บทที่ 351: ท่านมีขนไหม?
เมื่อเหล่าภูตได้ยินคำพูดของหูเจียวเจียว พวกเขาก็ยิ่งซาบซึ้งในความกรุณาของเธอมากขึ้น
จิ้งจอกสาวเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน!
ผู้หญิงที่สวยและมีจิตใจดีเช่นนี้ไม่ปล่อยปละละเลยทุกคน แล้วในชีวิตนี้พวกเขาจะได้เจอคนแบบนางอีกไหม?
ในอนาคตใครที่กล้าคิดทรยศต่อเผ่า มันผู้นั้นต้องเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ
หลังจากนี้ใครบังอาจคิดร้ายต่อเผ่า มันผู้นั้นก็เป็นศัตรูของพวกเขาด้วยเหมือนกัน!
“เซี่ยหมาน” หูเจียวเจียวมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังกลุ่มภูต แต่เธอรู้สึกว่าวันนี้เขามีท่าทีแปลกไปกว่าปกติเล็กน้อย
เพราะท่ายืนของเขาแปลกมาก
จะบอกว่าท่าทางนั้นเหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ไม่ผิด
แต่หญิงสาวจำได้ว่าพี่รองทำร้ายเขาได้ไม่มากเท่าที่เขาทำร้ายอีกฝ่าย เมื่อวานสภาพของเขาหลังจากแยกตัวออกไปก็ยังปกติดีอยู่เลย
จากนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้จะต้องทำอะไรจึงพูดกับเซี่ยหมานว่า
“ท่านผู้เฒ่าบอกว่าเจ้าอาสารับผิดชอบดูแลภูตพวกนี้เอง แต่ทางเราจะจัดหาเสบียงสำหรับเอาไว้กินไว้ใช้ในฤดูหนาวให้พวกเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หัวหน้าเผ่าไม่ได้คิดที่จะแทนที่สถานะของเซี่ยจื้อหนุ่มในหัวใจของภูตเหล่านี้ ตราบใดที่เขายังคงให้ความร่วมมือกับตนต่อไปได้เป็นอย่างดี
และเซี่ยหมานเป็นภูตที่ซื่อตรงคนหนึ่ง เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับทุกคนมาตลอด แล้วภูตทั้งหมดก็จดจำภาพนั้นได้ขึ้นใจเสมอ
นั่นทำให้ผู้อาวุโสรู้สึกโล่งใจมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเปลืองแรงควบคุมดูแลภูตที่มีจำนวนมากเช่นนี้เพียงลำพัง
“เสบียง...” เซี่ยหมานขมวดคิ้ว แต่ว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธตรง ๆ “เราออกไปล่าสัตว์เองได้ เราจะไม่อดตายหรอก”
แม้ว่าภูตคนอื่นไม่รู้เรื่องนี้ แต่ชายหนุ่มมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำสูงสุดของเผ่า เขาจึงรู้ว่าพวกหูเจียวเจียวมีเสบียงเหลืออยู่ไม่มากนัก
เนื่องจากกลุ่มคนที่อพยพมาจากเผ่าหมาป่ามีคนจำนวนมาก เผ่าแห่งนี้จึงไม่สามารถเลี้ยงดูพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียวได้ ประกอบกับปัจจุบันอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่เสบียงขาดแคลน
หากทุกคนรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องตื่นตระหนกอย่างแน่นอน ดังนั้นเซี่ยจื้อหนุ่มจึงทำได้เพียงพูดแบบอ้อม ๆ
“อย่ากังวลไปเลย” หูเจียวเจียวเลิกคิ้วขึ้นและพูดขัดจังหวะเขา “ข้าสัญญาว่าทุกคนจะไม่ต้องอดอาหาร”
“ยามที่ฤดูหนาวสิ้นสุดลง เราจะสอนพวกเจ้าปลูกพืช แล้วพวกเจ้าจะมีเสบียงเหมือนที่ทุกคนในเผ่านี้มี”
“ท่านผู้เฒ่าจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน!”
คำพูดของจิ้งจอกสาวเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านลงในหัวใจของเหล่าภูต
ตอนที่ทุกคนมาถึงเผ่าใหม่ พวกเขารู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ และไม่ว่าจะพูดอย่างไรตนก็ต้องพึ่งพาคนอื่นรวมถึงใช้ชีวิตด้วยการก้มศีรษะร้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย
ทว่าด้วยคำพูดของหูเจียวเจียวเมื่อสักครู่ทำให้ภูตทั้งหลายรับรู้ได้ว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีเท่ากับคนทั่วไป
ไม่นานดวงตาของเหล่าภูตชายก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา
จากนั้นทุกคนก็กำหมัดแน่น ชูมือขึ้นฟ้าและส่งเสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิม
“เราจะทำงานอย่างหนักเพื่อเผ่า เราจะพยายามให้สุดความสามารถ!”
“เราจะไม่ทำให้แม่นางและท่านผู้เฒ่าผิดหวัง!”
ทางด้านเซี่ยหมานมองไปที่หูเจียวเจียวด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาคิดเพียงว่านางพยายามทำตัวใจดีสู้เสือ
นางจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ?
ในเวลาเดียวกัน หลงเหยาเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มภูตที่ยืนเหมือนกำแพงสูงด้วยความสับสน ก่อนที่เขาจะเลียนแบบการเคลื่อนไหวของพวกเขาพลางกระโดดชูมือขึ้นสูง
เด็กน้อยไม่รู้จะตะโกนว่าอะไร เขาจึงส่งเสียง “ย้ากกกกกกกก!”
ปรากฏว่าการทำเช่นนี้ทำให้เขาสนุกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่คนตัวเล็กได้พบภูตจำนวนมาก ไม่นานเขาก็กระโดดโลดเต้นไปมาอย่างมีความสุข
ขณะนั้นเซี่ยหมานถูกเสียงของหลงเหยาดึงดูด เขาก้มลงมองเด็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“นี่ลูกของเจ้ากับ… เขาหรือ?”
เขาคิดว่าเด็กคนนี้ดูไม่เหมือนหลงโม่เลย
และเขาดูหน่อมแน้มไปสักหน่อย...
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ เซี่ยจื้อหนุ่มก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมามากขึ้น พร้อมกับจินตนาการว่าถ้าเขากับนางมีลูกด้วยกัน เด็กที่เกิดมาคงจะทั้งฉลาดและแข็งแกร่งกว่าเด็กคนนี้แน่นอน
“นี่คือลูกคนที่ 5 ของครอบครัวข้า เขาชื่อหลงเหยา เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องของข้า” หูเจียวเจียวแนะนำลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าหลงเหยาอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว เธอก็เผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ออกมาทันที
คำพูดของจิ้งจอกสาวทำให้ใบหน้าของเซี่ยหมานแข็งค้าง
“เจ้ามีลูก 5 คน?”
เยอะชะมัด!
ตระกูลเซี่ยจื้อของเขาสามารถมีลูกได้เพียง 1 คนต่อ 1 ครั้ง ด้วยเหตุนี้ เผ่าพันธุ์ของเขาจึงมีน้อย ส่งผลให้จำนวนของพวกเขาลดลงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนกระทั่งเหลือเพียงเขาและภูตอีกไม่กี่คน
“ใช่” หูเจียวเจียวพยักหน้า ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นสามารถมีลูกได้หลายคน เพียงแค่ท้องแรกนางก็ให้กำเนิดลูกถึง 5 คนแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะนางร้ายของนิยายปักใจอยู่แค่กับอิงหยวนเพียงผู้เดียว ป่านนี้นางอาจจะมีคู่ครองมากมายจนมีลูกหลานเต็มเผ่า
เมื่อหูเจียวเจียวนึกถึงร่างเดิมของเธอก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
‘ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่’ นั่นคือสิ่งที่หญิงสาวคิด
เมื่อเซี่ยจื้อหนุ่มเห็นจิ้งจอกสาวยิ้มสดใสเหมือนดอกไม้บานสะพรั่ง เขาก็แอบโกรธอยู่ในใจอย่างอธิบายไม่ได้และรู้สึกว่าตนด้อยกว่า
เขาจะเปรียบเทียบตัวเองกับหลงโม่ได้อย่างไร
เขามีลูกได้ไม่มากเท่าชายคนนั้นด้วยซ้ำ…
ส่วนภูตคนอื่น พอเห็นว่าเซี่ยหมานยังอยู่ที่นี่ ภูตทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปสร้างกำแพงต่อ
ในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางโขดหินที่อันตรายก็มีร่างภูตตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังขนหินอย่างขยันขันแข็ง โดยที่ร่างของเขานั้นผ่ายผอมเหมือนจะหักครึ่งได้ทุกเมื่อยามที่เขาพยายามจะช่วยคนอื่นยกก้อนหิน
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่หินก้อนเล็กก็ตาม
แต่เด็กชายคนนั้นก็ยังคงกัดฟันแน่นพยายามเค้นแรงของตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด
ส่วนภูตผู้ใหญ่คนอื่นเห็นเขาทำเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครก้าวเข้าไปช่วย แม้ว่าเด็กตัวผอมแห้งกำลังลำบากในการยกหินก็ไม่มีใครสนใจ
เห็นได้ชัดว่าเขาถูกเมินเฉยในหมู่ภูตด้วยกัน
“ท่านแม่! เด็ก มีเด็กอยู่ที่นั่น!” หลงเหยาสังเกตเห็นภูตเด็กคนหนึ่งด้วยดวงตาที่เฉียบคม และตะโกนอย่างมีความสุขขณะที่เขาดึงชายเสื้อของหูเจียวเจียว
เขามีเพื่อนเล่นใหม่แล้ว!
เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าเด็กคนนั้นมีขนไหม
แม้เสียงของเด็กน้อยจะไม่ดังฉะฉานเหมือนเสียงของผู้ใหญ่ แต่เสียงเล็กแหลมของเขาก็เป็นเอกลักษณ์มาก
เมื่อภูตเด็กได้ยินเสียงของหลงเหยา เขาก็หันกลับไปทันที แต่เท้าของเขาดันลื่นจนล้มลงไปข้างหลัง
“โอ๊ย...”
