บทที่ 46 ความรักของเฮอร์แมน
บทที่ 46 ความรักของเฮอร์แมน
ไม่ช้าเอไลก็มาถึงประตูเมือง
ในเวลานี้ ยามเฝ้าประตูเมืองดูเหมือนจะตื่นตัวเพราะเสียงระเบิด ทหารที่เดิมเฝ้าเมืองได้วางแนวกั้นลง และจำเป็นต้องตรวจสอบทุกคนก่อนเข้าเมือง
เอไลไม่ได้วางแผนที่จะทำอะไร ดังนั้นเขาจึงเดินตามกระแสผู้คนและเดินไปเข้าแถว
"ท่านเอไล!" เมื่อเอไลมาถึง ทหารคนหนึ่งทักทายเขาอย่างคุ้นเคย
เอไลพยักหน้า เมื่อเขาออกไปนอกเมืองบ่อยๆ ทหารบางคนย่อมจำเขาได้
หลังจากตรวจค้นอย่างง่ายๆ เอไลก็เดินผ่านประตูเมือง
หลังจากเอไลจากไป ทหารอีกคนที่อยู่ข้างๆ ทหารคนที่ทักเอไลก็ถามด้วยความสงสัย “เจ้ารู้จักสุภาพบุรุษคนนั้นหรอ?”
"ใช่ข้ารู้จัก นั้นคือท่านเอไลเขาเป็นนักวิชาการที่ออกไปข้างนอกบ่อยๆและสุภาพเสมอแม้แต่กับคนจรจัด เขาเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ เขาเป็นคนตั้งชื่อให้ลูกชายข้า” ทหารตอบด้วยรอยยิ้ม
“ภรรยาของข้าก็กำลังจะคลอด ถ้าข้าได้เจอสุภาพบุรุษคนนี้อีก ข้าจะขอให้เขาตั้งชื่อให้กับลูกข้า” ทหารอีกคนอุทานด้วยความชื่นชม
พวกเขาเป็นเพียงทหารระดับต่ำสุดในเมืองจูนลิน คนมีฐานะจะไม่สนใจแม้แต่จะพูดคุยกับพวกเขา นับประสาอะไรกับขอให้นักวิชาการช่วยตั้งชื่อให้กับลูกๆพวกเขา
"ได้แน่นอน หายากที่จะเห็นสุภาพบุรุษเช่นท่านเอไลที่ไม่เลือกปฏิบัติระหว่างคนรวยและคนจน” ทหารคนนั้นยิ้มและพูดอย่างภาคภูมิใจ
“เร็วเข้า พวกนายรีบหน่อยได้ไหม? ไอ้พวกบัดซบพวกนี้!”
ทันใดนั้น ข้างกำแพงเมืองชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นขุนนาง เขาพูดตัดพวกเขาอย่างไม่พอใจ
ทหารคนนั้นหยุดแสดงสีหน้าก่อนหน้านี้ทันทีและพูดอย่างถ่อมตนว่า “นายท่าน ข้าขอโทษจริงๆ!”
ทหารอธิบายอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และขุนนางก็มองอย่างเย่อหยิ่ง
…
เอไลไม่ได้ยินเรื่องนี้โดยธรรมชาติ
แม้ว่าเขาจะเห็นมัน แต่เขาก็จะไม่สนใจเพราะนี่คือสถานะทั่วไปของจักรวรรดิ และมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เมื่อเอไลกลับเข้าเมืองเขาไม่ได้กลับบ้าน แต่เขากลับตรงไปที่ห้องสมุดและเริ่มงานในวันนั้น
ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับสู่สภาวะปกติ
การเลื่อนขั้นเป็นนักเวทย์ฝึกหัดระดับ 2 ดูเหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับเอไล
แน่นอนเอไลรู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาเพราะเมื่อเขาก้าวหน้า เขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น และเขามีอิสระมากขึ้น ความสามารถของเขาในการเอาชีวิตรอดท่ามกลางอันตรายก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับเขาแล้ว เขายังคงรักษาจังหวะชีวิตของเขาไว้ให้เหมือนเดิม
เขาหวังว่าชีวิตแบบนี้จะคงอยู่ไปอีกนานแสนนาน
…
ชีวิตที่สงบสุขนั้นรวดเร็วเสมอ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกปีครึ่ง
ปีที่ 313 ของปฏิทินไบรน์
ปีนี้เอไลอายุ 24 ปี เขาอยู่ในโลกนี้มาเกือบเจ็ดปีแล้ว
ในปีที่ผ่านมาเอไลได้ทำความคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความก้าวหน้าของเขา และเขายังได้เรียนรู้คาถาใหม่ๆ มากมาย เริ่มเรียนรู้คาถาประเภทอื่นๆ ที่เขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
ตัวอย่างเช่น รอยประทับวิญญาณ คำสัตย์แห่งมนตรา และคาถาอื่นๆ ที่เขาอาจต้องใช้ในอนาคต
นอกจากนี้ จักรวรรดิยังไม่แข็งแกร่งขึ้นหลังการปฏิรูป แต่กลับอ่อนแอลงมาก นี่เป็นเพราะองค์ราชาได้กำจัดส่วนที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมากและทำให้การจัดการระบบต่างๆง่ายขึ้นในระดับหนึ่ง
สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในระยะยาวของจักรวรรดิ แต่ในระยะสั้นความแข็งแกร่งของจักรวรรดิได้อ่อนแอลงอย่างมาก และขุนนางหลายคนก็มีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับการกระทำของราชาในครั้งนี้
แน่นอน เหมือนที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบต่อเอไลมากนัก
ชีวิตของเขาสงบสุขและปราศจากเหตุการณ์พิเศษต่างๆ อยู่เสมอ แต่ชีวิตของเฮอร์แมนดูจะปั่นป่วนเล็กน้อยเมื่อไม่นานมานี้
นับตั้งแต่พ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน เฮอร์แมนทำงานหนักยิ่งขึ้นเพื่อเรียนรู้ความรู้ทุกประเภท อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปนาน เขาก็รู้สึกเบื่อและหงอยเหงาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เฮอร์แมนอายุ 24 ปีเช่นกัน ในโลกนี้ผู้คนส่วนใหญ่ในวัยนี้แต่งงานแล้วและมีลูกแล้ว และดูเหมือนเฮอร์แมนจะเข้าใจเรื่องนี้ดี
ดูเหมือนว่าเขาจะได้พบผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อสองสามวันก่อนและตกหลุมรักเธออย่างรวดเร็ว
…
“เอไล ข้าได้รู้จักวินด์เซอร์มาเกือบเดือนแล้ว ข้าควรให้ของขวัญอะไรกับเธอดี?”
ในห้องสมุด เอไลกำลังทำงานกับเฮอร์แมน และอยู่ๆเขาก็ถามขึ้นมาอย่างลังเล
“เจ้าสามารถให้อะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ!”เอไลตอบในขณะที่เขาวางหนังสือกลับคืนบนชั้น
“เธอบอกข้าว่าเธอชอบน้ำหอมมาก และกลิ่นที่เธอชอบที่สุดคือน้ำหอมดอกทิวลิปจากหอการค้าดอกทิวลิป แต่ขวดนั้นราคา 3 เหรียญทอง มันแพงมากแต่ถ้าเธอชอบข้าก็จะซื้อให้เธอ” เฮอร์แมนผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักพูดออกมาอย่างหนักแน่น
“อืม” เอไลตอบ
จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากคุยกับเฮอร์แมน แค่ว่าไอ้เด็กคนนี้บอกเอไลเกี่ยวกับความรักอันแสนหวานของเขาทุกวันตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน
ในตอนแรกเขาสนใจที่จะได้ยินว่าหญิงสาวที่ชื่อวินด์เซอร์นั้นสวยงาม อ่อนโยน และน่ารักเพียงใด แต่ครึ่งเดือนต่อมาเขากลับรู้สึกปวดหัวกับมันเท่านั้น
“เอไล เจ้าให้ข้ายืมเงินหน่อยได้ไหม” ทันใดนั้น เฮอร์แมนหันกลับมาและพูดว่า
เอไลหันศีรษะไปมอง
เมื่อเทียบกับสามปีที่แล้ว เฮอร์แมนคนปัจจุบันเป็นผู้ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด เขายังมีแว่นกรอบทองและเขาไม่ได้ดูขี้เล่นเหมือนเมื่อสามปีที่แล้ว เขาดูเป็นผู้ใหญ่มาก
แน่นอนว่าสำหรับเอไลแล้วเขายังเหมือนเดิมมาก ในขณะนี้รูปลักษณ์ของเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่นั่นคือการเปลี่ยนแปลงของอายุของเขาเท่านนั้น อันที่จริงความคิดของเขายังคงเป็นเช่นเดิมเมื่อเขาอายุ 18 ปี
"ยืมเงิน? เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?” เอไลถามพลางขมวดคิ้ว
ถ้าเขาจำไม่ผิด แม้ว่าพ่อของเฮอร์แมนจะเสียชีวิตและแบ่งทรัพย์สินของตระกูลออกไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังได้รับมรดกส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มากนักแต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับยี่สิบถึงสามสิบเหรียญทอง
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาเฮอร์แมนไม่ได้ใช้เงินมากนัก เขาเรียนและทำงานในห้องสมุด แม้ว่าเขาจะล่าพักผ่อนบ้างเป็นครั้งคราว แต่เอไลก็ยังทำงานแทนเขาเสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่ควรเสียค่าใช้จ่ายมาก แล้วทำไมเขายังต้องมายืมเงินเขาอีก?
“ใช่ เอไล ข้ารู้ว่าเจ้ามีเงิน เจ้าให้ข้ายืมหน่อยได้ไหม ข้าสัญญาว่าจะคืนมันให้เจ้าอย่างแน่นอน” เฮอร์แมนยื่นมือขวาออกมาและทำท่าสัญญา
“เงินที่พ่อของเจ้าทิ้งไว้ให้เจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าใช้หมดแล้วเหรอ?” เอไลถาม
"ใช่!" เฮอร์แมนพยักหน้า
"เกิดอะไรขึ้น? เจ้าใช้หมดได้อย่างไรตั้งเยอะแยะ?” ดวงตาของเอไลเปลี่ยนเป็นจริงจัง ด้วยลักษณะการใช้จ่ายเงินของเฮอร์แมนและความจริงที่ว่าเขาไม่ได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ใดๆ เลย เขาจะใช้จ่ายมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรภายในสามปี
“เอิ่ม…” เฮอร์แมนดูเหมือนจะไม่ทันตั้งตัวกับคำถามกะทันหันของเอไลเขาพูดติดอ่างและไม่ต้องการตอบ
“ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าก็คงให้เจ้ายืมไม่ได้วันนี้ หรือเจ้าจะยืมเงินอาจารย์ก็ได้ถ้าไม่กลัวอาจารย์ขาหักเจ้า” เอไลพูดขึ้น
"ได้ๆ! ข้าจะบอกเจ้า แต่เจ้าห้ามบอกใครอีกนะ!” เฮอร์แมนนึกถึงน้ำหอมที่มีมูลค่า 3 เหรียญทองด้วยความลังเล ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวของเขาให้เอไลฟัง
เอไลกำลังยืนฟังอยู่ด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขาดูแปลกขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเฮอร์แมนพูดต่อ
เมื่อเฮอร์แมนพูดจบ เอไลก็มองเขา ปากของเขากระตุก
ช่างเป็นเรื่องราวความรักที่แสนหวานแหว๋ว