บทที่ 43 สงคราม
บทที่ 43 สงคราม
ฤดูหนาวของจักรวรรดิไบรน์นั้นหนาวเย็นมาก
ปีนี้ดูจะหนาวกว่าเดิมเพราะหน้าหนาวมาเร็ว และคนไร้บ้านก็เยอะแยะมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับเอไลนั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไร เขาอยู่แค่ในหอสมุดหลวงและอยู่บ้าน
การทดลองยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง
แน่นอน ตลอดกระบวนการนี้เอไลไม่ได้ละทิ้งการเรียนรู้คาถาใหม่ๆ เพราะมันเป็นรากฐานของชีวิตนักเวทย์ของเขา เขาไม่ได้ละเลยคาถาเดิมๆที่เขาชำนาญแล้ว เขายังฝึกฝนมันเรื่อยๆ และยังคงเรียนรู้คาถาใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น
เมื่อเขาไม่มีอะไรทำหลังเลิกงาน เขาจะไปเล่นคาสิโนเป็นครั้งคราว แต่มันจะไม่เหมือนเมื่อก่อน เขาจะเล่นอย่างคนธรรมดาทั่วไปและพยายามที่จะไม่โกง
ถ้าเงิน 1 เหรียญทองที่เขาตั้งไว้หมดเขาก็จะกลับบ้าน ถ้าเขาชนะ เขาจะไปที่ถนนหลิวหยิงที่อยู่ใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม ด้วยอาศัยพลังของนักเวทย์เป็นครั้งคราง เขาจึงชนะมากกว่าแพ้
…
ชั่วพริบตา เวลาผ่านไปกว่าสองเดือน
เอไลได้รับข่าวๆหนึ่ง
“การทดสอบผู้รู้ถูกเลื่อนออกไป?”
ในห้องทำงานของนักวิชาการเคลเมนท์ เอไลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่ อาจเป็นเพราะเป็นฤดูหนาว และไม่สะดวกสำหรับนักวิชาการจากที่อื่นที่จะมาที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะเลื่อนเป็นฤดูร้อน เจ้าไม่ต้องวิตกกังวลเกินไป ผ่อนคลายเถอะ” นักวิชาการเคลเมนท์ปลอบโยน
เอไลพยักหน้า
การเป็นผู้รู้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนของเขา แต่ไม่สำคัญว่ามันจะล่าช้าหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด เมื่อก่อนเขาอาจกังวลแค่เรื่องการขึ้นเงินเดือน แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเงินเดือนจากห้องสมุดอีกต่อไป
เขาต้องการความมั่นคงของสถานภาพและชีวิตเท่านั้น
“การเลื่อนออกไปสักครึ่งปีจะทำให้เจ้ามีเวลาและความมั่นใจมากขึ้น เจ้าควรเตรียมตัวให้ดี” นักวิชาการเคลเมนท์มองไปที่เอไลด้วยความชื่นชม
เขาอายุมากแล้วและคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะก้าวหน้าต่อไป
อย่างไรก็ตาม นักเรียนของเขายังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเคานต์ เขาก็ชื่นชมเอไลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เอไลไม่เคยมาสายหรือกลับก่อนเวลาซึ่งทำให้เขาชื่นชมเขามากยิ่งขึ้น
การมีวินัยในตนเองหมายถึงการมีคุณภาพและศักยภาพที่ดีเช่นกัน
“ครับอาจารย์ ข้าจะเตรียมตัวให้ดี” เอไลพยักหน้าแล้วออกจากห้องไป
ระหว่างทางลงไปชั้นล่าง เขามองดูหิมะที่นอกหน้าต่าง
เขามีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ว่าการทดสอบผู้รู้อาจไม่ถูกจัดขึ้นในฤดูร้อนข้างหน้าและอาจถูกเลื่อนออกไปอีกเรื่อยๆ
แต่ครั้งนี้ ความจริงไม่เป็นไปตามที่เอไลคาดไว้
การทดสอบผู้รู้ไม่ได้ถูกเลื่อนออกไป
อาจถูกยกเลิกไปเลย
นี่เป็นเพราะสงครามได้เกิดขึ้นแล้ว
…
ปีปฏิทินจักรวรรดิ 310 ขณะที่ฤดูหนาวกำลังจะสิ้นสุดลง เหตุการณ์ที่สะท้านสะเทือนก็เกิดขึ้นในจักรวรรดิ
ดยุคแห่งดินแดนหมาป่าเยือกแข็งที่อยู่ทางตอนเหนือได้ก่อกบฏและเข้าร่วมกองกำลังชนเผ่าทุ่งหญ้าของทางตอนเหนือ เตรียมที่จะทรยศต่อจักรวรรดิและก่อตั้งประเทศใหม่
ทุกอย่างดูเหมือนว่าข่าวลือในช่วงฤดูหนาวปีที่แล้วกำลังจะเป็นจริง
ชั่วขณะหนึ่ง จักรวรรดิก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย
แม้ว่าจะไม่มีข่าวจากหน่วยงานราชการ แต่ทุกคนก็รู้ว่าพายุได้เริ่มขึ้นแล้ว
ตามที่คาดไว้ สองวันต่อมา
ราชาไบรน์ที่ 6 ออกคำสั่งให้รวบรวมกองกำลังของจักรพรรดิทั้งหมดภายใต้คำสั่งของเขา เขาพร้อมที่จะเริ่มทำสงครามกับดยุคแห่งดินแดนหมาป่าเยือกแข็งและเขากำลังจะเดินทัพเพื่อต่อสู้ด้วยตนเอง
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ
…
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
นี่เป็นครั้งแรกที่เอไลได้พบกับผู้ปกครองสูงสุดของอาณาจักรนี้ ราชาไบรน์ที่ 6
เขาเคยเห็นเขาบนถนนสีแดงชาดซึ่งนำไปสู่นอกเมือง
นี่คือราชาที่ถือได้ว่ากลายเป็นชายชราไปแล้ว เขาสวมชุดเกราะสีขาวเงินและยืนอยู่ตรงหน้ารถศึก เคราของเขามีสีขาวเล็กน้อย แต่ออร่าที่เขาเปล่งออกมานั้นทรงพลังที่สุดเท่าที่เอไลเคยเห็นมา
เขาแน่ใจว่านั่นคือจุดสูงสุดของอัศวินผู้ยิ่งใหญ่
ทั้งสองด้านขององค์ราชามีอัศวินบนหลังม้า อย่างน้อยพวกเขาแต่ละคนก็เป็นอัศวินชั้นยอด ข้างหลังพวกเขาคือแถวยาวของทหารราบ พวกเขาสวมชุดเกราะสีดำที่ดูน่าเกรงขามและทรงพลัง
“นี่อาจเป็นทายาทของซาลีน เมทาตินหรือไม่? เอไลมองไปที่ชายชรา น่าเสียดายที่เขาไม่มีรูปเหมือนของซาลีน เมทาติน ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะยืนยันบางอย่างได้ก็เป็นได้”
“สงครามกำลังจะเริ่มขึ้น คืนนี้ข้าควรกินมันบดหรืออกห่านดี?” เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเอไลยืนดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจากไป
ตราบใดที่สงครามไม่เกี่ยวข้องกับเมืองจูนลิน ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเช่นกัน
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือการทดสอบผู้รู้ในปีนี้อาจถูกยกเลิกจริงๆ
…
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไป
ความเร็วในการเดินทัพของราชาเร็วกว่าที่เอไลคิดไว้มาก ในเวลาเพียงครึ่งเดือน พวกเขาก็มาถึงอาณาเขตของดยุคแห่งดินแดนหมาป่าเยือกแข็งแล้ว ตามด้วยกองกำลังของดยุคคนอื่นๆ อีกจำนวนมาก
คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือดยุคแห่งดินแดนหมาป่าเยือกแข็งและพันธมิตรชนเผ่าทุ่งหญ้า
สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งเดือนต่อมา สงครามสิ้นสุดลง
สงครามจบลงเร็วกว่าที่เอไลคาดไว้มาก เขาคิดว่าตั้งแต่ดยุคแห่งดินแดนหมาป่าเยือกแข็ง กล้าที่จะต่อต้านองค์ราชาและแม้แต่ทำการก่อกบฏ เขาจะต้องเตรียมความพร้อมไว้มากแล้ว แต่เขาไม่คาดคิดว่าดยุคแห่งดินแดนหมาป่าเยือกแข็งจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการต่อสู้อย่ารวดเร็วขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถตำหนิดยุคแห่งดินแดนหมาป่าเยือกแข็งได้
ว่ากันว่าราชามีความกล้าหาญอย่างยิ่ง พระองค์นำกองทหารตรงเข้าไปในป้อมดินแดนหมาป่าเยือกแข็งและดึงดยุคแห่งดินแดนหมาป่าเยือกแข็งออกจากเตียงนอนและสังหารเสียตรงนั้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้วราชาทรงมีพระชนมายุ 70 พรรษาแล้ว
สงครามเริ่มต้นอย่างเร่งรีบและจบลงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า
ในวันที่องค์ราชากลับมาอย่างมีชัย เอไลถึงกับมาดูด้วยตัวเอง
เขาปะปนกับฝูงชนและได้เห็นราชาอีกครั้ง
เขาขี่ม้าศึกสีดำสนิทที่มีสายเลือดของสัตว์วิเศษ รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากนัก แต่เอไลสามารถสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของราชาไม่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
ค่อนข้างจะเหี่ยวเฉาและไร้กำลังใจโดยสิ้นเชิง
ถ้าเป็นเช่นนี้เขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี
…
ในช่วงเวลานั้น เวลา 3- 4 เดือนก็ผ่านไป
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นและส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้คนมากมาย ด้วยการตายของดยุค พื้นที่ขนาดใหญ่ทางตอนเหนือก็ว่างเปล่าอีกครั้ง และขุนนางจำนวนมากก็เริ่มกลืนกินมันราวกับหมาป่าที่หิวกระหาย
อย่างไรก็ตาม ราชาไม่ได้ยกตำแหน่งและดินแดนเหล่านี้ให้กับพวกเขา พระองค์ทรงยกให้กับโอรสคนที่สองของพระองค์ หรือพูดให้ถูกคือเจ้าชายคนที่สองถูกแต่งตั้งให้เป็นดยุคแห่งดินแดนทางตอนเหนืออันหนาวเหน็บ
สำหรับเจ้าชายองค์แรก นี่คือเจ้าชายที่เอไลเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยพบมาก่อน เอไลเดาว่าเขากำลังเตรียมที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป
เดิมทีพระราชาไม่น่าจะมีปัญหาในการมีชีวิตอยู่อีก 30 หรือ 40 ปีในก่อนสงครา แต่ตอนนี้คาดว่าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ได้สูงสุด 7 หรือ 8 ปี นับเป็นความ “ประหลาดใจ” ที่คาดไม่ถึงแห่งสงครามได้เกิดขึ้น สำหรับเจ้าชายพระองค์แรกซึ่งมีพระชนมายุเกือบ 40 พรรษาน่าจะได้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป
แน่นอนว่าสำหรับเอไลแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อเขาผ่านขุนนางระดับสูง แต่ผลกระทบก็มีจำกัดมาก ท้ายที่สุดห้องสมุดไม่เพียงเป็นอิสระจากจักรวรรดิเท่านั้น แต่เขายังเป็นบรรณารักษ์ตัวเล็กๆอีกด้วย
เขาจะได้รับผลกระทบก็ต่อเมื่อทั้งประเทศล่มสลายเท่านั้น
สำหรับการทดสอบผู้รู้ มันถูกยกเลิก และครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในอีกสี่ปีต่อมา
สำหรับเรื่องนี้ นักวิชาการเคลเมนท์ยังได้พูดคุยกับเอไลอย่างจริงใจ โดยปลอมเขาว่าอย่าวิตกกังวลเกินไปและให้ทำงานหนักต่อไปก็พอ
และแน่นอนมันไม่สำคัญสำหรับเอไลจริงๆ ก็แค่สี่ปีไม่ใช่เหรอ?
เขามีเวลามากมายน่า
นอกจากนี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้เขายังอารมณ์ดี เมื่อเวลาผ่านไปการทดลองปรุงยาของเอไลก็สมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกได้ว่าวันที่เขาสามารถปรุงยาเพิ่มพลังวิญญาณระดับต่ำได้นั้นกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ทุกอย่างกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ”