บทที่ 391: ก้อน ‘อึ’ สีดำ
ขณะที่หลงเหยาพูด เขากำลังจะบินไปเปิดประตู
เมื่อพี่น้องคนอื่นเห็นอย่างนี้ พวกเขาก็รีบเข้าไปขวางเจ้ามังกรจอมจุ้น “เสี่ยวเหยา เจ้าเข้าไปไม่ได้!”
ท่านพ่อส่งทุกคนออกมาเพราะไม่อยากให้พวกเขาอยู่ในบ้านไม่ใช่หรือ?
ถ้าเจ้าตัวเล็กเข้าไปตอนนี้ล่ะก็ ท่านพ่อต้องโกรธมากแน่ ๆ
หลังจากนั้นไม่ต้องสืบก็รู้ว่าพวกเขาได้เละเป็นโจ๊กแน่นอน
“ทำไมเสี่ยวเหยาเข้าไปไม่ได้ นี่คือบ้านของเสี่ยวเหยานะ ฮึ่ม...” หลงเหยาเม้มริมฝีปากและยังคงบินตรงไปที่ประตูโดยไม่ได้สังเกตว่าพวกพี่ ๆ ที่อยู่ข้างหลังกำลังทำอะไร
ขณะนี้หลงอวี้ตรงเข้าไปปิดปากของน้องชาย หลงจงกอดหางมังกร ส่วนเด็กที่เหลือจับอุ้งเท้าที่สะบัดไปมาเพื่อตรึงคนตัวเล็กให้แน่นจนเจ้าตัวขยับไปไหนไม่ได้
ก่อนที่หลงเหยาจะทันได้ขัดขืนดิ้นรน ทุกคนก็พาเขาหนีออกไปจากบ้านหิน
“อื้อ ๆ!”
“พวกท่านโกหก!”
“พวกท่านจะจับเสี่ยวเหยาไปไหน!”
ตอนนี้หลงเหยาโมโหมาก
ไม่กี่นาทีต่อมา เด็กทั้ง 5 ก็พาเจ้าตัวแสบออกมาไกลจากบ้านหิน
ขณะนั้นมังกรน้อยรู้สึกไม่พอใจพร้อมกับขดตัวจนเป็นก้อนกลม เขาฝังหัวไว้ตรงกลางลำตัวโดยที่เกล็ดมังกรทุกชิ้นบนร่างกายดูเหมือนจะพูดว่า
เสี่ยวเหยาโกรธมาก!
โกรธสุด ๆ!
ถึงพวกท่านจะเอาแกะย่างทั้งตัวมาง้อ เสี่ยวเหยาก็จะไม่ยกโทษให้ใครทั้งนั้น!
ส่วนพวกพี่ ๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองไปที่ ‘ก้อนอึ’ สีดำขนาดใหญ่น่าเกลียดบนหิมะแบบพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
จากนั้นพวกเขาหันมามองหน้ากันและพูดขึ้นมาเกือบจะพร้อมกันว่า
“วันนี้ใครจะดูแลเสี่ยวเหยา?”
เนื่องจากทุกคนออกจากบ้านมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถกลับไปได้อีกสักพักใหญ่ ๆ
แต่อากาศข้างนอกหนาวมาก พวกเขาจึงไม่ควรพาน้องเล็กรับลมชมตะวันเป็นเวลานาน
ที่สำคัญก็คือ…
ตอนนี้ไม่มีใครอยากพก ‘อึ’ ก้อนโตติดตัวไปด้วย
ช่างน่าหนักใจเสียจริง…
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลย ใครก็ตามที่อยากพาเสี่ยวเหยาไปให้ก้าวออกมาข้างหน้า” หลงอวี้กระแอมในลำคอก่อนจะประกาศ
ซึ่งพี่น้องคนอื่นก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในวินาทีต่อมา เด็กทั้ง 4 คนยกเว้นหยินชางก็ก้าวถอยหลังไป 1 ก้าว
“???” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่กับที่มีสีหน้างุนงงทันที
“พี่หยินชาง ข้าขอฝากเสี่ยวเหยาไว้กับท่านด้วย อย่าลืมพาเสี่ยวเหยากลับบ้านก่อนมืดด้วยล่ะ” พี่คนโตของตระกูลหลงมองหยินชางอย่างซาบซึ้ง
ส่วนหลงจงกับหลงเซียวก็ยกนิ้วโป้งให้เขาเช่นกัน
“พี่หยินชาง รบกวนท่านด้วย!”
ทว่าหลงหลิงเอ๋อทนปล่อยให้หยินชางต้องดูแลเจ้าตัวแสบเพียงลำพังไม่ได้ “เอาแบบนี้ดีกว่า วันนี้ข้าจะไม่ไปเรียนกับท่านอาจารย์แล้วกัน ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง”
หลังจากเด็กหนุ่มที่ยืนงงงวยเรียกสติตัวเองกลับมาได้ เขาก็มองไปที่เด็กหญิงก่อนจะส่ายหัวอย่างไม่เต็มใจ
เขารู้ว่าหลงหลิงเอ๋อชอบเรียนวิชาแพทย์และพยายามอย่างหนักทุกวัน
หยินชางจึงโบกมือส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายสบายใจไม่ต้องห่วง เขาดูแลเสี่ยวเหยาเองได้
ขณะนั้นพวกหลงอวี้ก็รีบเผ่นหายไปในพริบตา
“เจ้าจะรับมือเขาไหวหรือ?” หลงหลิงเอ๋อยังคงไม่หายกังวล
คนตัวโตกว่าพยักหน้ายืนยันแล้วดันหลังเด็กหญิงออกไป
เวลาผ่านไปไม่นานก็เหลือเพียงหยินชางและ ‘อึ’ สีดำก้อนหนึ่งเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้บนหิมะ
ก้อนอึ... ไม่สิ ทางด้านหลงเหยากำลังรอให้พี่ ๆ มาง้อตน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่เขารออยู่นาน
เด็กชายจึงขมวดคิ้วสงสัย พลางคิดว่าถ้าพวกเขาไม่เอาลูกแกะย่างทั้งตัวมาง้อ งั้นขอเป็นแกะย่างครึ่งตัวเขาก็จะยอมยกโทษให้แล้ว
แต่หากไม่ได้อย่างที่หวัง ขาลูกแกะสักข้างหนึ่งก็พอไหว...
ครู่ถัดมา หลงเหยาแอบเงยหน้าขึ้นก่อนที่เขาจะมองลอดช่องว่าง พร้อมกับที่เขาได้ยินเสียงหิมะถูกเหยียบย่ำ
พี่ ๆ กำลังมาง้อเสี่ยวเหยาแล้วหรือ?
วินาทีนั้นคนตัวเล็กมีท่าทางโกรธขึ้งในทันทีและกำลังจะกล่าวหาอีกฝ่าย แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นว่าสถานที่ที่เคยมีคนอยู่มากมายกลับว่างเปล่า
มีเพียงหยินชางเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“???”
พี่น้องของเสี่ยวเหยาอยู่ที่ไหน?
แล้วแกะย่างทั้งตัวล่ะ?
เวลานี้หยินชางก้มหัวลงสบตาเจ้าตัวเล็กนิ่ง
ส่วนหลงเหยาเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดี ก่อนที่เขาจะทันได้หนีไปไหน เขาก็ถูกอีกฝ่ายคว้าหางไว้ด้วยมือข้างเดียว แล้วมังกรน้อยก็ถูกยกขึ้นจากพื้น
สุดท้ายแล้วเขาก็โดนหิ้วเหมือนเศษผ้า
มันทำให้เจ้ามังกรดำรู้สึกวิงเวียนจากการถูกแกว่งไปมาในอากาศจึงตัดสินใจกลายเป็นร่างมนุษย์ จากนั้นหยินชางก็ห่อตัวเขาด้วยหนังสัตว์
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มนำเสื้อผ้าหนังสัตว์ติดมือมาด้วย
เนื่องจากหยินชางไม่ชอบที่จะอยู่ในร่างสัตว์ต่อหน้าภูตคนอื่น ดังนั้นเขาจึงทำให้หลงเหยาอยู่ในร่างมนุษย์ด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ดูแปลกประหลาดยามที่ยืนอยู่ด้วยกัน
เมื่อคนเป็นพี่ชายรู้ว่าน้องเล็กชอบเล่นกับพวกเสี่ยวสือโถว เขาเลยจะพาอีกคนไปที่นั่น แต่พอเด็กหนุ่มเดินไปได้ไม่ไกล จู่ ๆ เขาก็เห็นร่างลับ ๆ ล่อ ๆ เข้าเสียก่อน
จังหวะนั้นรูม่านตาของหยินชางหดตัวลง
พร้อมกับมีประกายแวววาวส่องผ่านดวงตาของเขา
นั่นคือ...
…
ย้อนกลับไปอีกด้านหนึ่ง
พวกเด็ก ๆ ในเผ่าเฝ้าดูอาวุธที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่ข้างกำแพงเผ่ามามากพอแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นว่าเหล่าภูตต่างก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง พวกเขาก็พากันกลับ
ขณะเดียวกัน ลู่หลีกวาดสายตามองไปรอบตัว พอเห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็นตน เขาก็แอบติดตามเด็กคนอื่นไป
เขาอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหวงเทียนกับหวงเยว่ว่าตกลงแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่
ระหว่างที่เด็กหนุ่มเดินไปทางตอนเหนือของเผ่า เด็กพวกนั้นก็พูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน
ตั้งแต่ลู่หลีถูกท่านผู้เฒ่าตำหนิครั้งล่าสุด เด็กพื้นเมืองในเผ่าก็รับรู้ถึงสถานะปัจจุบันของเขาอย่างชัดเจน และเริ่มเข้าหาเด็กที่มาใหม่ รวมถึงพวกเขาไม่ต้องการมีอะไรเกี่ยวข้องกับกวางหนุ่มอีก
เพราะการอยู่กับไอ้กวางบ้านั่นจะทำให้พวกเขาโชคร้ายไปตลอดชีวิต!
พอพวกภูตผู้ใหญ่ออกจากกำแพงเผ่าโดยเหลือแต่ภูตเด็ก กลุ่มเด็กที่เป็นคนท้องถิ่นของเผ่าก็ถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เมื่อกี้พวกเจ้าพูดอะไรกัน?”
“ทำไมพวกเจ้าถึงหยุดพูดตอนที่หวงเทียนมา?”
ความสงสัยใคร่รู้เป็นธรรมชาติของเด็กอยู่แล้ว
ในอดีต เหล่าเด็กที่เป็นคนดั้งเดิมของเผ่ามีชีวิตที่เลวร้ายเพราะลู่หลี แต่ปัจจุบันทุกคนไม่ได้เล่นกับอีกฝ่ายแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกมีอิสระมากกว่าเดิม
ตอนนี้เด็กทั้งหมดคุ้นเคยกันดีจนไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน
ไม่นานฝ่ายที่ตั้งคำถามก็รุมล้อมสหายใหม่แล้วส่งเสียงถามเซ็งแซ่
ส่วนเด็กที่เข้าร่วมเผ่าใหม่ปิดปากไม่ยอมพูด
“ไม่ ไม่ได้ หัวหน้าสั่งว่าห้ามพูดไร้สาระ”
“พวกเจ้าอย่าถามเลย ถ้าเราบอกเรื่องนี้ไป หัวหน้าจะโกรธเอา”
เซี่ยหมานสั่งเอาไว้ว่าห้ามพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเผ่าหมาป่าต่อหน้าหวงเทียนเพราะเขาอยากให้เด็กชายเริ่มต้นชีวิตใหม่
“บอกเรามาเถอะนะ!”
“เราจะไม่พูด และเราจะไม่บอกคนอื่นด้วย”
“ใช่ เราแค่อยากฟังเฉย ๆ เราจะไม่เอาไปบอกภูตคนอื่น!”
ยิ่งคนในปกปิดมันก็ยิ่งทำให้คนนอกรู้สึกอยากรู้มากขึ้น
หลังจากกลุ่มเด็กใหม่ถูกเร้าหรืออยู่พักหนึ่ง ในที่สุดหลายคนก็ทนไม่ได้อีกต่อไป
ใจจริงพวกเขาต่างก็หวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนในเผ่าอยู่ลึก ๆ
เมื่อเห็นว่าคนพวกนี้เป็นมิตรมาก เด็ก 1 ในนั้นก็อดกลั้นไม่ได้จึงตัดสินใจพูดเสียงเบาว่า
“ก็ได้ ๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าต้องสาบานว่าจะไม่บอกใครหลังจากได้ยินที่ข้าพูดวันนี้”
ฝ่ายเด็กที่รอฟังพยักหน้าพร้อมชู 4 นิ้วขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของคำสาบาน
“เราสัญญาว่าจะไม่บอกใคร”
ครู่ต่อมา เด็กใหม่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะกระซิบว่า “หวงเทียนเป็นน้องชายของหวงเยว่ หัวหน้าไม่ยอมให้เราบอกใครเพราะกลัวว่าพวกเจ้าจะรังแกเขา”
หลังจากพูดจบเขาก็กังวลว่าเด็กบางคนจะเกลียดหวงเทียนเพราะเหตุนี้ เขาจึงอธิบายเสริมว่า
“เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาถูกขังอยู่ในถ้ำตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่สามารถพบหวงเยว่ได้ตามใจ ปกติแล้วเขาจะได้กินเนื้อเน่า แถมไม่พอยังถูกทุบตีอยู่บ่อย ๆ บางครั้งเขาก็เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย คนพวกนั้นถึงจะส่งเขาไปหาหมอผี...”
เด็กที่เป็นทาสอยู่ในเผ่าหมาป่าไม่ได้เกลียดหวงเทียน เพราะอีกฝ่ายก็เป็นเหยื่อเหมือนพวกตน พวกเขาเกลียดเฉพาะกลุ่มภูตหมาป่าเท่านั้น
เมื่อเหล่าเด็กท้องถิ่นได้ยินคำพูดของเด็กใหม่ก็พากันถอนหายใจ
“เขาน่าสงสารจัง...”
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่เข้ามาคุยกับเรา”
ปรากฏว่าหลังจากกลุ่มเด็กท้องถิ่นได้รู้ความลับที่น่าตกใจดังกล่าว พวกเขาก็ไม่สามารถปกปิดท่าทางตกใจได้เป็นเวลานาน
ขณะเดียวกัน ณ มุมหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
ลู่หลีกำลังแอบซ่อนตัวอยู่หลังกองหิมะพลางเงี่ยหูตั้งใจฟังการสนทนาของเด็กคนอื่น
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินทุกถ้อยคำ แต่เขาก็ได้ยินใจความสำคัญ 2-3 คำแบบคลุมเครือ
“หวงเทียน น้องชายของผู้หญิงคนนั้น…”
แล้วดวงตาของกวางหนุ่มก็เบิกกว้างและตระหนักได้ในทันที