ทันทีที่หูเจียวเจียวหันไปมองลูกชายคนสุดท้อง อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอก็วิ่งออกไปแล้ว
“ท่านเป็นอะไรไหม?” หลงเหยาวิ่งเต็มแรงเท่าที่ขาสั้น ๆ จะสามารถวิ่งได้ แต่หน้าตาของเขาดูมุ่งมั่นมาก เขาวิ่งไปหาเด็กตัวโตกว่าอีกคนที่ล้มลงไม่ไกลแล้วนั่งย่อตัวลง
ขณะนั้นใบหน้าของหวงเทียนกลายเป็นสีซีดเพราะความเจ็บปวด ขาของเขาถูกหินกดทับจนไม่สามารถขยับได้
แต่เมื่อเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นก็เห็นเด็กตัวขาวหน้าตาไร้เดียงสาคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะส่ายหัวตอบด้วยความยากลำบาก
“ข้า-ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกังวล”
หลงเหยาผงกหัวรับโดยเข้าใจว่าอีกคนไม่เป็นอะไรจริง ๆ จากนั้นเขาจึงกะพริบตาพลางถามอย่างกระตือรือร้น
“แล้วท่านมีขนไหม?”
“...” ฝ่ายที่ถูกถามมีสีหน้างุนงง
มันหมายความว่ายังไงกัน?
เขาตกตะลึงเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยเข้าใจว่าเด็กคนนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไร
“ท่านมีขนไหม ข้าหมายถึงขนนุ่ม ๆ บนตัวของท่าน...” หลงเหยาพยายามแสดงท่าทางประกอบคำอธิบาย
“ขะ-ข้ามีขนนก ข้าไม่รู้ว่าเป็นแบบที่เจ้าพูดถึงหรือเปล่า” หวงเทียนลดสายตาลงต่ำขณะตอบตะกุกตะกัก
ตั้งแต่เขายังเด็ก นอกจากพี่สาวของตัวเองแล้วเขาไม่เคยได้มีปฏิสัมพันธ์หรือพูดคุยกับภูตคนอื่นเลยนอกจากภูตหมาป่าที่เป็นผู้คุม หลังจากที่เขาถูกช่วยออกมาจากเผ่าหมาป่า ยกเว้นพี่สาวเทพธิดาแสนสวยก็ไม่มีใครอยากพูดคุยกับเขาอีก
เด็กน้อยคนนี้เป็นคนแรกที่เริ่มเข้ามาพูดคุยกับเขาก่อน
“อ่อ... ท่านมีขนปุย!” ความตื่นเต้นของหลงเหยาหายไปในทันที และเขาก็ก้มหน้างุดด้วยความผิดหวัง
ฮึ่ม!
เมื่อไหร่เสี่ยวเหยาจะเจอเด็กที่ไม่มีขนนะ
“เจ้า—” พอหวงเทียนเห็นว่าคนตัวเล็กอารมณ์เสีย เขาก็อยากที่จะเข้าไปปลอบโยนอีกฝ่าย แต่พอเขาขยับตัวก็เพิ่งนึกได้ว่าขาตัวเองยังติดอยู่กับหินจึงล้มลงอีกครั้งพร้อมอ้าปากค้างด้วยความเจ็บปวด
“ท่านเจ็บรึ!?” หลงเหยาเห็นเหงื่อที่หน้าผากและใบหน้าที่เหยเกของเด็กที่โตกว่าตรงหน้า จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าขาของอีกคนถูกก้อนหินทับไว้
“เสี่ยวเหยาจะช่วยท่านเอง”
ท่านแม่เคยบอกว่าเป็นเด็กดีต้องมีน้ำใจคอยช่วยเหลือผู้อื่น!
ครู่ต่อมา เด็กน้อยพับแขนเสื้อขึ้นในขณะที่ทำหน้าจริงจัง
จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ๆ จนแก้มและท้องพองขึ้น ก่อนที่เขาจะกอดหินที่มีความสูงเกินครึ่งตัว
“ฮึบ!”
แม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะออกแรงยกหินมากแค่ไหน มันก็ไม่ขยับเลยสักนิด
“...”
น่าขายหน้ามาก!
“ฮึบ ๆๆๆ… เสี่ยวเหยาขยับมันไม่ได้ งั้นเสี่ยวเหยาจะไปเรียกท่านแม่ให้มาช่วยแล้วกันนะ” หลงเหยาเกาหัวพูดด้วยความลำบากใจ
ทางด้านหวงเทียนส่ายหัวทั้งที่ริมฝีปากซีดแล้ว แต่ก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขา “ไม่เป็นไร ขอบคุณที่พยายามช่วยข้า”
เด็กคนนี้น่ารักจริง ๆ
เขาใจดีเหมือนพี่สาวเทพธิดาแสนสวยคนนั้นเลย
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ความคิดของเจ้าเสี่ยวเหยานี่ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ น่าร้ากน่าเอ็นดู~