ตอนที่ 759 แผนการของจงหลีไป๋
ตอนที่ 759 แผนการของจงหลีไป๋
จงหลีไป๋โกรธจัด
เขาโกรธจริงๆแม้ว่าทั้งสองคนจะร่วมงานกันมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาไม่ชอบคนตาบอด สถาบันเพลิงพิโรธและสถาบันหัวใจราชสีห์เป็นสถาบันชั้นสูงของกลุ่มดาวราชสีห์ และราชสีห์เลโอนตั้งความหวังไว้กับพวกเขาทั้งสองคน หากดูจากชื่อของพวกเขา เขาคุ้นเคยกับชื่อของเซียนกระบี่เพลิงพิโรธหัวใจราชสีห์ที่ใช้ตั้งชื่อของทั้งสองสถาบัน แสดงว่าเขาตั้งความหวังไว้กับพวกเขา ว่าพวกเขาจะทรงพลังเหมือนกับเพลิงพิโรธหัวใจราชสีห์
ทั้งสองสถาบันไม่เคยรานความหวังของพญาราชสีห์และตั้งใจสร้างขุนพลทหารที่โดดเด่นที่สุด แต่ระหว่างสถาบันทั้งสองมีความเป็นปฏิปักษ์กันมาก ทั้งสองฝ่ายเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่ต้องเป็นคู่แข่งกันไปตลอดกาล
เมื่อเขากลายเป็นนักโทษคนหนึ่งเนี่ยชิวก็เริ่มจัดตั้งกองทัพแล้ว แม้แต่ฉีเซี่ยงตงก็ยังตายในเงื้อมมือเขา นั่นคือสาเหตุที่ทำให้จงหลีไป๋โกรธจัด แต่เขารู้ว่าเนี่ยชิวนำหน้าเขาไปแล้ว
แพ้คนตาบอดททำให้ความภาคภูมิใจของจงหลีไป๋ได้รับผลกระทบ
‘แต่..เจ้าคิดว่ามีแต่เจ้าคนเดียวที่ได้รับการรู้แจ้งพยุหะรบที่น่ากลัวเท่านั้นหรือ?’
จงหลีไป๋คลายมือประกายดุร้ายฉายวูบในดวงตาเขา แต่เขายังคงสงบ
‘นี่แค่เพิ่งเริ่ม แม้ว่าเจ้าบอดนั่นจะล้ำหน้าข้าไป แต่ข้าก็ยังมีโอกาสอยู่ เนี่ยชิวยังประจำการอยู่ที่เมืองจื่อจวน และไม่มีทางจากไปได้ แต่ข้ายังเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้
ใช่แล้วคำว่าดำเนินการเอง ทำให้จงหลีไป๋เลือดลมพลุกพล่าน
เขามีรูปแบบการใช้กลยุทธที่แตกต่างจากกลยุทธสมดุลของเนี่ยชิว รูปแบบการสู้บุกตะลุยของจงหลีไป๋เหมาะกับการใช้รุก และกลยุทธที่เขาโปรดปรานและเชี่ยวชาญก็คือใช้ในการรุก มีหลายเหตุผลที่เขาไม่ถูกจับตามากนักในกลุ่มดาวราชสีห์ หนึ่งเป็นเพราะรูปแบบการสู้ของเขาป่าเถื่อนเกินไป ลักษณะที่ป่าเถื่อนนี้แสดงออกมาหลายด้าน ตัวอย่างเช่นเขาจะทุ่มเททุกอย่างที่เขามีในการต่อสู้ หรือแทบไม่ทำตามกฎเกณฑ์หรือกระทำการก้าวร้าว
กลุ่มดาวราชสีห์ที่มีความมั่นใจและทรงพลังไม่ยินดีต้อนรับขุนพลทหารอย่างนี้แน่นอน พวกเขาชนะโดยใช้วิธีที่ถูกตามทำนองคลองธรรมเท่านั้น ทำไมพวกเขาจะต้องเอาวิธีดังกล่าวมาใช้ด้วย? พวกเขามีการควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้อย่างเห็นได้ชัด ทำไมจะกระทำการสุดโต่งเช่นนั้นด้วย?
บนถนนจงหลีไป๋ตรงเข้าไปหาหน่วยสุญญตาอย่างจนใจ เกี่ยวกับการฝึกฝนหน่วยสุญญตา ผลงานของเขายังน้อยเมื่อเทียบกับเนี่ยชิวในตอนนี้ เขาเพิ่งจะได้รับโอกาสเป็นโอกาสที่ไม่มีขีดจำกัด
ความโกรธของเขาก่อนหน้ากับความโกรธปัจจุบันและความตั้งใจ จึงทำให้เขาร่างแผนขึ้น
เขาไม่รู้ว่าถังเทียนจะปฏิเสธหรือสนับสนุนแผนของเขา และจะเป็นยังไงถ้าเขาปฏิเสธ? เขาไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของถังเทียนได้ เขายังคงมีพลังตัดสินใจอย่างขุนพลทหารมืออาชีพ และเขาไม่ยินดีจะปล่อยโอกาสนี้ไป ดังนั้นก่อนที่ถังเทียนจะทันได้พูด เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวก่อน
ช่วงเวลาที่เขาเดินออกมาจากข้างตัวถังเทียน เขาดึงหน่วยบูรพาอมตะที่ยังฝึกอบรมไม่จบออกมานอกเมืองและไม่ได้พาสมาชิกหน่วยสุญญตาคนใดออกมาด้วย หน่วยสุญญตามีประสบการณ์มากกว่า แต่จงหลีไป๋รู้ว่าพวกเขาภักดีต่อนายท่านเท่านั้น และการส่งคำสั่งของเขาไปที่หน่วยเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเป็นเช่นนั้น เขาจึงไม่ต้องการจะพาพวกเขาไปด้วย นอกจากนี้หน่วยสุญญตาเป็นที่โปรดปรานของนายท่าน ถ้าพวกเขาต้องพบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เขาคงตกอยู่ในความยุ่งยาก
สำหรับหน่วยบูรพาอมตะจงหลีไป๋เห็นพวกเขาเป็นเหมือนกับปืนใหญ่มนุษย์ ไม่ว่าพวกเขาจะถูกฆ่าหรือไม่ไม่มีใครพูดอะไรได้ และจงหลีไป๋ไม่มีความปราณีอยู่ในใจของเขา
ภายในหน่วยเสียงดังและระส่ำระสาย ถ้าเป็นเนี่ยชิว เขาต้องหงุดหงิดแน่นอน แต่จงหลีไป๋ไม่สนใจ
หน่วยบูรพาอมตะของเขาสร้างขึ้นมาโดยรวบรวมนักสู้ฝีมือดีของเมืองบูรพาอมตะ และแม้แต่มือดีในตระกูลฉีเขาก็ยังเอามาด้วย ด้วยความตายของฉีเซี่ยงตงและเหอซิน ตระกูลฉีหมิ่นเหม่ต่อการถูกทำลาย จงหลีไป๋แค่ต้องขู่ให้กลัวและหลอกล่อพวกเขาบอกว่ามีแต่เป็นบริวารของนายท่านพวกเขาจึงจะรอดได้ ดังนั้นจึงทำให้นักสู้ฝีมือดีของตระกูลฉีเชื่อฟัง
แน่นอนว่านี่เกี่ยวกับบรรยากาศของแดนบาป ในแดนบาปการสังหารล้างตระกูลเป็นเรื่องเกิดไม่ยาก แต่ในเวลาเดียวกันคนที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด เว้นแต่เกลียดชังอย่างลึกล้ำ จะไม่มีใครทำอย่างนั้น ปกติพวกเขาจะส่งนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาไปสู้จนปรากฏผลชนะ และนั่นคือเวลาที่ต้องอาศัยจำนวนมากเพื่อเอาชัย ผู้ชนะจะกลืนกินตระกูลผู้แพ้ ขณะที่ตระกูลผู้แพ้ไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต่น้อย
การแสดงฝีมือของถังเทียนสั่นสะเทือนไปทั่วเมืองบูรพาอมตะ และหลังจากผ่านการต่อสู้ที่น่ากลัวแล้ว ตระกูลในเมืองบูรพาอมตะไม่มีความคิดจะต่อต้านถังเทียนเลย
นอกจากตระกูลฉีแล้วยังมีตระกูลใหญ่อีกสองตระกูลคือ ตระกูลหวีและตระกูลซ่ง แม้ว่าสองตระกูลจะไม่มีนักสู้เหมือนกับฉีเซี่ยงตงที่มีชื่อในทำเนียบนักสู้ แต่หวีเทาและซ่งเฉิงอี้ก็ไม่ด้อยกว่าสวี่เย่แน่
จงหลีไป๋เรียกพวกเขามาพบและไม่ซ่อนเร้นอะไรไว้ เขาบอกข่าวกับพวกเขา จากนั้นพูดต่อ “พวกเจ้ารู้สถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ครั้งนี้ ถ้าเราไม่ได้รับอะไร เราคงไม่มีหน้ากลับไป ถ้าพวกท่านมีความคิดอะไร บอกข้ามาได้เลย”
ทั้งสองคนยังคงเงียบซึมซับสิ่งที่จงหลีไป๋บอก จงหลีไป๋ไม่คาดหวังอะไรจากพวกเขามากนัก แต่พวกเขายังเป็นคนท้องถิ่นและรู้เรื่องสถานการณ์ในแดนบาปมากกว่าเขา
หลังจากไตร่ตรองดูแล้วเขากล่าวขึ้น “เป้าหมายของนายท่านไม่ได้เพื่อชิงเมืองพายุ แต่เพื่อช่วยสมาชิกหน่วยสุญญตาที่ตกเป็นเชลยอยู่ที่นั่น นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริง”
ซ่งเฉิงอี้เป็นคนแรกที่พูดขึ้น เขามองจงหลีไป๋ “ไม่เพียงแต่เมืองพายุเท่านั้น แต่เป็นเมืองอื่นที่มียอดฝีมือในทำเนียบนักสู้ด้วยเช่นกัน...”
จงหลีไป๋ไม่ได้พูดอะไร เขาจ้องมองไปที่หวีเทาเนี่ยชิงสามารถนำกลุ่มสมาชิกหน่วยสุญญตาและฆ่ายอดฝีมือในทำเนียบนักสู้ได้ นี่ส่งผลต่อจงหลีไป๋อย่างมาก หลังเป็นนักโทษอยู่นาน เขายังไม่เข้าใจชัดเจนว่านักสู้ในทำเนียบนักสู้นั้นมีพลังมากมายขนาดไหน
‘คนตาบอดสามารถฆ่าฉีเซี่ยงตงได้หรือ?’
ความคิดเรื่องนั้นทำให้จงหลีไป๋รู้สึกถูกคุกคาม‘กระบวนศึกที่ข้าเชี่ยวชาญจะสามารถสู้กับนักสู้ในทำเนียบได้หรือไม่’ แต่เขาสงบใจได้โดยเร็ว กองกำลังของเนี่ยชิวรวมเอากู้เสวี่ยหานปิงหนิงและอาโมรี่ ทั้งหน่วยสุญญตาเองก็ฝึกฝนอยู่ตลอดนั่นคือปัจจัยที่ทำให้พวกเขาฆ่าฉีเซี่ยงตงได้
‘ไม่ว่ากระบวนศึกจะมีพลังมากแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อไม่มีคน มันจะไร้ประโยชน์ และฝูงชนที่นี่เล่า?’
ถ้าพวกเขาแพ้มันคงเป็นเรื่องเล็ก และแม้ว่าพวกเขาทุกคนต้องเสียสละ แต่ก็คงจะไม่มาก แต่ถ้าต้องเสียหน้า นั่นเป็นเรื่องที่เขาทนไม่ได้ ‘นี่หมายความว่าข้าจะแพ้เนี่ยชิวหรือ?’
หวีเทาเป็นคนตรงไปตรงมารูปร่างเตี้ยและพูดเพียงประโยคเดียว “เรามีคนน้อยเกินไป
ตาของจงหลีไป๋เป็นประกาย “รายละเอียดเล่า”
“เราไม่มีนักสู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งมากพอ ดังนั้นเราควรจะเพิ่มจำนวนของเรา” หวีเทาอธิบาย
จงหลีไป๋รู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้รับการรู้แจ้งครั้งใหม่ ‘ใช่แล้ว เนื่องจากเราไม่สามารถแข่งคุณภาพได้ เราก็ต้องสู้ในแง่ปริมาณ เมื่อเปรียบกับยอดฝีมือผู้มีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยกัน หน่วยบูรพาอมตะยังไม่อาจเทียบได้กับหน่วยสุญญตา ดังนั้นเราอาจต่อสู้ด้วยจำนวนที่มากเช่นกัน’
เมื่อแนวคิดเปิดออก ความคิดของจงหลีไป๋เป็นเหมือนที่ทะยานออกไปและวิ่งอย่างคึกคะนองทันที
“ที่ไหนมีชื่อของนักสู้ในทำเนียบมากที่สุด?” จงหลีไป๋ถามทันที
“สี่เมืองใหญ่” ซ่งเฉิงอี้อธิบายให้ฟัง “มีนักสู้มากกว่าครึ่งที่มีชื่ออยู่ในทำเนียบอันดับนักสู้อยู่ในสี่เมืองใหญ่ มีทรัพยากรและข้อมูลมากมายอยู่ที่นั่นนอกจากท่านจะมุ่งไปที่เมืองรอบด้าน มีนักสู้ในทำเนียบนักสู้น้อยกว่า”
“เจ้ามีแผนที่บ้างไหม? ให้ข้าดูหน่อย” จงหลีไป๋ขอ
ซ่งเฉิงอี้เอาแผนที่ออกมาทันทีและแสดงตำแหน่งที่ตั้ง 17 เมืองในแดนบาป พื้นที่แดนบาปมีลักษณะโดดเด่นคล้ายจันทร์เสี้ยว และ17 เมืองตั้งอยู่ด้านใน บนแผนที่ สี่เมืองใหญ่จะโดดเด่นที่สุด พวกเขาครอบครองผืนแผ่นดินด้านหลังจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นที่ดีที่สุดในแดนบาป
จากนั้นจงหลีไป๋ถามพวกเขาทั้งสองอีกสองสามคำถามเช่นยอดฝีมือคนใด ประจำอยู่เมืองใดหลังจากทำความเข้าใจแผนที่ทั้งหมดแล้ว แผนการที่ชัดเจนค่อยๆ ผุดขึ้นในใจของเขา
“เราต้องได้คนเพิ่ม” จงหลีไป๋เลียริมฝีปาก เขาหรี่ตาเล็กของเขา ด้วยใบหน้าที่แข็งกระด้างทำให้เขาดูน่ากลัวมาก “ดูเหมือนว่าเราจะต้องรวบรวมคนจำนวนหนึ่งเพื่อทำงานนี้ ยังมีใครแถวนี้ที่เป็นนักสู้แข็งแกร่งในทำเนียบนักสู้บ้างไหม?”
“ค่ายลมตะวันตก!”
“ค่ายลมตะวันตก!”
ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“ค่ายลมตะวันตก?” จงหลีไป๋ประหลาดใจ เขามองกลับไปที่แผนที่และถามด้วยความสงสัย “ทำไมถึงไม่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่?”
“ท่านแม่ทัพยังไม่ทราบ” ซ่งเฉิงอี้อธิบายทันที “แต่ค่ายลมตะวันตกคือก๊กโจรกลุ่มหนึ่งและมีชื่อเสียงในภูมิภาคนี้ แม้ว่าพวกเขาไม่มีคนโฉดชั้นหนึ่งอยู่ในกลุ่ม แต่ก็มีคนโฉดชั้นสองอยู่ด้วยถึงเจ็ดคน ดังนั้นไม่มีตระกูลใดกล้าตอแยพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะตั้งด่านตามทาง แต่เพราะพวกเขาทำรายได้จากการนี้ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยปล้นและฆ่าคน”
จงหลีไป๋ค่อนข้างให้ความสนใจ “ค่ายลมตะวันตกมีคนอยู่เท่าไหร่?”
“ทั้งค่ายมีประมาณหมื่นคน” ซ่งเฉิงอี้กล่าว
จงหลีไป๋สะดุ้งเฮือก “มากขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เมื่อได้ยินว่าเป็นกลุ่มโจร เขาคาดว่าพวกเขาจะมีคนราวๆ 2-3 พัน แต่เขาไม่คาดเลยว่าจะมีคนถึงหมื่น ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือกองโจรใหญ่โตขนาดนั้นมีอยู่จริงๆ
“มันยังไม่นับว่ามาก” ซ่งเฉิงอี้อธิบาย “พวกเขาส่วนใหญ่จะอ่อนแอและใช้ชีวิตยากลำบากในเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงกลับไปที่ภูเขาที่ซึ่งพวกเขาใช้ชีวิตอย่างยากจน หัวหน้าโจรพวกนี้ต้องการคนไปใช้ ดังนั้นพวกเขารับสมัครพวกเขาและไปหักร้างถางพงบนภูเขาสำหรับการเพาะปลูก ในสิบเจ็ดเมือง พวกเขาไม่สามารถเลี้ยงคนได้มาก ดังนั้นโจรเหล่านี้ทั้งหมดอยู่เป็นเมืองขนาดย่อมได้ การผลิตทรัพยากรของพวกเขาไม่ดีเท่า 17 เมือง พวกเขาใช้ชีวิตลำบาก แต่หัวหน้าโจรกลุ่มนี้ค่อนข้างสมถะ พวกเขาแค่เก็บค่าธรรมเนียมและใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาดุจราชายากที่จะออกมาได้ นอกจากผลผลิตเล็กๆ น้อยๆแล้ว ตระกูลต่างๆ ยังคร้านจะดูแลพวกเขา ไม่ค่อยมีผลรับเท่าใดนัก”
“อย่างนั้นคาราวานค้าขายไม่ได้รับผลอะไรหรือ?” จงหลีไป๋รู้สึกว่าเข้าใจเรื่องราวบางอย่างในโลกได้ในที่สุด
“พวกเขาฉลาดมาก ตราบใดที่พวกเขาเห็นว่าคาราวานเป็นของตระกูลใหญ่ พวกเขาจะไม่ทำอะไร และเพียงแต่มองหากองคาราวานขนาดกลางหรือเล็กเพื่อเก็บค่าผ่านทาง” ซ่งเฉิงอี้ฝืนยิ้ม “เว้นแต่คนโฉดชั้นหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งเด็ดขาดก็จะไม่ยอมเห็นแก่หน้าตระกูลใหญ่ ตระกูลใหญ่ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่จ่ายค่าผ่านทางหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ”
“ตระกูลใหญ่เหล่านั้นอ่อนแอจริงๆ!” หน้าของจงหลีไป๋เต็มไปด้วยแววเหลือเชื่อ ในสวรรค์วิถีตระกูลใหญ่เก่าแก่ทั้งหมดจะห้าวหาญ หยิ่งลำพองและเด็ดขาด
“ท่านมีแผนอะไร?” ซ่งเฉิงอี้ยักไหล่กล่าว “พวกคนโฉดชั้นสองทั้งหมดพลังส่วนตัวก็แข็งแกร่งอยู่แล้วทั้งปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งหมดหลบหนีได้เก่ง ยอดฝีมือของตระกูลใหญ่ยังไม่ยอมเสียเวลากับพวกนี้มากเกินไป ทำไมไม่จ่ายเงินไปบางส่วน สำหรับตระกูลใหญ่แล้วเงินไม่ใช่จำนวนมากเลย”
จงหลีไป๋คิดชั่วขณะ เขาผงกศีรษะ “นั่นก็จริง ในที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถรับมือโจรพวกนั้นได้ ยังมีกลุ่มโจรหลายกลุ่มอย่างค่ายลมตะวันตกอีกไหม?”
“มีอีกมาก” ซ่งเฉิงอี้กล่าว “สี่เมืองใหญ่จะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ดีที่สุด และถูกครอบครองโดยสี่ตระกูลใหญ่ ที่เหลืออีก 13เมืองก็มีทรัพยากรดีในระดับรองลงมา และโดยพื้นฐานทุกเมืองจะมีตระกูลใหญ่ ขณะที่ตระกูลอ่อนแอที่เหลือจะแบ่งทรัพยากรที่เหลือไป คนที่เหลือปกติจะเข้าไปในภูเขา นอกจากนี้ตระกูลใหญ่กำลังรอให้พวกเขาขยายแผ่นดิน โจรกลุ่มใดก็ตามพบทรัพยากรใหญ่ใดๆและขายให้ตระกูลใหญ่จะสร้างความมั่งคั่งให้อย่างมหาศาล นั่นคือวิธีที่ตั้งเมืองบูรพาอมตะได้”
จงหลีไป๋หัวเราะจนเห็นฟันขาว “อย่างนั้นไปที่ค่ายลมตะวันตกกัน!