บทที่ 387: เสี่ยวเหยาฉลาดขึ้นแล้ว ดังนั้นอย่าคิดว่าจะมาโกหกกันได้อีก
“...” เสี่ยวสือโถวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำประท้วงขึ้นมาว่า
“มันก็แค่การฝึกล่าสัตว์ ท่านจำเป็นต้องคิดไปไกลถึงขนาดนี้เชียวหรือ...”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ฝึกฝน
เพียงแต่เขาไม่ได้ฝึกหนักเท่าหวงเทียน
คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้ใบหน้าของเซี่ยหมานมืดลง เขามองมาที่คนขี้เกียจด้วยสายตาจริงจัง
เสี่ยวสือโถวจึงหุบปากทันที แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นต่อว่า
“ถ้าหวงเทียนแข็งแกร่งกว่าข้าจริง ๆ ข้าก็ดีใจกับเขาด้วย ข้าไม่มานึกเสียใจทีหลังหรอก”
สำหรับเม่นหนุ่ม เขาคิดว่าความแข็งแกร่งไม่สามารถพัฒนาได้ด้วยการพยายามฝึกฝน
ถ้าหวงเทียนมีพรสวรรค์จริง ๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ใช่ไหม?
“...” เซี่ยจื้อหนุ่มที่เงียบอยู่นานถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เขารู้สึกอับอายจริง ๆ!
บัดนี้ใบหน้าของเซี่ยหมานถมึงทึงกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะคว้าแขนของเด็กโลกแคบแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปอีกทาง แม้แต่เสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“ทำไมเจ้าไม่รู้จักเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเจ้าเองบ้าง!”
“หากในอนาคตเผ่านี้ตกอยู่ในอันตราย แล้วเจ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องคนที่ตัวเองอยากจะปกป้องเอาไว้ได้ พอถึงเวลานั้นเจ้าจะทำยังไง?”
ชายหนุ่มรู้สึกโกรธมากที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมา
ในอดีตเสี่ยวสือโถวไม่ใช่คนแบบนี้
ตอนนั้นถึงแม้ว่าเขาจะอ่อนแอ แต่เขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อพัฒนาตัวเอง แต่ทำไมพอเขามาอยู่ในเผ่าใหม่ได้ไม่นาน เขาก็มีนิสัยเปลี่ยนไปแบบนี้?
“แต่...” เด็กหนุ่มพูดอย่างอ่อนแรง “แต่ข้าเป็นภูตเม่น ข้าไม่เก่งเรื่องการต่อสู้และการล่า”
เอาอีกแล้ว!
คิดอะไรในแง่ลบอีกแล้ว!
เซี่ยหมานขมวดคิ้วแน่นจนเป็นปม
ไม่ได้การ เขาจะปล่อยให้เจ้าเด็กนี่กินนอน ๆ ไปวัน ๆ แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ดูเหมือนว่าอีกคนจะมีความคิดในแง่ลบมากขึ้น
“ถึงเจ้าจะไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ แต่อย่างน้อยเจ้าก็ต้องมีทักษะในการเอาตัวรอด!”
“การเป็นผู้ชาย เจ้าจะต้องทำงานหนักและฝึกฝนให้หนัก มิฉะนั้น เจ้าจะไม่สามารถแข่งขันกับผู้ชายคนอื่นในการหาคู่ครองได้ในอนาคต”
เสี่ยวสือโถวที่ได้ยินแบบนี้ก็ทำหน้ามุ่ย เขาไม่มีแรงจูงใจเลยสักนิด
ท่านไม่ได้พูดถึงตัวเองใช่ไหม…
ประโยคข้างต้นเด็กหนุ่มไม่กล้าพูดออกไป เขาเลยทำได้แค่พึมพำในใจ
“ฉะนั้นเลิกบ่นแล้วไปฝึกซะ!” เซี่ยหมานใช้น้ำเสียงเข้มงวดพลางดึงเสี่ยวสือโถวเดินไปยังสถานที่ฝึก
นั่นทำให้ฝ่ายที่โดนลากบ่นเป็นหมีกินผึ้งไปตลอดทาง
ทำไมพี่หมานไม่ไปสนใจเด็กคนอื่นล่ะ พี่หมานจะมาบังคับข้าทำไม!
ข้าเป็นแค่เม่นน้อยเท่านั้น...
…
อีกด้านหนึ่ง
ณ สวนหลังบ้านของหูเจียวเจียว
ขณะนี้มังกรดำตัวเล็กกำลังเอาหางเกี่ยวเชือกที่ห้อยเนื้อรมควันพลางห้อยหัวอยู่กลางลานบ้านโดยที่ลำตัวแกว่งไปมาอย่างไม่มั่นคงราวกับตุ๊กตามังกรดำที่เพิ่งเอามาตากแห้ง
ไม่นานเจ้ามังกรน้อยก็แสร้งหลับตาลงครึ่งหนึ่งแบบคนเกียจคร้าน
“เสี่ยวเหยา ลงมาเร็ว ๆ เข้า เรากำลังจะไปฝึกทักษะการล่าสัตว์กัน” หลงอวี้ที่ยืนอยู่ด้านล่างพูดเร่งน้องชาย ซึ่งน้ำเสียงเด็ก ๆ ของเขานั้นค่อนข้างฟังดูเหมือนผู้ใหญ่
“ไม่ ในวันนี้เสี่ยวเหยาฝึกเสร็จหมดแล้ว และเสี่ยวเหยาต้องการพักผ่อน”
หลงเหยาส่ายหัวฮึดฮัดขณะที่ขามังกร 2 ข้างไขว้กันเหมือนคนกำลังนั่งไขว่ห้างแบบกลับหัว ส่วนขาที่เหลือก็ยกขึ้นกอดอกตัวเอง ซึ่งท่าทางที่เขากำลังทำอยู่มันทำให้เขาตัวสั่นเผยให้เห็นถึงความไม่มั่นคง
อย่างไรก็ตาม
ขาทั้ง 4 ข้างของคนตัวเล็กสั้นเกินไป พวกมันจึงซ้อนทับกันแค่บางส่วน ส่งผลให้ภาพที่ออกมาดูตลกไปหน่อย
ทางด้านหลงจงรู้สึกหมั่นไส้กับท่าทางนั้นมาก “เจ้ามังกรจอมขี้เกียจ เจ้าฝึกแค่วันละครั้งแล้วก็เลิก แล้วเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง?”
วันนี้พ่อมังกรกับแม่จิ้งจอกออกไปข้างนอกกันทั้งคู่ และท่านแม่บอกให้พวกเขาช่วยกันดูแลเสี่ยวเหยาอยู่ที่บ้าน แต่ทุกคนก็มีธุระของตัวเองแถมยังไม่สามารถทิ้งให้เจ้าตัวเล็กอยู่ที่บ้านตามลำพังได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องคิดหาวิธีพาน้องชายไปด้วย
ใครก็ตามที่สามารถเกลี้ยกล่อมหลงเหยาให้เข้าร่วมได้ คนนั้นจะต้องดูแลอีกฝ่าย
แต่ถ้าไม่มีใครโน้มน้าวเด็กน้อยได้จริง ๆ พวกเขาทุกคนก็ต้องอยู่ที่นี่
ตามธรรมชาติแล้ว พี่ชายทั้ง 3 จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเกลี้ยกล่อมน้องชายคนเล็กให้ออกไปเล่นข้างนอกด้วยกัน แต่พวกหลงอวี้ไม่คาดคิดว่าหลงเหยาจะบินไปห้อยหัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนอีก
“ต่อให้เสี่ยวเหยาฝึกฝนและตัวสูงขึ้น พี่สามก็จะสูงขึ้นเหมือนกัน แล้วเสี่ยวเหยาก็ไม่สามารถเอาชนะท่านได้อยู่ดี เพราะงั้นเสี่ยวเหยาจะไม่ฝึกฝนอีกต่อไป” คนตัวเล็กพูดจบแล้วก็แลบลิ้นใส่หลงจง ก่อนจะหันศีรษะไปทางขวา
ชิ เจ้าจิ้งจอกตัวเหม็น!
“...” ทางด้านพี่ชายคนที่ 3 ไม่อยากจะคิดเลยว่าตนเป็นพี่น้องกับเจ้ามังกรหน้าโง่ตัวนี้จริง ๆ
“เสี่ยวเหยา ถ้าเจ้าไม่ฝึกฝน เจ้าจะไม่มีวันสูงขึ้น เจ้าอยากเป็นมังกรน้อยตลอดไปหรือไง?” ขณะนี้หลงเซียวยืนอยู่ที่ด้านล่างขวา เมื่อน้องชายคนที่ 3 ทำไม่สำเร็จ เขาก็รีบแทรกตัวเข้าไปจู่โจมอีกฝ่ายทันที
เมื่อหลงเหยาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อ
ไม่สูง?
คำพูดนี้มันฟังดูน่ากลัวมาก!
แต่หลังจากเวลาไม่ผ่านไปนานนัก เขาก็ส่ายหน้า
“เสี่ยวเหยาหลอกไม่ได้ง่าย ๆ หรอกนะ!”
ต่อมา เด็กน้อยทำหน้าบึ้งและบ่นอย่างไม่พอใจ “พวกท่านมองเสี่ยวเหยาเป็นเป้าหมายในการฝึกฝน ถ้าเสี่ยวเหยาต้องการฝึกฝน พวกท่านจะให้เสี่ยวเหยาเป็นเหยื่อทุกครั้ง!”
พอพวกหลงเซียวได้ฟังคำพูดของน้องชายก็รู้สึกอับอายขึ้นมา
ตามปกติแล้ว การฝึกทักษะการล่าสัตว์พวกเขาชอบเล่นกันหลาย ๆ คน
เนื่องจากหลงเหยาไม่มีความสามารถอื่นใดนอกจากการบินเร็ว ดังนั้นพี่ ๆ จึงมักจะให้น้องเล็กเป็นเหยื่อให้พวกเขาไล่จับ
แต่เด็กชายทั้ง 3 ไม่คาดคิดว่าเจ้าเด็กโง่คนนี้จะสังเกตเห็นจุดประสงค์ของพวกตนเหมือนกัน
ปรากฏว่าเจ้าเด็กทึ่มเริ่มมีสมองขึ้นมาแล้ว
ทางด้านหลงหลิงเอ๋อ เมื่อเห็นว่าพวกพี่ ๆ เงียบกันหมด เด็กหญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอามือเท้าสะโพก พองแก้มจนเหมือนปลาปักเป้า
“ที่แท้เวลาอยู่ข้างนอกพวกท่านชอบกลั่นแกล้งเสี่ยวเหยาจริง ๆ ด้วยสินะ!”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลงเหยาไม่ค่อยชอบออกไปเล่นกับพวกพี่ชาย
ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่ติดเล่นมากที่สุด
มันเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง!
“ใครรังแกเขากัน...” หลงจงหันไปมองทางอื่นอย่างรู้สึกผิด
หลงหลิงเอ๋อพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่กับบรรยากาศน่าอึดอัด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามากังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
เพราะนางยังต้องออกไปเรียนกับท่านอาจารย์อยู่
“เสี่ยวเหยา ข้ากำลังจะไปเรียนกับหมอในเผ่า เจ้าอยากไปเล่นกับข้าไหม ข้าจะสอนเจ้าให้รู้จักสมุนไพรดีไหม?” คนเป็นพี่สาวยืนอยู่ตรงหน้ามังกรดำตัวน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อพูดเกลี้ยกล่อมเขาเสียงหวาน
“ไม่ เสี่ยวเหยาไม่ชอบสมุนไพร” หลงเหยาบ่นแบบไม่ลืมตามองนาง แล้วก็หันหลังให้ทุกคน
จนกระทั่งตอนนี้ถือได้ว่าพี่น้องทุกคนพยายามโน้มน้าวใจเด็กน้อยเต็มที่แล้ว
ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ยอมลงมาจากด้านบน
เขาทำเหมือนกับว่าเชือกสำหรับตากเนื้อรมควันเป็นบ้านหลังที่ 2 ของตัวเอง
นั่นทำให้พี่ ๆ ทั้ง 5 คนคิดว่าเสี่ยวเหยาฉลาดขึ้นแล้ว ดังนั้นการหลอกเขามันไม่ง่ายเหมือนเดิมเลย
แม้แต่อาหารก็ควบคุมเขาไม่ได้อีกต่อไป
…
อีกด้านหนึ่ง
ขณะนี้เป้าเฟิงกำลังเดินตามคนอื่นที่ปลายแถวเหมือนหุ่นเชิดไร้ความคิด เขารู้เพียงว่าต้องเดินตามเส้นทางไปแค่นั้น
ปัจจุบันพวกเขากำลังไปที่บ้านของโหวเสี่ยวเตียวเพื่อช่วยทดลองทำอิฐ
ก่อนที่ทุกคนจะเดินไปได้ไกลกว่านี้ พวกเขาก็ถูกภูตตัวสูงมายืนขวางเอาไว้
“หลงโม่ ทำไมเจ้าถึง...” โหวเสี่ยวเตียวเงยหน้าขึ้นมองหลงโม่ด้วยท่าทางงงงวย
“ข้าขอยืมคนของเจ้าสักครู่ เดี๋ยวข้าเอามาคืนให้ทีหลัง”
มังกรหนุ่มกล่าวพลางเหลือบมองภูตลิง
ซึ่งสายตาของเขาช่างน่าเกรงขามและมีแรงกดดันอันหนักอึ้งเหมือนภูเขา
โหวเสี่ยวเตียวจึงพยักหน้าแบบไม่ต้องคิด และก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร หลงโม่ก็เดินไปที่ปลายแถวเพื่อคว้าตัวเป้าเฟิงที่มีสภาพไม่ต่างจากขอทานแล้วเดินออกจากแถวไป
นั่นทำให้ภูตทั้งหมดมองหน้ากันด้วยความเป็นห่วง
“หรือว่าหลงโม่จะประลองกับเป้าเฟิง? หน้าตาเขาดูน่ากลัวมาก”
“แต่ตอนนี้สภาพของเป้าเฟิงก็น่าสังเวชมากพอแล้ว การที่เขาจะถูกทำร้ายอีกมันก็น่าสงสารเกินไป...”
ส่วนภูตที่คุ้นเคยกับคนทั้ง 2 โบกมือปัดอย่างเฉยเมยและอธิบายว่า
“พวกเจ้าไม่เข้าใจ นอกจากหูเจียวเจียวแล้วหลงโม่ไม่สนใจใครทั้งนั้น”
“ถ้าหมอนั่นยิ้มให้เราเมื่อไหร่ นั่นแปลว่าโลกกำลังจะแตก!”
แม้ว่าเป้าเฟิงจะถูกหลงโม่ลากตัวออกไป แต่เขาก็ไม่มีท่าทีขัดขืนเลยสักนิด
ยามนี้ชายหนุ่มไม่ต่างจากตุ๊กตาที่ถูกเจ้านายทิ้ง
ไม่ว่าใครที่เก็บเขาไปก็สามารถบงการเขาได้ทั้งนั้น
ในเวลาเดียวกัน มังกรหนุ่มพาอีกฝ่ายไปทางตอนเหนือของเผ่า
ซึ่งที่นี่เป็นอาณาเขตที่กลุ่มภูตของเซี่ยหมานอาศัยอยู่