บทที่ 3: ผู้พเนจร โหลวเฉิง และก็อบลิน
“เฮ่ยเพื่อน ตื่น ๆ ๆ เราจะออกเดินทางกันแล้ว!”
เมื่อรู้สึกว่ามีคนมาตบไหล่พลางพูดกรอกหูเสียงดังลั่นถังเจิ้นก็เริ่มกลับมามีสติแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น จากนั้นกล้ามเนื้อของเขาก็หดเกร็งและเขาก็ลืมตาพรวดขึ้นมาอย่างเร็ว
ก่อนจะหมดสะติไปนั้นเข้าไม่ได้คลายตัวจากสภาพตื่นตัวกำเอาท่อนกระดูกแหลม ๆ ขึ้นมากันหน้าอกแน่น
กะว่าถ้าสายตาสะดุดเข้ากับอะไรที่ผิดปกติเข้าล่ะก็เขาจะแทงใส่อย่างไม่ยั้งมือ
ถึงอย่างนั้นเมื่อดูสถานการณ์ตรงหน้าชัด ๆ แล้วเขาก็ต้องลดท่อนกระดูกลงแล้วมองคนที่อยู่ตรงหน้าของตนอย่างระแวดระวัง
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มในชุดมอมแมมมีใบหน้ารูปไข่ที่ดูบอบบางไม่มีพิษมีภัยใด ๆ ซึ่งตอนนี้กำลังยิ้มให้เขาอยู่
ชายหนุ่มสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นฯอยู่ในวัยยี่สิบต้น ๆ แม้ว่าใบหน้าจะซีดเซียวและเส้นผมแห้งกรังยุ่งเหยิง แต่ดวงตาของเขากลับสดใสเป็นประกายผิดกับสารรูปคนละเรื่อง
ถังเจิ้นสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายขาดรุ่งริ่งและมีรูพรุนจนดูแล้วไม่น่าจะเรียกว่าเสื้อผ้า สถานที่ที่ไอ้เศษผ้านี่ควรจะอยู่คือถังขยะ แต่ตอนนี้มันกลับถูกสวมใส่อยู่บนตัวของชายหนุ่มผู้นี้
และเมื่อมองรอบ ๆ ก็เห็นว่าไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่แต่งตัวแบบนี้ ทุก ๆ คนที่นี่ต่างก็ใส่เสื้อผ้าแบบนี้กันทั้งนั้นทำเอารู้สึกอย่างกับหลงเข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย
ส่วนสไตล์ของเสื้อผ้าก็ประหลาดมาก เรียกได้ว่าส่งผลกระทบต่อสายตาไม่น้อยจนเขาต้องนึกว่าตัวเองหลงมาอยู่ในยุคอารยธรรมสมัยยุคหินรึเปล่าด้วยซ้ำ
แต่เมื่อนึกถึงไอ้มอนสเตอร์ทั้งสามตัวก่อนหน้านี้แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ย้อนอดีตแน่ ๆ และที่สำคัญคือไม่ได้อยู่บนโลกใบเดิมด้วย
‘ตกลงที่นี่มันที่ไหนกันแน่วะ?’
เมื่อเห็นสายตางุนงงของถังเจิ้นที่มองมาชายหนุ่มก็ก้มหัวลงไปคุ้ยอะไรในกระเป๋ายิก ๆ แล้วหยิบเอาซาลาเปาเนื้อหยาบ ๆ ครึ่งก้อนที่เลอะทั้งดินและหญ้าออกมายื่นให้ “หิวใช่ปะ? อะ! รีบกินซะ!”
‘เอ่อ... เอาจริงดิ? มึงจะให้กูกินไอ้นี้จริง ๆ เหรอ?’
ถังเจิ้นดูตกใจ จากที่มอง ๆ ดูแล้วไอ้ซาลาเปาที่กินไปแล้วครึ่งลูกในมือของเจ้าหมอนี่เดาว่าน่าจะเก็บอยู่ในกระเป๋ามันมาอย่างน้อย ๆ ก็สามวันได้แล้วมั้ง ดูจากความแห้งและบิด ๆ เบี้ยว ๆ อะนะ
ของพรรค์อย่างนี้ถังเจิ้นไม่อาจทำใจให้กระเดือกมันลงคอได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว และเขาเองก็ยังไม่รู้จักโลกนี้เลยบวกกับเพื่อความไม่ประมาทด้วยเขาเลยปฏิเสธความหวังดีของชายหนุ่มไป
ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยัดเยียดและชักมือกลับโดยมีสีหน้าที่ดูก็รู้เลยว่ากำลังคิดว่า ‘ไม่กินเหรอ? โง่ว่ะ!’ แล้วก็เก็บซาละเปาลงในกระเป๋าที่ขาดรุ่งริ่งนั่นอย่างทะนุถนอม
‘ดูท่าจะมีค่ามากเลยนะนั่นน่ะ’
ถังเจิ้นแตะกระเป๋าตัวเองดูบ้างและพบว่ามือถือยังอยู่ดีไม่หายไปไหนทำให้เขาโล่งใจขึ้นมาก
เมื่อลองขยับไหล่ดูก็รู้สึกว่ายังเจ็บอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ยังดีที่ได้มีการล้างแผล ทายา และพันผ้าแล้ว แม้ไอ้ผ้าที่เอามาพันจะเป็นเพียงเศษผ้าก็ตาม
เมื่อหันไปถามชายหนุ่มอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบยิ้ม ๆ “นายโดยมอนสเตอร์ข่วนเอาและต้องรีบรับการรักษาโดยด่วน ฉันก็เลยช่วยทำแผลให้ตอนที่นายหมดสติอยู่น่ะ เออ! แล้วก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณด้วย!”
ถังเจิ้นถึงจะถูกห้ามว่าไม่ต้องขอบคุณก็ตาม แต่สีหน้าของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณอยู่ดี
ไม่ว่าการรักษาของอีกฝ่ายจะได้ผลหรือไม่แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
จากนั้นก็ลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ โดยครั้งนี้ถังเจิ้นเช็กดูอย่างละเอียด
เขาเห็นว่าตัวเองอยู่ในค่ายที่พักพิงง่าย ๆ ที่เห็นก่อนที่ตัวเองจะหมดสติไป ที่นี่มีเต็นท์ห่วย ๆ สิบกว่าหลังที่ทำจากเศษวัสดุต่าง ๆ เอามาประกอบรวมกัน
มีคนจำนวนมากเดินลาดตระเวนไปมาอยู่รอบ ๆ เต็นท์โดยพวกเขาเองก็สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและดูซูบซีดเหมือนกับชายหนุ่มตรงหน้า
ข้าง ๆ กองไฟถังเจิ้นเห็นหญิงวัยกลางคนสองคนโยนผักป่าจำนวนหนึ่งที่เหมือนจะพึ่งเก็บมาและยังไม่ได้ล้างลงในหม้อต้มน้ำพัง ๆ จากนั้นก็เอาขนมปังแห้ง ๆ หัก ๆ ใส่ลงไปแล้วเอาไม้กวน ๆ จากนั้นก็ได้อาหารหม้อหนึ่งที่เสร็จสมบูรณ์
ถังเจิ้นที่ได้เห็นทุก ๆ กระบวนการถึงกับเบ้ปากเบา ๆ เพราะเอาจริง ๆ เลยนะ ข้าวที่คลุกให้หมามันกินยังดูกินได้และน่าอร่อยกว่าไอ้... ในหม้อนี่มากนัก
ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนมากมายมาแย่งกันกิน
หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเปิดฝาออกเธอก็ตะโกนให้ทุกคนมากินข้าวเย็น จากนั้นผู้คนมากมายก็รุมล้อมเธอพร้อมด้วยภาชนะใส่อาหารที่หน้าตาต่างกันไป
ผู้หญิงคนนั้นก็ตัก “ซุป” ให้ไปคนละหนึ่งทัพพีเต็ม ๆ จากนั้นคนที่ได้ก็วิ่งออกไปนั่งดื่มห่าง ๆ อย่างละเมียดละไม
คนเหล่านี้กินอย่างเอร็ดอร่อยราวกับว่านี่เป็นอาหารชั้นเลิศอันมีรสโอชา... ถึงขนาดเลียก้นชามจนสะอาดโดยไม่สนเลยว่าไอ้ภาชนะที่ตัวเองเอามาใช้มันมีเศษดินเศษทรายติดอยู่หรือไม่
เป็นฉากที่ทำเอาถังเจิ้นต้องสะเทือนใจสุดขีด ‘ทำไมมันดูน่าสังเวชกันขนาดนี้วะ? หรือคนพวกนี้จะเป็นผู้ลี้ภัยจริง ๆ?’
แต่เมื่อมองดูดี ๆ แล้วพวกเขาดูไม่เหมือนผู้ลี้ภัยเลย ‘แล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ล่ะ?’
ในฝูงชนที่แต่งตัวเหมือนขอทานนี้มี “ชาวต่างชาติ” ที่สีผิวต่างกันมากกว่าสิบคนซึ่งนี่ยิ่งแต่จะเพิ่มความสับสนให้แก่ถังเจิ้นมากขึ้นไปอีก
“รีบกินซะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ได้อะไรเลย!”
ในขณะที่ถังเจิ้นยังยืนงงอยู่นั้นเองชายหนุ่มซาลาเปาก็เอ่ยเตือนแล้วรีบวิ่งไปเอาซุปด้วย
หมอนั่นหยิบเอาโถเคลือบแตก ๆ ออกมาจากกระเป๋าพัง ๆ ไปขอซุปผักป่าที่มีเศษตะกอนดินนอนอยู่ก้นขวดมาดื่มอย่างมีความสุข
ถังเจิ้นสังเกตเห็นว่าดูเหมือนบนโถเคลือบนั่นมันจะมีคำเขียนเอาไว้อยู่ พอลองอ่านดู ๆ ก็เหมือนจะเป็นคำว่า “รับใช้ปวงประชา!”
‘เชี่ยเอ๊ย! ตกลงมันเรื่องไรกันวะเนี่ย?’
“พวกนายเป็นใครงั้นเหรอ?”
ในที่สุดถังเจิ้นก็อดไม่ไหวเอ่ยปากถามเจ้าหมอนั่นที่กำลังเพลิดเพลินกับน้ำซุป
“พวกเราเป็นใคร? ก็แค่กลุ่มคนที่มาร่วมมือกันสำรวจอาคารป่าไง ยังต้องถามอีกเหรอ?”
ชายหนุ่มดื่มซุปไปอึกใหญ่ด้วยอารมณ์ที่กำลังดูถูกคำถามของถังเจิ้นอยู่เล็กน้อย
ถังเจิ้นลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามอ้อม ๆ เพื่อระงับความสงสัยในใจตนจนในที่สุดก็เข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว
คือโลกนี้เป็นโลกที่แปลกมาก ไม่มีทั้งประเทศหรือระบอบการปกครอง มีผู้พเนจรอยู่ยั้วเยี้ยเหมือนตั๊กแตนซึ่งมาจากหลากหลายเชื้อชาติทั่วทุกหนทุกแห่ง แล้วก็ ‘โหลวเฉิง’ ขนาดต่าง ๆ
ผู้พเนจรคือเหล่าคนที่อยู่ข้างหน้าถังเจิ้น โดย 50% ของผู้พเนจรในโลกนี้เป็นมนุษย์ และอีก 50% ที่เหลือถูกเรียกว่าพวกต่างพันธุ์
ผู้พเนจรนั่นก็ตามชื่อเรียกคือไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ออกเดินทางพเนจรไป ๆ มา ๆ โดยมีเป้าหมายเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือเอาชีวิตรอด
เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้พเนจรที่อยู่ตรงหน้านี้ได้มารวมตัวกันที่นี่ทีละสองสามคนเพราะได้ยินข่าวเรื่อง ‘อาคารป่า’ ที่พึ่งปรากฏขึ้นเลยมาเตรียมตัวที่จะไปสำรวจ
ถังเจิ้นที่ปรากฏตัวขึ้นและเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าฝูงชนเมื่อเย็นวานนี้ที่ทุก ๆ คนไม่มีทีท่าแปลกใจเลยก็เพราะพวกเขาคิดว่าถังเจิ้นเองก็เป็นหนึ่งในผู้พเนจรที่เตรียมจะไปสำรวจอาคารป่าด้วยกันนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ได้มีใครใส่ใจเขาเลย
ส่วน ‘อาคารป่า’ นั้นจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่มีมนต์ขลังที่สุดในโลกนี้แล้วก็ว่าได้
สิ่งที่เรียกว่าสิ่ง ‘อาคารป่า’ คืออาคารที่ไม่มีเจ้าของซึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ภายในมีทรัพยากรที่มีประโยชน์มากมายอยู่ และที่มาพร้อมกันด้วยคือความอันตราย!
ทุกครั้งที่มีอาคารป่าปรากฏขึ้นมันจะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้พเนจร
เมื่อพูดถึงอาคารป่า ก็ต้องบอกเลยว่าตัวแทนของผู้มีอำนาจของโลกใบนี้ก็คือ ‘อาคาร’ (โหลวเฉิง) นั่นแหละ!
โดยในโลกนี้ผู้พเนจรก็เป็นเหมือนจอกแหนที่ไร้รากยึดเกาะ ต้องท่องไปในถิ่นทุรกันดารอย่างไร้จุดสิ้นสุด
พวกเขาต้องเก็บผักป่า ล่าสัตว์ร้าย สำรวจอาคารป่า และต้านทานมอนสเตอร์ร่วมกันโดยหวังว่าในชีวิตนี้จะมีซักวันที่ได้เข้าร่วมกับ ‘โหลวเฉิง’ ซักแห่งและได้รับการคุ้มครองจากที่แห่งนั้น
ถึงกระนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น คือโลกใบนี้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งให้แก่ผู้พเนจร พวกเขาก็เหมือนกับกอวัชพืชที่เมื่อตัดทิ้งไปเดี๋ยวก็งอกออกมาใหม่เรื่อย ๆ ดังนั้นผู้พเนจรส่วนใหญ่จึงไม่มีโอกาสเข้าไปใน ‘โหลวเฉิง’ เลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย
ถ้ามนุษย์ในโลกนี้แบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ล่ะก็เหล่าผู้อยู่อาศัยในอาคารดังกล่าวเหล่านี้ก็น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดแล้วล่ะ
โหลวเฉิงเป็นเพียงคำเรียกโดยทั่วไปแบบรวม ๆ เป็นตัวแทนของสถานที่รวมหมู่กันอย่างเป็นทางการที่ได้รับการยอมรับจากกฎของโลกใบนี้ และมันยังเป็นสถานที่ที่มีความวิเศษอีกด้วย
ตามที่ชายหนุ่มบอก ตราบใดที่คนคนหนึ่งได้รับไอเทมที่เรียกว่า “ศิลาเสาเอก” ล่ะก็คนผู้นั้นจะสามารถสร้างโหลวเฉิงที่เป็นของตนขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้
หลังจากสร้างโหลวเฉิงแล้วตราบใดที่ผู้อยู่อาศัยไม่ออกจากโหลวเฉิงพวกเขาจะไม่ถูกมอนสเตอร์โจมตีเหมือนที่เหล่าผู้พเนจรต้องโดน
ในตอนเริ่มต้นความสูงของโหลวเฉิงจะไม่เกินสี่ชั้น และมีพื้นที่เพียงประมาณสองพันตารางเมตรโดยภายในจะมีแท่นวางศิลาเสาเอกตั้งอยู่
ว่ากันว่าเจ้าของโหลวเฉิงและผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ลูกปัดสมองของมอนสเตอร์เซ่นไหว้ต่อเทพเจ้าที่แท่นศิลาเสาเอกดังกล่าวนี้ได้ และผลก็คือจะมีโอกาสได้รับพลังเวทมนตร์และไอเทมต่าง ๆ
หากสามารถหาศิลาเสาเอกมาเพิ่มได้ล่ะก็จะสามารถอัพเกรดโหลวเฉิงของตนได้ด้วย!
ยิ่งเพิ่มเลเวลมากเท่าไหร่ โหลวเฉิงก็จะยิ่งสูงและใหญ่ขึ้นมากเท่านั้น รวมถึงความสามารถด้านเวทมนตร์เองก็ยิ่งร้ายกาจมากขึ้นไปด้วย!
ชายหนุ่มเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นโหลวเฉิงที่ทรงพลังมากมาก่อน มันประประกอบด้วยโครงสร้างอาคารห้าหลังที่สูงกว่าร้อยชั้นประสานเข้าด้วยกัน มีกำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบและมีผู้อยู่อาศัยภายในเป็นจำนวนมาก!
เมื่อมอนสเตอร์โจมตีโหลวเฉิงจะมีโล่โปร่งแสงจะปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าโดยปกคลุมตัวโหลวเฉิงเอาไว้ภายใน หลีกเลี่ยงการก่อกวนของพวกมอนสเตอร์ได้โดยสมบูรณ์
ทว่าก็ไม่ใช่โหลวเฉิงทุกแห่งหรอกที่มีมนุษย์เป็นเจ้าของ ต้องพูดว่าโหลวเฉิงส่วนใหญ่เป็นของพวกต่างพันธุ์ถึงจะถูกต้องที่สุด พวกมันไม่เคยเต็มใจที่จะรับมนุษย์เข้ามาอาศัยอยู่ภายในโหลวเฉิงของพวกมันง่าย ๆ อีกทั้งพวกมันยังมีการบุกโจมตีและยึดครองโหลวเฉิงที่มนุษย์เป็นเจ้าของอยู่ตลอดอีกด้วย!
และในข้อมูลที่ชายหนุ่มเล่ามานี้เจ้าตัวบอกว่ากว่าครึ่งเป็นข่าวลือ เป็นจริงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังทำให้ถังเจิ้นก็ตกตะลึงสุด ๆ อยู่ดี ขณะที่ชายหนุ่มอธิบายก็ได้มีคลื่นลูกใหญ่ถล่มเขาอยู่ในใจ
‘ไอ้โลกเชี่ยนี่มันวุ่นวายจริงโว้ย! แต่ก็มีเสน่ห์ไม่น้อยเลย! ว่าแต่ว่าทำไมกูถึงได้มาโผล่ที่นี่ด้วยวะ?’
‘หรือว่าจะเป็นเพราะไอ้ลูกกลม ๆ นั่น… ใช่มะ?’
ถังเจิ้นคาดเดาความเป็นไปได้ในใจ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจริงหรือไม่จริง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
เมื่อทุก ๆ คนกินข้าวเสร็จจากนั้นก็มีคนเริ่มเก็บเต็นท์
เสร็จแล้วพวกเขาก็หยิบอาวุธแปลก ๆ ออกมาและเดินไปทางที่พระอาทิตย์ขึ้นอย่างช้า ๆ
ตอนนี้ถังเจิ้นรู้แล้วว่าชายหนุ่มที่ช่วยพันแผลและแบ่ง ‘อาหารแห้ง’ ให้เขานั้นมีชื่อว่าเฉียนหลง
และในขณะนี้ในมือของเฉียนหลงเองก็ถือแท่งเหล็กที่แหลม ๆ แล้วเช่นกัน เขาติดตามทีมสำรวจด้วยสีหน้าจริงจังแหวกหญ้าโดยรอบอย่างระแวดระวัง
เมื่อเห็นว่าทุก ๆ คนดูเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจถังเจิ้นก็อดประหม่าไม่ได้ มือหนึ่งเขาเอื้อมไปแตะแท่งกระดูกที่เสียบไว้กับเข็มขัด อีกมือหนึ่งก็หยิบก้อนหินขึ้นมากำไว้แน่น
“แฮร่~!!!”
ทีมสำรวจเดินไปได้ไม่ไกลเมื่อจู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามต่ำมาจากหญ้า เสียงนั้นแปลก ๆ ดูโหยหวนชอบกล
ผู้พเนจรที่ได้ยินเสียงคำรามทีแรกก็ตื่นตระหนกอยู่สองสามวินาที จากนั้นพวกเขาก็เล็งอาวุธไปยังทิศทางของเสียง บางคนถึงกับยิงธนูอันแหลมคมออกมา
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีแสดงให้เห็นถึงทักษะการต่อสู้ของเหล่าผู้พเนจร
“แย้กกกกกกกกกกก”
กอหญ้าหนาทึบถูกแหวกอย่างดิบเถื่อน แล้วมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายมนุษย์มีผิวสีเขียวสูงประมาณหนึ่งเมตรรูปร่างเหมือนโอ่งน้ำเตี้ย ๆ ก็กระโจนเข้าใส่ผู้พเนจรพร้อมกับส่งเสียงร้องแปลก ๆ
พวกมันดูสกปรกและน่าเกลียดเหมือนหนอนที่คลานออกมาจากบ่ออุจจาระ
เมื่อมองไปที่รูปร่างน่าเกลียดที่ดูคุ้นเคยของไอ้เจ้ามอนสเตอร์น่นถังเจิ้นก็เกิดมโนแปลก ๆ ไปแวบหนึ่งว่านี่ตัวเองเข้ามาในโลกแห่งเกมรึเปล่าเนี่ย? ขึ้นมาเลย
เนื่องจากรูปลักษณ์ของไอ้เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้มันคล้ายกับ ‘ก็อบลิน’ มอนสเตอร์ในหลาย ๆ เกมเลยนี่นา
ในบรรดามอนสเตอร์ที่ดูเหมือนก็อบลินกลุ่มนี้ก็มีไอ้ตัวหนึ่งที่สภาพโคตรฮา เพราะหัวมันโดนลูกดอกเสียบอยู่ดอกหนึ่ง มันยังส่งเสียร้องประหลาด ๆ ที่ไม่รู้ว่ามันร้องเพราะเจ็บหัวหรือว่าตื่นเต้นที่เจอเหยื่อ มือของมันก็โบกระบองกระดูกอันใหญ่ที่มีรอยแหว่งหยอย ๆ ดูไม่รู้เลยว่าตกลงมันจะเอาจริงหรือว่าจะเอาฮากันแน่
“เป็นก็อบลินผิวเขียว! ทุก ๆ คนรุมมันโลดดดดดดดดดดดดด!”
หัวหน้าผู้พเนจรร้องตะโกนพยายามเรียกขวัญกำลังใจและลงมือโจมตีต่อไป
ครู่หนึ่งอาวุธต่าง ๆ ได้บินว่อนไปทั่วในระดับเพดานบินต่ำโดนพวกมันทั้งหลายจนต้องร้องเสียงแปลก ๆ ที่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเสียงร้องตอนเจ็บออกมาอยู่เรื่อย ๆ ทว่าไอ้พวกนี้มันก็ยังดุร้ายไม่เปลี่ยน เอาแต่พุ่งเข้าใส่เหล่าผู้พเนจรอย่างเอาเป็นเอาตาย
ดวงตาสีแดงของพวกมันเต็มไปด้วยความโลภ สีหน้าของพวกมันเห็นแล้วรู้เลยว่ามันเห็นเหล่าผู้พเนจรเป็นอาหารมื้อใหญ่แสนอร่อยและคิดว่าตนเองคือผู้ล่า!
ภายใต้การล่อลวงของอาหารดังที่ว่านั้นให้แม้ไอ้มอนสเตอร์พวกนี้มันจะโดนซัดไปหลายดอกแล้วก็ตาม แต่พวกมันก็ไม่ยอมถอย
ทว่าเมื่อเทียบกับจำนวนผู้พเนจรแล้วจำนวนของไอ้พวกก็อบลินไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรเลย
ดังนั้นหลังจากการต่อสู้เริ่มขึ้นได้ไม่นาน พวกมอนสเตอร์ก็อบลินก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีที่หนักหน่วงไม่หยุดของเหล่าผู้พเนจรได้ ในที่สุดพวกจึงต้องทิ้งไว้แต่ศพของสมาชิกที่ตายและร้องไห้กลับเข้าพงหญ้าไปอย่างโศกเศร้า