ตอนที่แล้วตอนที่ 931 ความโกรธของตู้เค่อ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 933 ข้อพิสูจน์แรก

ตอนที่ 932 การตัดสินใจของตระกูลหัว


ในชั่วเวลาเพียงไม่กี่วันซาดราดูเหมือนแก่ลงไปเป็นสิบปี  ผมสองสีของเขาเปลี่ยนเป็นขาวโพลนมีริ้วรอยย่นบนใบหน้าของเขา หน้าของเขาไม่มีความสงบใจเย็นและมั่นคงอีกต่อไป  มีแต่เพียงความซึมเซาแม้กระทั่งหลังของเขายังโค้งงอเหมือนคนแก่

ข้างๆ เขาหัวหลิวซางและพวกที่เหลือมีสีหน้ากังวล และในช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วันพวกเขาประสบกับความหมายที่ว่าผ่านไปหนึ่งวันเหมือนกับยาวนานเป็นปี  ใบหน้าหลายคนปรากฏแววพ่ายแพ้พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมสถานการณ์จึงกลายเป็นเช่นนั้น

สองสามวันก่อนนั้น พวกเขามองหาผู้อาวุโสซิ่นกับซีอุสบุรุษเพียงคนเดียวที่มาถึงเมืองหิมะขาวตามลำพัง และความทรงจำว่าพวกเขารู้สึกว่ายังไงกับชัยชนะตามความเข้าใจที่แจ่มชัดของพวกเขา  แต่ในทันใดนั้น พวกเขาเหมือนตกสวรรค์ลงสู่นรก มันเร็วเกินไปจนพวกเขาไม่สามารถตั้งตัวได้ทันเวลา  ความได้เปรียบทั้งหมดของพวกเขาหายไปหมด  และพวกเขาถูกผนึกขังไว้อยู่ในทวีปเซียน ความบ้าคลั่งและอำมหิตของประมุขผู้อาวุโสทำให้พวกเขารู้สึกกลัวอย่างแท้จริง

วิหารยังสามารถสังหารหมู่ประชาชนเหมือนกับว่าไม่มีอะไร แล้ววิหารจะปล่อยพวกเขาให้มีชีวิตอยู่ได้ยังไง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทวีปเซียนจะกลายเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ตลอดไป พวกเขาทั้งหมดจะถูกประหารในฐานความผิดพยายามทำลายทวีปเซียน และทายาทและลูกหลานรุ่นหลังของพวกเขาจะต้องอับอาย  ใช่แล้ว พวกเขาต้องกังวลถึงคนรุ่นอนาคต  วิหารไม่มีทางปล่อยให้ทายาทของพวกเขารอดอยู่ได้

ประมุขผู้อาวุโสสามารถสังหารหมู่ได้ทั่วทั้งทวีปเซียน  เขาจะไม่รู้วิธีขุดรากถอนโคนได้ยังไง? การทำลายทั่วทั้งตระกูลเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการทำลายทั้งทวีปเซียนไม่ควรแก่การเอ่ยอ้าง

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเป็นฝันร้ายสำหรับพวกเขา

ทุกๆวันจะต้องมีผู้คนที่ถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน พวกเขาได้แต่ดูสหายของพวกเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างช่วยอะไรไม่ได้และเป็นเรื่องทรมานต่อพวกเขาทุกคน หลังจากนั้นใครก็ตามที่โดนเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ยินดีที่จะยอมตายด้วยน้ำมือของสหายพวกเขา

แต่แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะจบลง แต่ความเจ็บปวดจากการถูกเผาผลาญวิญญาณเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

พวกเขามองดูวิญญาณที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ในเพลิงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาทั้งหมดสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดและขุ่นเคืองที่แฝงอยู่ในวิญญาณ กำลังใจตกต่ำลงและพวกเขาสงสัยว่าตราบใดที่วิหารส่งคนลงมาเพื่อบอกให้พวกเขายอมแพ้  คงจะมีมากกว่าครึ่งที่ยอมทันที

แต่ไม่มีใครลงมาเหมือนกับว่าทุกคนในวิหารหลับกันหมด

สิ่งที่ทำให้ตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้นก็คือความทุกข์ทรมานจากการรอคอยความตายทำให้บางคนแตกแยก  และแม้แต่จิตวิญญาณพวกเขายังถูกกลืน  การตายอย่างสงบเป็นความฝันที่ฟุ่มเฟือย

ในค่ายเงียบราวกับป่าช้า  ทุกคนมองดูเหมือนกับว่าสูญเสียวิญญาณ  ตาของพวกเขาหมองไม่มีประกายของชีวิต

ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น  “เร็วเข้าดู!  ในท้องฟ้า!”

ซาดราเงยหน้าของเขา ตาของเขาหรี่และรอยย่นในใบหน้าของเขาปรากฏชัดขึ้นอีก

‘ในที่สุดก็เริ่มแล้ว?’

ในสายตาของเขาเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองในท้องฟ้าดูเหมือนถูกบางอย่างดึงดูดอยู่ และการเคลื่อนไหวทั้งหมดตรงไปที่ตำแหน่งเดียว เป็นครั้งแรกที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากสองสามวันที่ผ่านมา

‘ตำแหน่งนั้นคือ....’

“วิหาร!  นั่นคือตำแหน่งมุ่งสู่วิหาร!”  ม่ออี้กู่อุทานออกมาเสียงดัง

‘ตำแหน่งสู่วิหาร!’ ใจทุกคนสะท้าน ทุกคนยืนขึ้นและมองดูในที่ไกล

เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่ในท้องฟ้าเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่วิหารตั้งอยู่  แม้ว่าความเร็วของพวกมันจะไม่เร็วมาก  แต่พวกมันกำลังเคลื่อนไหวอย่างแท้จริง  และเป็นตำแหน่งของวิหารอย่างเห็นได้ชัด

‘เกิดอะไรขึ้นกับวิหาร?’  ทุกคนพากันสงสัย

วิหารตั้งอยู่ไม่ห่างออกไป  แต่เป็นตำแหน่งที่ไม่ควรเข้าไปใกล้  และยังมีเมืองสองสามเมืองคั่นอยู่ระหว่างนั้น

“เราล้มเหลวไปแล้ว”  ซาดราพูดขึ้น เขากลับสู่ความสงบได้แล้ว และเมื่อเห็นว่าทุกคนมองดูเขา เขาฝืนหัวเราะ “หรือว่าพวกเจ้าทุกคนยังคิดว่าสถานการณ์ของเรายังแย่ไม่พอ?”

ทุกคนตกใจ พวกเขายังคงเงียบ

‘ใช่แล้วยังจะแย่ไปกว่านี้ได้หรือ?”

“ข้าจะไปดู!”  หัวหลิงซางพูดขึ้น  “ไม่ว่าข้าจะเป็นหรือตาย อย่างน้อยทำอะไรให้ลือลั่นดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย!”

คำพูดของเขาโน้มน้าวทุกคน  และมีสองสามคนติดตามทันที

“ข้าจะไปด้วย!”

“ใช่แล้วอย่างน้อยก็ยังดีกว่าตอนนี้!”

“ไปดูกันเถอะ”

พวกเขาเดินตามหลังหัวหลิวซางมุ่งหน้าไปยังวิหาร พวกเขาคอยหลบเพลิงศักดิ์สิทธิ์บนถนนอย่างระมัดระวังและไม่หยุดนิ่งกับที่

แต่เมื่อพวกเขามาถึงวิหาร  พวกเขาตระหนักได้ว่าวิหารว่างเปล่า มีเพียงสิ่งที่เคลื่อนไหวก็คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าที่ยังลอยเข้าหาเสาลำแสงเพลิง  แม้ว่าลำแสงเพลิงจะไม่ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆหัวหลิวซางก็สามารถรู้สึกได้ถึงรัศมีที่ทรงพลังกำลังถือกำเนิดอยู่ด้านใน

หัวหลิวซางถูกความตกใจครอบงำ  ‘มีอะไรอยู่ภายในลำแสงแสงเพลิงนั่น?’

ทันใดนั้นความคิดที่น่ากลัวผุดขึ้นมาในใจของเขา  ‘หรือว่าประมุขผู้อาวุโสและพวกที่เหลือจะอยู่ภายในลำแสงเพลิงนี้?’

เขานับจำนวนลำแสงและสุดท้ายนับรวมลำแสงเพลิงได้สิบสี่ลำแสงที่กำลังดูดซับเพลิงศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่จบสิ้น  ฉากภาพข้างหน้าทำให้พวกเขาตกใจ  หัวหลิวซางเงยหน้าขึ้นและมองกระแสเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้า ความกลัวในใจของเขาถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน  สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของเขาคือวิ่งหนี  แต่เขาข่มความตกใจได้อย่างมั่นคง  ทั่วทั้งทวีปเซียนถูกผนึก  พวกเขาจะหนีไปไหนได้?

เขาบังคับสายตากลับขณะมองลำแสงทั้งสิบสี่กำลังดูดกลืนทุกอย่างเหมือนมีปากสิบสี่ปาก

ในที่สุดเขาก็เข้าใจทำไมประมุขผู้อาวุโสไม่ยอมปล่อยประชาชนไปแม้แต่คนเดียว เพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าไม่ได้ใช้จัดการหรือผนึกทวีปเซียน  แต่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเสาลำแสงทั้งสิบสี่หรือมีสัตว์ประหลาดสิบสี่ตัวอยู่ภายใน

ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา

‘พลเมืองของทวีปเซียนเป็นอาหารให้กับสัตว์ประหลาดของวิหาร  สัตว์ประหลาดทั้งสิบสี่กำลังก่อเกิดอยู่ที่นี่’

เรื่องที่เกิดอย่างกะทันหันทั้งหมดทำให้หัวหลิวซางตาแดงก่ำ  ความโกรธอย่างไม่เคยมีมาก่อนอัดแน่นอก  ‘กี่ชีวิตที่ถูกพรากไป  ทั้งหมดเป็นคนบริสุทธิ์  พวกเขาเป็นแค่พลเมืองธรรมดา’

‘และ...พวกเขาเป็นมนุษย์ทุกคน.. พวกเขาถูกมองว่าเป็นอาหารได้ยังไง?’

ความกลัวที่มาพร้อมกับความโกรธที่ไม่เคยมีมาก่อนปนอยู่ลึกๆ กับความกลัว

‘เขาตัดสินจากทวีปเซียนทั้งหมดและถ้าพลังของทุกคนถูกรวบรวมมาที่เสาลำแสงทั้งสิบสี่นี้  พวกมันจะเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหน?’

นี่คือการทะลุขีดจำกัดความเข้าใจของหัวหลิวซาง แต่เขารู้ว่าหลายอย่างที่จะเกิดจากลำแสงทั้งสิบสี่จะต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง

เสียงคำรามดังมาจากด้านข้างเขา หนึ่งในขุนพลทหารโห่ร้องใส่ลำแสงเพลิงที่ใกล้ที่สุดและลงมือโจมตี  แต่ทั้งหมดนั้นไร้ประโยชน์  เขาไม่อาจสร้างแรงกะเพื่อมใดๆกับลำแสงเพลิงได้  และก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัวลำแสงเพลิงรายล้อมพวกเขาจากทุกตำแหน่ง และกักขุนพลนั้นไว้

เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทองเผาผลาญร่างของเขาและก่อนที่เขาจะทันได้กรีดร้อง เขาก็กลายเป็นจุล

“เราจะออกไปเดี๋ยวนี้!”

หัวหลิวซางเปลี่ยนสีหน้า  ‘สัตว์ประหลาดในลำแสงสามารถควบคุมเพลิงศักดิ์สิทธิ์รอบๆตัวพวกเขาได้!’

ทุกคนตกใจกับฉากภาพที่เห็นและทุกคนพากันถอยไปทันที

ทั้งกลุ่มบินออกมาเกินสิบกิโลเมตรก่อนจะหยุดลง  หลังจากออกมาไกลแล้วลำแสงเพลิงก็ยังคงใหญ่เด่นและสง่างาม และพวกเขายังคงดูไม่มีอะไร จากตรงนี้ พวกเขาสามารถมองดูภาพที่สมบูรณ์ได้  ทะเลเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่กว้างใหญ่กำลังเคลื่อนที่ไปที่ลำแสงขนาดใหญ่ทั้งสิบสี่ทำให้พวกเขารู้สึกมึนชา

หัวหลิวซางอยู่ในอาการมึนงง เขารู้สึกเหมือนกับว่าความแข็งแรงของเขาหายไปจากตัวพวกเขาจะเอาชนะศัตรูที่น่ากลัวนี้ได้ยังไง?

แต่ที่สำคัญเขาก็เป็นบุรุษที่ทรงพลังคนหนึ่ง และเขารู้ว่าความสิ้นหวังและความกลัวในเวลาอย่างนั้นมีแต่จะทำให้ตายเร็วขึ้น

“กลับกันก่อน”  เขากัดฟันและพูดอย่างเด็ดขาด

ตาของเขากวาดมองไปรอบกลุ่มข้างตัวเขา  ทุกคนมีความสิ้นหวังปรากฏอยู่บนใบหน้า  แม้แต่หัวหลี่รั่วผู้ไม่รู้จักว่าความกลัวคืออะไรก็ยังหน้าซีดเป็นกระดาษขาวและนิ้วของเขาสั่น

หัวหลิวซางเห็นว่าพูดต่อไปก็ไร้ประโยชน์  เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าพวกเขารู้สึกยังไง?

เขาไม่พูดอีกต่อไป และนำกลุ่มไปเงียบๆ

คนที่เหลือตามเขาไปเงียบๆ  ในเวลาอย่างนั้น ไม่มีใครสนใจจะพูด แต่ทุกคนรู้ว่าเวลาที่สัตว์ประหลาดจากลำแสงปรากฏตัวก็คงเป็นเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างจบลง

หลังจากเห็นทุกอย่างมาทั้งวัน  สายใยความหวังสุดท้ายในหัวใจพวกเขาแหลกสลาย

พวกเขาไม่พูดตลอดการเดินทาง

ในพริบตาพวกเขากำลังลังจะไปถึงค่ายของพวกเขา  จู่ๆ เมื่อหัวหลี่รั่วบังเอิญเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง  เขาตกใจและหันไปมองโดยไม่รู้ตัว  สิ่งที่เขาเห็นก็คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอะไรอย่างอื่น  เพลิงกระจัดกระจายในระดับเดียวกันไม่สิ้นสุด

‘ไม่มีที่ใดให้เราซ่อนตัว...’

หัวหลี่รั่วรู้สึกท้อแท้และมีปฏิกิริยาตามมาทันที เขาอดหัวเราะไม่ได้  ‘ทำไมข้ายังคงมีความหวังในเวลาแบบนี้?  หรือว่าจิตใต้สำนึกข้าคิดว่าตราบเท่าที่มีความหวังสักนิดเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้?’

เขาส่ายศีรษะ และยังคงไปต่อ  หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาหยุดทันใด

เขามองดูรอบๆ สีหน้าของเขาดูแปลก เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขามีความรู้สึกบางอย่าง  และเขามั่นใจว่าเขาไม่ผิดพลาด  หัวหลิวซางและพวกที่เหลือทิ้งเขาไว้ข้างหลัง  แต่เขาไม่สนใจ และมองไปรอบๆ

‘ถ้ามันเกิดขึ้นครั้งเดียว,  ข้าอาจเข้าใจผิดก็ได้  แต่นี่มันสองครั้ง ไม่ใช่เข้าใจผิดแน่’

‘มันคืออะไร?’

เขาหยุดนิ่งกับที่และมองดูรอบๆ

‘สิ่งเดียวที่เขาสามารถเห็นได้นอกจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์  ก็มีแต่แค่เพลิงศักดิ์สิทธิ์..หรือว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์?’

ใจของหัวหลี่รั่วสั่นสะท้าน  เขามองดูเพลิงศักดิ์สิทธิ์รอบๆตัวเขาอย่างระมัดระวัง

‘เดี๋ยวก่อน!’

ตาของเขาเป็นประกาย  ในที่สุดเขาก็พบตำแหน่งที่ดึงดูดความสนใจเขา  เขาคิดถูก เป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ในสายตาเขายังมีส่วนหนึ่งของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มุ่งหน้าไปอีกตำแหน่งหนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

“ได้เรื่องแล้ว!”  เขาตะโกนลั่น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวหลิวซางหยุด  เขาหันกลับและเพียงแต่มองทอดระยะห่างจากหัวหลี่รั่ว

“มีเรื่องแล้วได้เรื่องแล้ว!” หัวหลี่รั่วตะโกนลั่นและโบกมือให้ทุกคน

เขากลายเป็นตื่นเต้นทันทีการเปลี่ยนแปลงไปแบบนั้นเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา พวกเขาอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเท่าที่เป็นไปได้แล้ว  ไม่สำคัญว่าจะเปลี่ยนแปลงไปสักเล็กน้อยคงไม่ถึงกับทำให้พวกเขาแย่มากไปกว่านี้ แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเป็นเรื่องดี?

หัวหลิวซางเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา  เขาพุ่งเข้ามาหาและจับตัวหัวหลี่รั่วไว้และถามอย่างตื่นเต้น  “เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงของเขาสั่นแสดงให้เห็นความตื่นเต้น  คนอื่นๆ พอตั้งตัวได้ก็วิ่งเข้ามาหา

หัวหลี่รั่วไม่ได้ล้อเล่น  เขาตื่นเต้นพอกัน  เขาชี้ไปที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้า  “เพลิงศักดิ์สิทธิ์!  ตำแหน่งที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังมุ่งหน้าไปในตำแหน่งนั้น!”

หัวหลิวซางมองตามนิ้วที่หัวหลี่รั่วชี้ ตาของเขาเป็นประกายทันที  “หัวหลี่รั่วพูดถูก มีอีกตำแหน่งที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังบินไปซึ่งนอกจากวิหาร’

“ไป! ไปดูกัน!” เขาพูดโดยไม่ลังเล และนำคนไปตามตำแหน่งที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังมุ่งหน้าไป

คนที่เหลือตื่นตัวและติดตามทันที

พวกเขาตามไปและตระหนักได้ทันทีว่ามีเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งเดียวกัน  พวกเขายิ่งประหลาดใจมากขึ้นและปริมาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าที่กำลังมุ่งหน้าไปวิหาร

ความตื่นเต้นของทุกคนตกลง  ขณะที่ความกลัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

‘หรือว่าจะมีจำนวนสัตว์ประหลาดที่วิหารกำลังเพาะเลี้ยงนอกจากสิบสี่ตน?’  เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้วจิตใจทุกคนพลันตึงเครียด  ‘ใช่แล้ว พวกวิหารใหญ่โตมากและพวกเขาก็ทรงพลังมากมายสัตว์ประหลาดแค่สิบสี่ตนยังเล็กน้อยมาก’ สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขารู้สึกว่าไม่ประหลาดใจถ้าวิหารมีสัตว์ประหลาดสิบสี่ตัวอยู่ในทุกเมือง

หัวใจทุกคนกลายเป็นตึงเครียด  กำลังใจที่ฟูแต่ก่อนพลันตกลง

หัวหลิวซางยังคงทำตัวสงบ  ต่อให้มีสัตว์ประหลาดมากกว่าสิบสี่ตัว  สถานการณ์ก็ไม่เลวร้ายไปกว่านี้  เขารู้สึกถึงรังสีน่ากลัวที่เปล่งอย่างเลือนรางออกมาจากลำแสงเพลิง  และรู้ว่าสัตว์ประหลาดนั้นน่ากลัวขนาดไหน  เขายังรู้สึกว่าแม้พวกเขาจะน่ากลัวมากเพราะเขาไม่รู้ว่าผลของการรวมพลังของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเสาเพลิงทั้งสิบสี่จะเป็นยังไง

เขามีลางสังหารณ์ว่าตัวประหลาดทั้งสิบสี่ตัวจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการได้

เขาสังเกตว่าสีหน้าของหัวหลี่รั่วดูเหมือนแปลกออกไป  มีความคิดหนึ่งเขารู้สึกว่าหัวหลี่รั่วค้นพบอะไรบางอย่างและถามดู  “เกิดอะไรขึ้น?”

“ตำแหน่งนั้น...”  หัวหลี่รั่วไม่แน่ใจ  “ดูเหมือนว่ามันจะตรงไปเมืองหิมะ”

“เมืองหิมะ?”  หัวหลิวซางตกใจอยู่ชั่วขณะ  ขณะในทันใดนั้นเขาแสดงอาการตื่นเต้นอย่างเต็มที่

‘ใช่แล้วนี่คือทางไปเมืองหิมะไม่ใช่หรือ?’

พอหัวหลี่รั่วเตือน  เขาตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขามองข้ามได้ทันที  เขาเขกศีรษะตัวเองด้วยความโมโห  “ข้าลืมเรื่องที่สำคัญชัดเจนขนาดนี้ไปได้ยังไงข้ากังวลมากเกินไป’

เมืองหิมะ!

เขาจะไม่มีทางลืมเมืองนี้มันอยู่ภายในเมืองที่พวกเขามีความรู้สึกเหมือนลงจากสวรรค์เข้าสู่นรก แต่ก็เป็นเมืองเดียวกันนี้ที่พวกเขารู้สึกได้ถึงแสงแห่งความหวังเมื่อพวกเขาเข้ามาด้วยอาการสิ้นหวังอย่างที่สุด

กลุ่มการค้าเมซฟิลด์  เมืองหิมะ!

หัวหลิวซางจำได้ว่ากลุ่มการค้าเมซฟิลด์ยังอยู่ในเมืองหิมะ เวลานั้นเมื่อพวกเขารวบรวมกองทัพอย่างกังวลและออกไปจากเมืองหิมะ  กลุ่มการค้าเมซฟิลด์ไม่ได้ตามพวกเขาออกมา

‘หรือว่ากลุ่มการค้าเมซฟิลด์กำลังทำอะไรบางอย่าง?’

เมื่อคิดดูแล้วหัวหลิวซางรู้สึกว่าตลอดทั้งร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงกระฉับกระเฉง  ‘ใช่แล้วกลุ่มการค้าเมซฟิลด์มีผู้อาวุโสซิ่นที่ยากจะหยั่งถึงและกองพลหน้ากากเหล็กที่ทรงพลังพวกเขาอาจมีความคิดบางอย่างก็ได้?’

หัวหลิวซางสะท้อนใจตัวเองที่หลงลืมความคงอยู่ของกลุ่มการค้าเมซฟิลด์ไปอย่างสนิท  ไม่ว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องอย่างไรมาก่อน พวกเขาทุกคนในตอนนี้คือผู้รอดอยู่ในทวีปเซียนและเป็นพันธมิตรกัน!

พวกเขาไม่สามารถบินในทวีปเซียนได้  ดังนั้นพวกเขาได้แต่ใช้ความสามารถทั้งหมดในการวิ่ง

เมื่อพวกเขามาถึงด้านนอกเมืองหิมะ  พวกเขาตกใจกับฉากภาพที่ต้อนรับพวกเขาอยู่  ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่  และเริ่มมองสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ในเมืองหิมะอย่างว่างเปล่า  พวกเขาทุกคนปากอ้าค้าง ทุกคนลืมวิธีพูด

พายุหมุนขนาดมหึมาครอบคลุมไปทั้งเมืองหิมะ  และดูเหมือนจะมีปากขนาดมหึมาอยู่เหนือพายุหมุนที่ซึ่งเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไหลกรูกันลงไป และเปลี่ยนเป็นสายน้ำทองอยู่ในพายุหมุน

ลำแสงเพลิงที่พวกเขาเห็นก่อนนั้นยังดูสงบเยือกเย็นเมื่อเทียบกับพายุหมุนต่อหน้าพวกเขาแล้ว แม้แต่ความเร็วในการกลืนกินก็ต่างระดับกันอย่างสิ้นเชิง  ลำแสงเพลิงของวิหารเหมือนพวกสุภาพบุรุษผู้ดีนั่งโต๊ะอาหารรับประทานอย่างมีมารยาท แต่พายุหมุนข้างหน้าพวกเขาเหมือนกับสัตว์ประหลาดหิวกระหายที่หลุดออกจากกรงแล้วกลืนกินทุกอย่างลงท้องอย่างไม่มีวันอิ่ม

แม้แค่ดูกระแสสีทองจากแต่ไกล แต่หัวหลิวซางก็สามารถได้ยินเสียงกระหึ่มที่ดูดเข้าไปในพายุหมุน

ทั่วทั้งเมืองหิมะถูกบดบังด้วยเจ้าสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือพายุหมุนยังคงขยายขนาดในระดับที่น่าตกใจ

“โอวพระเจ้า!” หัวหลี่รั่วมองดูสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวนี้อย่างมึนงง

หัวหลิวซางค่อยรู้สึกตัวจากอาการตกใจกะทันหัน เขาสังเกตได้ทันทีว่ามีสองสามคนที่ยังแตกตื่นอยู่ภายในเมือง  เมื่อเขาดูอย่างระมัดระวัง, เขาคาดถูก!  เป็นกลุ่มการค้าเมซฟิลด์!  เขาไม่เห็นผู้อาวุโสซิ่น  แต่เขาเห็นเมลิซซาและกองพลหน้ากากเหล็ก  เขาสังเกตว่าแม้ว่าพวกเขาจะดูตื่นเต้น แต่พวกเขาไม่สับสนลนลานและทุกคนสังเกตพายุหมุนอยู่ในท้องฟ้า

หัวหลิวซางไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้ เขาเหมือนคนหลงทางในทะเลทรายที่ไปสะดุดเข้ากับโอเอซิส รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตกลับคืนในตัวเขา  หัวหลิวซางเริ่มร้องไห้

ในเวลาอันรวดเร็วคนของเมซฟิลด์ก็สังเกตเห็นพวกเขา และทุกคนระมัดระวัง

หัวหลิวซางปรับอารมณ์ให้สงบ จากนั้นบอกให้คนของเขาอยู่กับที่และพาไปแต่หัวหลี่รั่วเท่านั้น

เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่รายล้อมทั้งหมดถูกพายุหมุนปั่นขึ้นไปในท้องฟ้าดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเพลิงศักดิ์สิทธิ์  ไม่มีพลังต่อต้านดังนั้นจี๋เจ๋อและพวกจึงรู้สึกตัวโดยเร็ว ด้วยพลังต่อสู้ของพวกเขาเมื่อเห็นหัวหลี่รั่วและพวกเขากระจายกำลังอย่างระมัดระวังทันที

จี๋เจ๋อ และฝูเจิ้งจือมองหน้ากันเอง  พวกเขารู้ได้โดยไม่ต้องพูด  ตราบใดที่อีกฝ่ายมีความเคลื่อนไหวที่ไม่ชอบมาพากล   พวกเขาจะโจมตีโดยไม่ลังเล  ‘แม้ว่าหัวหลิวซางและกลุ่มของเขาจะค่อนข้างดูน่ากลัวและไม่พยายามเล่นตลก  แต่จะเป็นยังไง?  นายท่านยังอยู่ภายในพายุหมุน  ถ้าพวกเขาสร้างผลกระทบอะไร  เราต้องปกป้องนายหญิงเชียนฮุ่ยเช่นกัน’  ทั้งสองคนรู้สึกถึงแรงกดดันได้

หัวหลิวซางและหัวหลี่รั่วชูมือทั้งสองแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย

พวกเขาเดินเข้ามาใกล้และหัวหลิวซางคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นถาม “ข้าขอสอบถามได้ไหมว่า ผู้อาวุโสซิ่นอยู่ข้างในพายุหมุนหรือเปล่า?”

จี๋เจ๋อมองตาหัวหลี่รั่วเป็นประกายและรู้สึกตึงเครียดทันทีเขาตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ

ขณะที่ถังเทียนไม่ปรากฏตัวผู้มีอำนาจลำดับต่อไปก็คือเชียนฮุ่ย นางออกมายืนและตอบ  “ถูกแล้ว”

“ข้าคือหัวหลิวซางข้าขอเป็นตัวแทนตระกูลหัวขอร้องให้ผู้อาวุโสซิ่นปกป้องเราด้วย”  หัวหลิวซางคุกเข่ากับพื้นและพูดช้าๆจริงจัง  “ทั่วทั้งตระกูลหัวยินดีรับใช้ภายใต้ผู้อาวุโสซิ่น..”

เชียนฮุ่ยพูดขัดจังหวะอย่างใจเย็น  “อาซิ่นคือผู้บัญชาการของข้าและนอกจากนายผู้ชายสามีของข้าแล้ว ไม่มีใครอื่นเป็นเจ้านายที่นี่  พวกเขาทั้งหมัดเป็นขุนพลของสามีข้าท่านควรจะพิจารณาให้ดีอีกครั้งหนึ่ง”

หัวหลิงซางตกตะลึง ตอนแรกเขาคิดว่าผู้อาวุโสซิ่นเป็นผู้นำกลุ่ม แต่เขาคาดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสซิ่นเป็นขุนพลของหญิงสาวรูปงามที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขา  สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่าผู้นำกลุ่มความจริงก็คือสามีของสุภาพสตรีนี้

จี๋เจ๋อและฝูเจิ้งจือประหลาดใจ  จากตั้งแต่แรกนายหญิงเชียนฮุ่ยไม่เคยแสดงตัวโดยเฉพาะใดๆ ว่าเกี่ยวกับพวกเขา และพวกเขาเพียงแต่รู้ว่านายท่านและเชียนฮุ่ยเป็นคนรักกันตั้งแต่ยังเด็กมีความรู้สึกต่อกันอย่างลึกล้ำหลังจากใช้คำพูดที่กึกก้องทรงพลังทำให้ทุกคนรู้สึกถึงกลิ่นอายที่โดดเด่นของเชียนฮุ่ย

ทั้งสองคนมองหน้ากันเอง ‘นายหญิงไม่ธรรมดาเลย!’

สำหรับฝูเจิ้งจือผู้เชี่ยวชาญในการประจบเขาเริ่มสะท้อนใจและรู้สึกเสียใจว่าทำไมเขาไม่พยายามเป็นที่โปรดปรานจากนายหญิง

หัวหลิวซางพยายามพิสูจน์  “ข้าสงสัยว่าสามีของแม่หญิงอยู่แถวนี้หรือไม่?  นายผู้ชายมาจากตระกูลใด?”

ก่อนนี้เมื่อเชียนฮุ่ยเรียกถังเทียนว่าเป็นนายผู้ชายสามีของนาง  นางยังใจเย็นและยังรักษาสภาพสงบใจอยู่ได้แต่เมื่อได้ยินหัวหลิวซางเรียกถังเทียนว่าสามีนางความเก้อเขินเอียงอายผุดขึ้นมาจากใจ และนางหน้าแดงจนถึงคอ  แต่นางยังคงเชิดหน้าตอบ  “เขาอยู่ภายในพายุหมุนข้าจะไม่ปิดบังเขาจากท่าน  สามีข้าไม่ได้มาจากทวีปกวงหมิงถูกแล้ว เราจะปล่อยไว้อย่างนี้ และชั่งผลดีผลเสียด้วยตัวท่านเองท่านมีโอกาสเดียวและจะไม่มีโอกาสหลังจากนี้แล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวหลิวซางรู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น และเขาแสดงความเคารพอย่างไม่ลังเลใจ “ข้ายินดี”

ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากไหนต่อให้พวกเขาไม่ได้มาจากทวีปกวงหมิง แล้วไงเล่า? วิหารเป็นศัตรูกับสาธารณะแล้ว และถ้าวิหารชนะ จะไม่มีใครรอดอยู่ดี วิหารจะไม่ยอมให้ข่าวสิ่งที่เกิดขึ้นในทวีปเซียนถูกเปิดเผย  มิฉะนั้น ต่อให้ประมุขผู้อาวุโสชนะ  เขาก็ไม่สามารถรับการสนับสนุนจากพลเมือง

ไม่มีใครยินดีสนับสนุนประมุขผู้อาวุโสที่บ้าคลั่งโหดร้าย

การตัดสินใจของหัวหลิวซางทำให้เขาผ่อนคลาย  เมื่อตาของเขามองขึ้นไปที่พายุหมุน  เขารู้ว่ามีสัตว์ประหลาดอีกตัวหนึ่งจึงจะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้ เขายังคงรู้ว่าวิหารจะไม่ยอมรับความยอมแพ้ของพวกเขาอีกต่อไป  พวกเขาจะไม่มีทางยอมแพ้วิหาร พวกเขาสังหารหมู่พลเมืองของทวีปเซียนก็ยังทำได้ทำไมจะฆ่าเชลยอีกสองสามคนไม่ได้?  ถ้าเขาไว้ชีวิตพวกเขาจะเกิดอะไรขึ้นหากมีข่าวรั่วออกไป?

หัวหลิวซางทำได้แต่เพียงอาศัยกลุ่มการค้าเมซฟิลด์  เขารู้ว่าเขาไม่มีเหตุผลให้ต่อรองเพราะเขาไม่มีต้นทุนจะเล่น เขาไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน ถ้าประมุขผู้อาวุโสชนะจริงๆ ก็คงเป็นหายนะของทวีปกวงหมิงตระกูลของพวกเขาก็จะย่ำแย่ไปด้วย

ตระกูลระดับนั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป  ต่อให้พวกเขาพ่ายแพ้วิหารพวกเขาเอาชนะวิหารได้ พวกเขาก็ไม่มีกำลังปกครองทวีปกวงหมิงอยู่ดี

อารมณ์ของของหัวหลิวซางยุ่งเหยิง  ถ้าวิหารชนะ พวกเขาจะตายกันหมด  ตระกูลของพวกเขาจะถูกประหารกันหมดและเวลานั้นทวีปกวงหมิงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าพวกเขาชนะ ทวีปกวงหมิงอาจไม่คงอยู่ต่อไป วิหารจะถูกกำจัดสิ้นเชิง  ดังนั้นใครจะยึดครองทวีปกวงหมิง?

‘ทวีปกวงหมิงที่ทรงพลังล่มสลายในพริบตาด้วยอาการอย่างนั้นข้าก็กลายเป็นคนบาปคนหนึ่งเหมือนกัน...’

หัวหลิวรู้สึกว่าเขาเป็นตัวตลก ‘ทำไมข้าต้องคิดให้ซับซ้อนในเมื่อเราอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว  เขาคำนับเชียนฮุ่ย  “ผู้น้อยจะนำครอบครัวมาที่นี่”

“ไปได้”เชียนฮุ่ยพยักหน้า

เมื่อหัวหลี่รั่วกลับมารับสมาชิกตระกูลของเขา  เขายังคงอยู่ในอาการงง เขาไม่เคยคาดเลยว่าประมุขตระกูลจะเด็ดขาดไม่มีความลังเลใจยอมทิ้งเกียรติยศศักดิ์ศรีทุกอย่างกลายเป็นบริวารคนอื่น

‘ตระกูลหัวคือหนึ่งในตระกูลชั้นสูงเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง...’

ตั้งแต่เด็กจุดนี้ยังคงฝังลึกอยู่ในใจของเขา แต่การกระทำของประมุขตระกูลพังทลายความประทับใจของตระกูล

ราวกับว่าเขารู้สิ่งที่หัวหลี่รั่วกำลังคิด  หัวหลิวซางพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา  “เจ้าประหลาดใจนักหรือ?  คิดแต่เพียงแค่นี้พอ เราจะรอดไหมตระกูลหัวของเราจะรอดได้ไหม เพียงเท่านั้นจะได้ตัดสินใจเลือกถูก”

หัวหลี่รั่วรู้ว่าประมุขตระกูลกำลังพูดอะไร  เขากำลังชี้ไปทางซาดราและประมุขตระกูลคนอื่น

เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และได้แต่เงียบต่อไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด