บทที่ 4: ลูกปัดสมอง อาคารป่า และการต่อสู้!
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลงถังเจิ้นซึ่งเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆ ก็ตกตะลึง
เพราะการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายขนาดใหญ่แบบนี้เป็นเหมือนยาที่ทีการกระตุ้นทางประสาทสัมผัสที่รุนแรงมาก ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่ถังเจิ้นกำลังยืนงงอยู่นั้นเฉียนหลงก็เดินไปอย่างช้า ๆ
“สัดเอ๊ย! มอนสเตอร์อย่างไอ้พวกก็อบลินนี่แม่งโคตรโง่อะ ขอแค่ได้เห็นผู้พเนจรก็จะพุ่งเข้าใส่อย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่คำนึงถึงห่าไรเลย กะว่าถ้าชนะได้ก็ได้กินศพคน ถ้าชนะไม่ได้ก็หนี แล้วก็ทำแบบนี้วน ๆ ซ้ำ ๆ อยู่ตลอด! เชี่ยพวกนี้แม่งไม่รู้จักเรียนรู้เลยซักนิด!”
เฉียนหลงด่าพวกมันเสียงดังสนั่น จากนั้นก็ไปดึงเอาท่อนเหล็กที่เขาปาเสียบมันออกมา ในเมื่อศพเหล่านี้มีตัวหนึ่งที่เขาเป็นคนฆ่า ดังนั้นเขาย่อมมีสิทธิ์ในสินสงครามจากศพของมัน
ถังเจิ้นเห็นเขาหยิบมีดทำครัวที่หักแล้วออกมา จากนั้นก็จับศพที่สภาพโคตรโสโครกพลิกให้มันอยู่ในท่าเหมาะ ๆ แล้วเล็งปลายมีดจิ้มฉึกลงไปที่หว่างคิ้วของมัน จากนั้นก็แหวกออกก่อนจะมีผลึกสีขาว ๆ เปื้อนเลือดกลิ้งตกลงมา
เมื่อเห็นถังเจิ้นจ้องมองด้วยสีหน้างุนงงเฉียนหลงก็หรี่ตาลงและโยนลูกปัดสีขาวขึ้นลงเล่น ๆ และอธิบายว่า “ไอ้นี่แหล่ะลูกปัดสมองที่เคยบอกไป ลูกปัดสมองของมอนสเตอร์เลเวลหนึ่ง เอาไปแลกอาหารได้ประมาณสิบจิน... เฮ่ย อย่าบอกนะเว่ยว่าเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้? แล้วตกลงว่านายเอาตัวรอดในที่กันดารแบบนี้ได้ไงล่ะเนี่ย?”
“ชิ! ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิเรื่องแค่นี้น่ะ!”
ถังเจิ้นโบกมือและแสร้งทำเป็นขี้เกียจจะคุยด้วยก่อนที่จะหันไปยืนนึกอะไรต่อ
ปรากฏว่าในขณะที่ถังเจิ้นเห็นลูกปัดสมองนั่นจู่ ๆ ในใจก็เกิดความปรารถนาแปลก ๆ ขึ้นมา แบบว่า... ถ้าได้ไอ้ลูกปัดนั่นมาล่ะก็เขาจะได้ไอ้เหรียญทองที่ในมือถือมันว่ามาด้วยยังไงล่ะ! อะไรประมาณนั้น
แต่การจะได้ลูกปัดสมองเลเวลหนึ่งจากจากเฉียนหลงก็ถือเป็นปัญหาสำหรับถังเจิ้น เพราะยังไงลูกปัดสมองนี่สำหรับผู้พเนจรแล้วมันหมายถึงอาหารซึ่งมีค่าเท่ากับเงินในโลกของเขา
แต่ในขณะนี้ถังเจิ้นคือสิ้นเนื้อประดาตัวไม่สามารถเอาสิ่งของที่มีค่าเท่า ๆ กันออกมาแลกได้เลย
ราวกับเห็นความปรารถนาผ่านทางดวงตาของถังเจิ้น เฉียนหลงยิ้มเบา ๆ และในวินาทีต่อมาเขาสะบัดมือโยนลูกปัดให้ถังเจิ้น
“อะให้ ดูท่าเหมือนนายจะต้องการมันมากกว่าฉันนะ!”
ทันทีที่ถังเจิ้นรับลูกปัดได้ความปรารถนาในใจของเขาก็ยิ่งแรงขึ้นไปอีก รู้สึกเหมือนว่าในมือมันร้อน ๆ เล็กน้อย
จากนั้นก็เงยหน้ามองเฉียนหลงอย่างซาบซึ้ง เพราะเจ้าหมอนี่ที่เป็นเพียงผู้เพนจนเด็กหนุ่มกลับมีน้ำใจเมตตาแบ่งปันอาหารแห้งขอตนที่อุตส่าห์เก็บไว้กินมาหลายวันให้กับคนแปลกหน้าอย่างเขา แถมยังให้ลูกปัดที่มีค่าเท่ากับอาหารสิบจินนี่มาอีก เพราะงั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเป้าหมายแบบไหนแอบแฝงแต่ถังเจิ้นก็ตัดสินใจแล้วว่าบุญคุณนี้ยังไงก็ต้องทดแทน
นอกจากนี้อีกฝ่ายยังล้างแผลและทำแผลให้เขาด้วย เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตโดยแท้!
“ถือว่ายืมก่อนละกัน ขอบใจมาก!”
ถังเจิ้นกำลูกปัดไว้แน่นและบอกอย่างจริงจัง
“น่าเบื่อว่ะ”
เฉียนหลงเบ้ปากแล้วเอาวัชพืชมาเช็ดอาวุธให้สะอาด จากนั้นก็หยิบเอาของที่ดูหน้าตาเหมือนช้อนออกจากคอของไอ้เจ้าก็อบลินโยนลงกระเป๋า เสร็จแล้วก็ปัดมือสองทีเพื่อเคาะดินออกก่อนจะเดินตามเหล่าผู้เพนจนต่อไป
“ทำไมถึงดีกับฉันจัง?”
ถังเจิ้นวิ่งตามไปด้วยท่าทีที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามเฉียนหลงไปตรง ๆ
“อ๋อ ก็ฉันเห็นว่าทั้งคำพูดและการกระทำของนายแตกต่างจากผู้พเนจรไง แค่คิดว่ามีโอกาสสูงมากที่นายจะเป็นคนสำคัญที่ตอนนี้กำลังประสบปัญหาใหญ่และต้องการคนช่วยเหลือ ฉันเลยตัดสินใจสร้างสัมพันธ์ด้วยเผื่อว่าในอนาคตนายจะตอบแทนฉันด้วยอะไรที่โคตรเจ๋งน่ะนะ!”
เฉียนหลงตอบอย่างสบาย ๆ ด้วยสีหน้าแปลก ๆ
“สีหน้านายดูแปลก ๆ นะ แน่ใจนะว่าพูดเรื่องจริงอะ?”
ถังเจิ้นมองเฉียนหลงที่มีท่าทีแบบทีเล่นทีจริงก็เป็นต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“ก็จริงน่ะซี่ โครงเรื่องแบบนี้มีในนิทานที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังตอนเด็ก ๆ เยอะแยะไป ฉันก็แค่เลียนแบบมาเท่านั้น แต่ก็น่าเสียดายจริง ๆ ที่นายไม่ใช่ลูกชายเจ้าของอาคารใหญ่ที่กำลังเจอปัญหา ไม่งั้นล่ะก็...”
เมื่อพูดถึงจุดนี้เฉียนหลงถึงกับแสดงความเสียใจ แล้วก็หันมองถังเจิ้นด้วยสายตาคาดหวัง เอ่อ... คะ คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงที่ปลอมตัวมาเป็นชาย...
ถังเจิ้นถึงกับตัวสั่นแม้จะไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่มันคิดอะไรอยู่ก็ตาม แต่มุกตลกของมันได้ทำให้เขาที่กำลังกังวลเพราะจู่ ๆ ก็ต้องมาโผล่ยังโลกแปลก ๆ นี่ลดลงไปเยอะ
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
เมื่อเห็นแบบนี้เฉียนหลงก็หัวเราะและตบไหล่ถังเจิ้น “ในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ถ้าไม่เอาตัวรอดตามลำพังคนเดียวให้ได้ก็ต้องพยายามแทบล้มประดาตายเพื่อให้ผู้อื่นยอมมอบความช่วยเหลือให้เพียงนิดหน่อย แต่ว่าหากนายมีมิตรมากกว่ามีศัตรูล่ะก็ชีวิตของนายจะยืนยาวขึ้นเยอะเลยล่ะนะขอบอก”
ขณะที่เฉียนหลงพูดถึงเรื่องนี้ตาของเขาก็หรี่ลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ “จริง ๆ แล้วนี่เป็นคำแนะนำจากผู้พเนจรเฒ่าคนนึงน่ะนะ ฉันยังจำคำพูดของแกได้เสมอมา แกว่าถ้าแกเจอใครที่สามารถช่วยได้ล่ะก็แกจะช่วย และสุดท้ายแกก็อยู่มาได้จนอายุปูนนี้ก็เพราะผู้พเนจรทั้งหลายที่เคยได้แกช่วยเหลือต่างระลึกถึงความดีของแกได้และช่วยนำพาแกไปพบสิ่งดี ๆ นั่นแหละ”
หลังจากที่เฉียนหลงเล่าจบเขาก็รีบเดินนำหน้าไปเป็นท่าทีว่าไม่อยากพูดต่อด้วยแล้ว
ถังเจิ้นค่อย ๆ เดินตามไปเรื่อย ๆ อยู่ข้างหลัง เขายืนยันได้แล้วว่าลูกปัดนี้มีประโยชน์จริง ๆ เนื่องจากในขณะนี้เขาได้รู้สึกถึงแรงดูดที่มาจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า โดยเป้าหมายของมันคือลูกปัดสมองในมือไม่ผิดแน่นอน
ถังเจิ้นอยู่ที่ด้านหลังของทีมได้แอบหยิบมือถือออกมาอย่างเงียบ ๆ และขยับเข้าไปใกล้ลูกปัด
แล้วลูกปัดสมองมันก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา จากนั้นหน้าจอมือถือก็มีการเปลี่ยนแปลง อย่างแรกเลยคือมีเลข 1/5 ปรากฏขึ้นใต้ไอคอนเทเลพอร์ตพร้อมกับข้อความแจ้งเตือน แปลว่าขอแค่ให้มันได้ดูดซับลูกปัดสมองอีกสี่เม็ดเขาก็จะสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันเทเลพอร์ตได้!
‘เทเลพอร์ต? คือสามารถกลับโลกเดิมได้ด้วยใช้มั้ย?’
ถังเจิ้นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนนี้เขายังขาดลูกปัดสมองอีก 4 เม็ด แต่เรื่องนี้ยังไม่รีบและยังไม่ต้องคิดมาก เอาข้อมูลส่วนตัวก่อน! และเมื่อเปิดข้อมูลส่วนตัวขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดแล้ว... ในแอคเคาต์มีเหรียญทอง 10 เหรียญเพิ่มขึ้นมา!
ลูกปัดสมองเลเวล 1 มีค่าเท่ากับ 10 เหรียญทอง นี่เป็นอัตราแลกเปลี่ยน!
ส่วนที่นอกเหนือจากนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นใดเลย
เขาเอาแต่จ้องจอมือถือจนคนอื่น ๆ ทิ้งห่างไปแล้ว เฉียนหลงยังไม่ทันจะหันมาเรียก ถังเจิ้นก็ได้สติขึ้นมาก่อนและเห็นว่าทีมข้างหน้าเดินนำไปเป็นร้อยเมตรแล้วเขาจึงรีบวิ่งตามไป
ในตอนนี้เขากำลังอยู่ใรอารมณ์ตื่นเต้นอยากลองของสุด ๆ แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องหรือแม้แต่จับพิรุธได้ ซึ่งผลที่ได้คือมันทำให้เขาแสดงหน้าตาประหลาด ๆ ออกมาซึ่งเจ้าตัวเองก็รู้ตัวเลยได้แต่เดินก้มหน้าเอาเพราะไม่อยากให้ใครเห็น
ในใจเขามีลางสังหรณ์เบา ๆ ว่าโลกประหลาดแห่งนี้มันต้องให้ประโยชน์แก่เขาได้อย่างมากมายจนถึงขั้นพลิกชีวิตได้นับแต่นี้ไปอย่างแน่นอน
‘นี่เป็นโอกาสที่หลายคนเฝ้ารอ และตอนนี้มันก็อยู่ต่อหน้ากูแล้ว!’
ต้องแอบ ๆ เข้าไว้ แล้วชีวิตในอนาคตมันจะไร้ขีดจำกัดเอง!
****************
ทีมผู้พเนจรเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายแต่เมื่อเทียบกับดินแดนอันกว้างใหญ่นี่แล้วก็ดูเล็กนิดเดียว
ถังเจิ้นกับเฉียนหลงเดินคุยกันไปโดยส่วนใหญ่จะเป็นเฉียนหลงที่เป็นผู้พูดอย่างอารมณ์ดี ส่วนถังเจิ้นเป็นผู้ฟัง
จากการสนทนาระหว่างทั้งสองทำให้ถังเจิ้นได้รู้ว่าเดิมทีเฉียนหลงเคยเป็นผู้อยู่อาศัยของโหลวเฉิงขนาดเล็ก แต่เมื่ออายุได้ 10 ขวบโหลวเฉิงของเขาก็ถูกพวกโหลวเฉิงขนาดกลางมายึดไป ศิลาเสาเอกโดนปล้น ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ถูกฆ่าซึ่งรวมไปถึงพ่อแม่ของเฉียนหลงด้วย เขาหาจังหวะหลบหนีออกมาได้และมาจบลงที่การเป็นผู้พเนจรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เฉียนหลงนั้นไม่ได้สนใจความเป็นความตายของตนอะไรขนาดนั้น ทว่าเขาเองก็เป็นเช่นเดียวกับผู้พเนจรทุก ๆ คน คือมีความปรารถนาสูงสุดอยู่ที่การเข้าร่วมกับโหลวเฉิงที่ทรงอำนาจ แต่งเมียมีลูกมีที่พักพิงยามแก่ยามเฒ่า
สำหรับคนไร้บ้านอย่างพวกเขาโหลวเฉิงก็คือบ้าน และความหมายของบ้านนั้นก็สำคัญมากด้วย ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ผู้ที่ได้ครอบครองอยู่แต่แรกแล้วไม่อาจเข้าถึง
ถังเจิ้นกวาดสายตามองใบหน้าของคนผู้พเนจรเหล่านี้และพบว่าดวงตาที่ซีดเซียวของพวกเขาเต็มไปด้วยความผันผวน เปรียบเหมือนจอกแหนที่เร่ร่อนไปอย่างไม่มีจุดหมายในถิ่นทุรกันดารนี้ หาทิศทางที่เป็นบ้าน แต่สุดท้ายแล้วก็ย่อมร่วงหล่นกลายเป็นปุ๋ยบำรุงให้วัชพืชเจริญงอกงาม
หลังจากเดินป่าอยู่ห้าหกชั่วโมงได้ ในที่สุดถังเจิ้นก็เห็นอาคารทรุดโทรมตั้งอยู่ท่ามกลางดงวัชพืช ตัวอาคารมีทั้งหมด 11 ชั้น ผนังด้านนอกมีรอยด่างและกระจกแตกหักไม่มีบานไหนที่สมบูรณ์ ดู ๆ เหมือนอาคารร้างที่หัวเซี่ยเลย
เมื่อได้เห็นอาคารหน้าตาคุ้น ๆ มาโผล่อยู่ในโลกประหลาดนี่แล้วถังเจิ้งก็อดที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่ได้
เขาถึงขั้นแอบมโนเอาเองเลยว่า ‘หรือว่าโลกนี้กับโลกเรามันจะมีอะไรเชื่อมโยงกันอยู่?’ แต่ตอนนี้เขากำลังหลงทางและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาที่โลกนี้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงได้แค่คาดเดาทุกอย่างอยู่ในใจเท่านั้น
‘เฉียนหลงบอกว่าสถานที่ตรงหน้านี่เดิมเคยเป็นดินแดนรกร้างเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้จู่ ๆ มันได้มีอาคารขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ช่างเป็นโลกที่แปลกและมีเสน่ห์จริง ๆ เล้ย~’
นี่ก็คือ ‘เย่โหลว’ (อาคารป่า) สวรรค์แห่งการขุดทองสำหรับคนไร้บ้าน ที่ซึ่งทั้งอันตรายและโอกาสมาอาศัยอยู่อยู่ร่วมกัน
ในกอหญ้ารอบ ๆ อาคารป่ามีมอนสเตอร์หลายสิบตัวเดินเตร่อยู่ รวมถึงก็อบลินที่ถังเจิ้นเคยเห็นมาก่อนด้วย มีมอนสเตอร์หน้าตาคล้ายหมาป่า และมีศพเดินได้ที่เหมือนซอมบี้อีกเพียบ
ตามประสบการณ์ของผู้พเนจรเห็นบอกว่ามอนสเตอร์เหล่านี้โดยทั่วไปเป็นเลเวล 1 และสูงสุดก็ไม่เกินเลเวล 2 แปลว่านี่คืออาคารในป่าที่มีระดับอันตรายต่ำ และพวกเขาสามารถพิชิตมันได้
ยกเว้นถังเจิ้น ผู้พเนจรที่เลเวลต่ำสุดในทีมนี้ล้วนมีประสิทธิภาพในการต่อสู้ใกล้เคียงกับเลเวล 1 กันทั้งนั้น!
เลเวลที่ว่านี้คือวิธีการแบ่งลำดับชั้นของกำลังรบในที่กันดารซึ่งใช้กันโดยทั่วไปทั้งกับมนุษย์และมอนสเตอร์ พลังการต่อสู้เลเวล 1 จะเทียบเท่ากับพลังการจู่โจมที่รุนแรงของผู้ใหญ่ทั่วไปรวมไปถึงความเร็วสูงสุดด้วย ส่วนเลเวล 2 คือเทียบเท่ากับผู้ใหญ่ 2 คน เลเวล 3 คือผู้ใหญ่ 3 คน และเลเวล 5 ซึ่งหน้ากลัวที่สุดคือผู้ใหญ่ 5 คน
คนธรรมดาและมอนสเตอร์ธรรมดาจะชนเข้ากับขีดจำกัดที่เลเวล 5 และหากว่าอยากก้าวหน้าก็ต้องหาหนทางอื่น
โดยดัชนีพลังการต่อสู้ของมอนสเตอร์ที่อยู่ตรงหน้านี้ได้รับการทดสอบแล้วโดยผู้พเนจรมากมายนับไม่ถ้วนดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาดเป็นแน่แท้
ในขณะนี้เหล่าผู้พเนจรต่างกำอาวุธแปลก ๆ ของตนเองแน่น พวกเขาต่างรู้ดีว่าหากอยากเข้าไปสำรวจอาคารป่าล่ะก็จะต้องเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียน ตอนนี้จึงไม่มีผู้ใดส่งเสียงออกมาเลย ไม่งั้นคงไม่มีคุณสมบัติมากพอจะมาออกสำรวจ
แม้แต่ถังเจิ้นเองยังติดเชื้อจากอารมณ์ของผู้พเนจรไปด้วยเลย เขาไม่อยากจะเสียโอกาสนี้ไป เพราะมันสำคัญต่อแผนการสำรวจโลกของเขามาก มือข้างหนึ่งถือมีดทำครัวบิ่น ๆ ที่ยืมมากจากเฉียนหลง อีกมือมีท่อนกระดูกขาคนที่เหลาจนแหลม มันทำให้ตัวเขาเองสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายของตนที่ปะทุอยู่ในใจไปด้วย
ไม่ต้องมีการตะโกนบอก ผู้พเนจรทั้งหมดรีบลุกขึ้นโถมกำลังทั้งหมดบุกจู่โจมพร้อมกันโดยไม่แหกปากออกเสียงซักแอะ โดยเหล่าผู้พเนจรได้เข้าไปตีวงล้อมเหล่ามอนสเตอร์แบบ 3 ต่อ 2 และลงมือโจมตีใส่พวกมัน
ซึ่งตอนนี้ถังเจิ้นก็เป็นต้องตกใจเพราะเขาพบว่าร่างกายผอม ๆ ของพวกผู้พเนจรกลับมีพละกำลังมากมายผิดจากที่เห็นภายนอก โดยเห็นด้วยตาตัวเองเลยว่ามีชายร่างผอมวิ่งไปเตะหินก้อนหนึ่งใส่มอนสเตอร์ซึ่งแรงกระแทกทำให้มันถึงกับกระเด็นไปหลายก้าว
ถังเจิ้นเองก็เริ่มต่อสู้ด้วยเช่นกัน โดยเป้าหมายของเขาคือเจ้าก็อบลินตัวเขียว
ถังเจิ้นใช้ประโยชน์จากความสูงของตนวิ่งเข้าไปเตะเจ้าก็อบลินตัวอ้วนเขียวกระเด็นในทีเดียว
ไอ้ก็อบลินตัวนี้ก็ดุร้ายมากเช่นกัน หลังจากที่ถูกถังเจิ้นเตะจนกลิ้งมันก็รีบพลิกตัวตีลังกาแล้วกวัดแกว่งอาวุธที่ดูเหมือนหอกสั้นในมือแทงมาที่ท้องของถังเจิ้นอย่างโหดเหี้ยม
ขณะที่มันต่อสู้ก็แหกปากร้องเสียง “แอ๊บ ๆ ๆ ๆ” ไปด้วยทำเอาเขารู้สึกฮาสุด ๆ ในใจ ‘ไอ้เขียดตะปาดยักษ์เอ๊ย!’
แม้มันจะฮาก็จริง แต่ถ้ามันแทงโดนล่ะก็ถึงตายจริง ๆ ด้วย
ถังเจิ้นจึงไม่กล้าประมาทรีบหลบทันที พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วตะครุบหัวมันกดลงกับพื้น ทว่าไอ้ก็อบลินนี่มันก็ทรงพลังเหลือจะเชื่อ มันไม่เพียงไม่โดนโดนจับกดลงกับพื้นแต่เกือบจะกดถังเจิ้นลงพื้นกลับอีกต่างหากทำให้เขาไม่กล้าชักช้าวัดไหวพริบในการต่อสู้กับมันต่อแล้วและรีบใช้มืออีกข้างที่ถือมีดอยู่ฟันคอมันทันที
เลือดที่มีกลิ่นเหม็นชวนอ้วกพวยพุ่งออกมาเลอะหน้าเขาเต็มไปหมดทำให้ตอนนี้เขาได้แต่ทำหน้าตาเบ้ปากอย่างสะอิดสะเอียน
เขาเลิกสนใจเหยื่อที่ถูกปาดคอจนลงไปดิ้นพราด ๆ กับพื้นแล้วหันไปหาตัวต่อไปซึ่งที่อยู่ใกล้สุดเป็นไอ้ตัวที่เรียกว่าโคโบลด์
ไอ้นี่สูงประมาณร้อยหกสิบ มองแว้บแรกนึกว่าหมาตัวใหญ่ที่ยืนสองขาได้ แต่จริง ๆ แล้วมันคือโคโบลด์หลังค่อม มันกวัดแกว่งกรงเล็บไปมาหมายจะตะปบทุกคนที่อยู่ใกล้
แถมมันยังมีกล้ามเนื้อที่เหลือจะเชื่อด้วย กล้ามของมันดูแล้วอย่างกับของวัวหนุ่มที่กินอยู่อย่างดี ปากขนาดใหญ่แยกเขี้ยวโง้ง ๆ ส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ ออกมาพร้อมกับกลิ่นปากที่เหม็นชวนอ้วกตลบอบอวลออกมาไม่หยุด
เมื่อมันเห็นถังเจิ้นเข้าใกล้ มันก็แสดงท่าทางดุร้ายทันที
มันคำรามพร้อมพุ่งเข้าใส่ถังเจิ้น!
เมื่อเขามองมันดี ๆ ก็รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกัน เขารู้ตัวดีว่าถอยไม่ได้ หากถอยหนีล่ะก็จะเปิดหลังให้มันเห็นและฆ่าเขาได้ง่ายขึ้น มันพุ่งตัวเร็วมากและถังเจิ้นเองก็ยกอาวุธของตนออกมากันพลางกวัดแกว่งไปมาเพื่อไม่ให้มันเข้ามาใกล้ จากนั้นก็แหย่มันแบบทีเล่นทีจริงเพื่อให้มันสับสน
ซึ่งก็ได้ผลด้วย ไอ้เจ้าโคโบลด์มันมึนจริง ๆ และถังเจิ้นได้ใช้โอกาสนี้อ้อมไปข้างหลังมันอย่างรวดเร็วแล้วใช้อาวุธแทงมันเข้าตรง ๆ ที่หัวใจจากทางด้านหลัง
แต่ไอ้โคโบลด์มันก็ถึกซะเหลือเกิน โดนเสียบไปขนาดนั้นแล้วยังไม่ยอมล้มแต่กลับตวัดกระเล็บฉีกเนื้อหน้าอกของผู้พเนจรชายที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วหันมากระโจนใส่ถังเจิ้นจับเขากดลงกับพื้น
กลิ่นเหม็นของมันตีหน้าเขาเต็ม ๆ น้ำลายหยดแหม่ะ ๆ เต็มหัว ปากยาว ๆ ฟันแหลม ๆ เขี้ยวโง้ง ๆ กัดตรงที่คอของถังเจิ้น แต่เขาก็ไวพอเอามือข้างหนึ่งชูขึ้นดันที่คอของมันไว้ทำให้มันกัดไม่ถึง จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างที่ถือมีดอยู่กระซวกใส้มันไม่ยั้ง
ไม่รู้หรอกว่าจิ้มพุงกะทิของมันไปกี่ที แต่ที่รู้คือเสื้อผ้าเขาตอนนี้เปียกโชกไปด้วยเลือดร้อน ๆ และเครื่องในอุ่น ๆ เหม็น ๆ ที่ทะลักจากท้องมันลงมากองที่ท้องตน
ไอ้เจ้าโคโบลด์ล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง สายตาของมันที่จ้องมองเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม