ามันมีเยอะถึงหลายสิบอาณาจักร
แน่นอนว่าเอไลมีเวลา แต่เขาก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น
ในเมื่อเขาควบคุมอาณาจักรผ่านแอนนาได้แล้ว ทำไมเขาต้องค้นหามันด้วยตัวเอง? อันที่จริงนี่เป็นความคิดที่ซาลีน เมทาตินมอบให้เขา เอไลคิดแผนนี้ออกตั้งแต่ที่เขารู้ว่าเจ้าหญิงกำลังรับสมัครอาจารย์ในตอนนั้นแล้ว
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะรับประกันความปลอดภัยของตัวเองในอาณาจักรแห่งนี้ได้ แต่เขาจะปล่อยให้การค้นหาเป็นหน้าที่ของผู้คนจากอาณาจักรไบรน์
มันอาจจะใช้เวลานานเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็เร็วกว่าเอไลค้นหาคนเดียวก็แล้วกัน
เอไลเตรียมที่จะปักหลักอย่างถาวรในเมืองจูนลินอีกครั้ง
จุดประสงค์ของการพำนักถาวรของเขาคือเพื่อศึกษาประสบการณ์ที่เขาได้รับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สิ่งที่เขาต้องการเรียนรู้ และสิ่งที่ซาลีน เมทาตินทิ้งไว้เบื้องหลัง สิ่งนี้อาจมีความสำคัญสำหรับเขามากกว่าในระยะยาว
แถมเขายังต้องเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวไปสู่นักเวทย์อย่างเป็นทางการ
หลังจากที่เขาก้าวไปสู่การเป็นนักเวทย์อย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปยังโลกของนักเวทย์ที่แท้จริงหรืออยู่ที่นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาจะคิดถึงมันเมื่อถึงเวลา
…
สามเดือนต่อมา
คฤหาสน์เล็ก ๆ นอกเมืองจูนลิน ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นคฤหาสน์เลตัน ซึ่งทำให้มันดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก
เพราะคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ง่ายเลย แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่โตนัก แต่มันก็เป็นของราชวงศ์ แถมยังมีป่าเล็ก ๆ อยู่ใกล้คฤหาสน์ และทุก ๆ ปีราชวงศ์จะรวบรวมขุนนางบางส่วนเพื่อมาล่าสัตว์ที่นี้
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้คฤหาสน์ไม่เพียงเปลี่ยนชื่อเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถทำการล่าสัตว์อีกต่อไปได้ เพราะราชินีได้มอบมันให้นักวิชาการชื่อเอไลแทน สิ่งนี้ทำให้หลายคนสงสัยเกี่ยวกับภูมิหลังของเอไล
แต่หลังจากการสืบสวนเล็กน้อย ก็รู้ว่าภูมิหลังของเอไลนั้นเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาสงสัยคือเขาอาจเป็นอาจารย์ของราชินีแอนนาที่หายตัวไปนานเป็นสิบปีคนน้น ซึ่งทำให้ขุนนางหลายคนถอนหายใจกับความผูกผันขององค์ราชินี
…
“หลังการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว สถานที่นี้ควรเป็นสถานที่ที่มีองค์ประกอบธาตุเข้มข้นมากที่สุดทั่วบริเวณเมืองจูนลิน”
ภายในคฤหาสน์เลห์ตัน เอไลมองดูคฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้าเขาแล้วยิ้มออกมา
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เขาต้องการเพาะปลูกพืชวัตถุดิบเท่านั้นและแต่เขายังต้องการเลี้ยงสัตว์อสูรบางตัวอีกด้วย เพราะเขายังต้องทำการทดลองทางสายเลือด ในกรณีนี้ทำให้เขาต้องละทิ้งบ้านเดิมไป ยิ่งไปกว่านั้นหุบเขาที่เขาใช้ฝึกฝนยังอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงต้องการย้ายไปยังตำแหน่งที่ใกล้กับหุบเขามากขึ้น
หลังจากสังเกตมาระยะหนึ่ง สถานที่นี้ควรเป็นสถานที่ที่มีองค์ประกอบธาตุเข้มข้นที่สุด ดังนั้นเขาจึงขอให้แอนนามอบคฤหาสน์หลังนี้ให้กับเขา
แผนของเขาคือครึ่งหนึ่งเขาจะทำการเลี้ยงสัตว์อสูรเพื่อความสะดวกในการทดลองสายเลือด อีกครึ่งหลังคือการปลูกพืชเวทมนตร์และสร้างห้องทดลองของตัวเอง เพื่อที่เขาจะทำตามแผนการของเขาให้สำเร็จเขาต้องได้คฤหาสน์หลังนี้มา
สำหรับคนงานที่นี่ เขาเตรียมพร้อมที่จะใช้ทาสหรือนักโทษประหารที่มีตราประทับจิตวิญญาณสำหรับการทดลองที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ที่จำเป็นต้องใช้มนุษย์จริงๆ ด้วยวิธีการนี้เขาสามารถมั่นใจได้ว่าเรื่องของเขาจะไม่รั่วไหล
การกลับที่เมืองจูนลินในครั้งนี้ เอไลได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดของตัวเองไปอย่างมาก
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขาทำให้เขาไม่เกรงกลัวอะไรมากนัก ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขายังสามารถควบคุมราชินีแห่งอาณาจักรไบรน์ มันคงเป็นเรื่องตลกถ้าเขายังใช้ชีวิตเหมือนในอดีต ตอนนี้เขาพัฒนาขึ้นมากแล้ว ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลจากน้ำพักน้ำแรงของเขาสักหน่อย
สำหรับซากมรดก ราชินีแอนนาได้จัดให้คนจำนวนมากค้นหามันแล้ว ส่วนจะพบเมื่อไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“หลังจากเดินทางมาสิบสองปี ก็ได้เวลาลงหลักปักฐานอีกครั้ง!” เอไลเม้มริมฝีปากของเขาและเดินเข้าไปที่คฤหาสน์
…
หนึ่งเดือนต่อมา
ที่ด้านหลังของคฤหาสน์
ลมเย็นพัดผ่านมา เอไลเดินออกมาจากหลังต้นไม้ จ้องมองไปยังทุ่งสมุนไพรวิเศษที่อยู่เบื้องหน้าเขา
ในพื้นที่ห้าถึงหกหมู่ข้างหน้าเขา เอไลได้ปลูกพืชวิเศษทุกชนิดแล้ว บางส่วนสามารถพบได้ในอาณาจักรไบรน์ ในขณะที่บางส่วนสามารถพบได้เฉพาะในอาณาจักรอื่นๆเท่านั้น แน่นอนมันเป็นสมุนไพรที่เขานำติดตัวมาด้วยในระหว่างการเดินทาง
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งอำนวยสะดวกสำหรับเอไลในการศึกษาและเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง และที่สำคัญที่สุดก็คือพื้นที่เล็กๆ ทางใต้สุดของทุ่งสมุนไพรเวทมนตร์นี้ มีต้นไผ่สีเลือดปลูกอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นพืชล้ำค่าที่เอไลพบที่อาณาจักรลอร์เรนนั่นเอง
“มันเป็นพืชที่แปลกจริงๆ!” เอไลเดินไปยังบริเวณนั้น
ในพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร มีพืชแปลกๆ อยู่สามต้น มันงอกขึ้นเรียงตัวเหมือนท่อนไม้ไผ่ แต่มีขนาดเล็กกว่าไม้ไผ่มาก พวกมันทั้งหมดเป็นสีแดงเลือด ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือบนยอดไผ่มีดอกไม้สีขาวที่มีหนวดโปร่งแสงเจ็ดหรือแปดเส้นแกว่งไปมาในเกสรตัวผู้
นี่คือดอกไผ่สีเลือด ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เอไลได้รับระหว่างการเดินทางของเขา
อย่าดูถูกพืชชนิดนี้เอไลเห็นว่ามันดูดพลังชีวิตทั้งหมดของควายป่าตัวใหญ่ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที มันเป็นปีศาจดูดเลือดอย่างแท้จริง
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือหลังจากดูดซับเลือดแล้ว ระดับพลังงานของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และมีความผันผวนเล็กน้อยของพลังจิตวิญญาณอีกด้วย
เอไลเห็นศักยภาพและเห็นคุณค่าของมันอย่างมาก
ในขณะนี้ ต้นไผ่ทั้งสามดูเหมือนจะหิว หนวดของพวกมันแกว่งไปมา และดอกไม้ก็ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ ดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้เคียงให้เข้ามาใกล้ๆเพื่อให้มันดูดเลือด
เอไลเพิกเฉยต่อสิ่งนี้และเฝ้าดูกลิ่นหอมที่แพร่กระจายไป
ในไม่ช้าหนูตัวหนึ่งก็วิ่งออกมาจากป่าในระยะไกลและเข้ามาใกล้ ๆ ดอกไผ่สีเลือด ในชั่วพริบตาหนวดสองสามเส้นพุ่งออกมาและแทงทะลุตัวหนู หนูไม่มีเวลาตอบสนองก่อนที่มันจะตายไปอย่างรวดเร็ว
และหนวดที่เข้าไปในร่างกายของหนูไม่ได้อยู่เฉยๆ มันเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และเลือดสีแดงสดก็ไหลมาตามหนวดจนถึงกลีบดอก และเปลี่ยนกลีบสีขาวให้เป็นสีแดงสด
“เยี่ยม ตอนนี้แหล่ะ!” เอไลองดูและเด็ดกลีบดอกไม้ทันที ในขณะนั้นก็มีพลังทางวิญญาณเข้มข้นอยู่ในกลีบดอกไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เอไลต้องการอย่างแท้จริง
ด้วยดอกไม้ในมือเอไลรีบกลับไปที่ห้องทดลองและเริ่มการทดลองรอบใหม่
…
สำหรับการทดลองนั้น เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สามปีต่อมา
ในห้องปฏิบัติการ
เอไลค่อยๆ หยดยาสีแดงเลือดหยดลงบนเซลล์เนื้อเยื่อของมนุษย์ที่ได้รับการปลูกฝัง
มันกินเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น
เซลล์ร่างกายของมนุษย์ก็เริ่มเหี่ยวเฉาและสูญเสียพลังชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ในเวลาเดียวกันพวกเขาเริ่มแตกตัวออก อย่างไรก็ตามเมื่อเซลล์แตกออก ร่องรอยของพลังวิญญาณก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน
“ข้าล้มเหลวอีกแล้ว” เอไลขมวดคิ้วเขาลืมไปแล้วว่าการทดลองของเขาล้มเหลวมากี่ครั้งแล้ว อย่างไรก็ตามครั้งนี้เขาใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว
ท้ายที่สุดมันเป็นเพียงปัญหาเล็ก ๆ ของการแตกของเซลล์เท่านั้น เขาเชื่อว่าตราบใดที่สิ่งนี้ได้รับการแก้ไข ยาเพิ่มพลังจิตชนิดใหม่ของเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นอกจากนี้สิ่งที่เอไลอยากรู้คือทฤษฎีทางชีววิทยาที่อยู่เบื้องหลังพืช นี่เป็นเรื่องที่เขาต้องวิจัยเช่นกัน แต่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
“แต่ยาวิเศษมันก็เกือบจะเสร็จแล้ว โครงการทดลองนี้คุ้มค่ากับที่ข้าลงแรงไปจริงๆ และเหลือเลือดของสัตว์อสูรบางชนิด บางทีข้าน่าจะลองทำการทดลองใหม่ดูอีกรอบ”
เมื่อวางยาวิเศษลง เอไลก็เหยียดร่างกายของเขา
การปรุงยาเป็นเพียงหนึ่งในการทดลองมากมายของเขา และมีความคืบหน้าในการทดลองอื่นๆ ด้วย
“เราจะค่อยเป็นค่อยไป” หลังจากยืดร่างกายแล้วเอไลก็ทำการทดลองต่อไป
สิ่งที่ซาลีน เมทาตินทิ้งไว้ช่วยพัฒนาความรู้และทักษะของเขาอย่างรวดเร็ว เขาทนไม่ได้ที่จะเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจเรื่องอื่น
ไม่ว่าโลกภายนอกจะขึ้นหรือลงจะวุ่นวายขนาดไหนเขาก็ไม่สนใจ เขาเพียงแค่อยู่ในห้องทดลองของเขา เขาจะปล่อยให้แอนนาจัดการกับทุกสิ่งภายนอกนั่น