ตอนที่แล้วตอนที่ 469 รู้วิธีเลี้ยวบ้างไหม?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 471 เสียงสั่น  

ตอนที่ 470 เปิดประตูดวงดาวเจ็ดดาวเหนือ


ปัง!

สายธารรังสีดาบวงพระจันทร์กระแทกใส่สายคาดแสงรอบตัวถังเทียน

เกิดแสงสว่างเจิดจ้าเหมือนกับดวงอาทิตย์

แม้แต่เซียนนักสู้ก็ไม่สามารถมองรังสีแสงเจิดจ้านั้นได้โดยตรง ขณะที่แสงขาวเจิดจ้ากวาดไปทั่วพื้นที่  ระลอกที่หนาแน่นทำให้หัวใจของพวกเขาสะท้านคล้ายกับการกวาดของพายุทอร์นาโด  หน้าของพวกเขาซีดขาว เซียนนักสู้สองสามคนรีบป้องกันบังข้างหน้าผู้เชี่ยวชาญโลหิตวิทยาและกระตุ้นปราณแท้เป็นโล่พลังไว้ ติง ติง ติง ติง  กระแสปราณที่แตกปะทะใส่โล่พลังของพวกเขาเกิดประกายไฟไปทั่ว

โล่ปราณแท้คือวิชาที่นักสู้ชั้นเซียนส่วนใหญ่ใช้ป้องกันตัว ทันทีที่พวกเขามีสนามพลังวิญญาณ โล่ปราณแท้กลายเป็นสิ่งที่สร้างง่ายและมีประโยชน์

เมื่อรังสีหายไปทัศนวิสัยชัดขึ้น ปรากฏหลุมใหญ่น่าทึ่งต่อหน้าทุกคน

เสื้อผ้าถังเทียนฉีกขาดรุ่งริ่ง ตัวของเขาเต็มไปด้วยควันดำ ยืนอยู่ในหลุม  เขายังคงตะโกนต่อไป  “เจ้ามันโง่อะไรอย่างนี้ ข้าไม่ได้ให้หมุนอย่างนั้น! ทำไมเจ้ายังทำอยู่อีก? ถ้าเจ้าหมุนพลังไม่ได้ แล้วเจ้ายังจะทำอะไรอย่างอื่นได้?  จะใช้งานเจ้ายังไงดี...”

ขอบคุณที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

ทุกคนถอนหายใจ  แต่พวกเขาสับสน

ถังเทียนกำลังด่าอะไร?

ตุ้บ

ฟงเยี่ยที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องฝืนตนเองอย่างมาก ดังนั้นเขาล้มตึงหมดสติทันที  ติงม่านมาปรากฏตัวข้างเขาในเสี้ยววินาทีตรวจสอบดู จากนั้นเงยหน้า “ไม่มีอะไรหนักหนา เขาแค่เหนื่อยและหมดพลัง”

ถังเทียนได้ยินคำพูดของติงม่านก็คลายใจ และยังคงเทศนาจิตวิญญาณยุทธร่างมนุษย์ตัวน้อยต่อไป “ถ้าเจ้าหมุนพลังได้ถูกต้อง เราคงชนะไปแล้ว...”

เขากระโดดออกมาจากหลุมอย่างอารมณ์ไม่ดี

“ข้าจะไปอาบน้ำก่อนนะ”

เขาตีหน้ามุ่ยเดินออกไปอย่างไม่พอใจ

เมื่อมองถังเทียนจากด้านหลัง ทุกคนได้ข้อสรุป สองเซียนที่ล้มลงต่อหน้าถังเทียน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  แม้แต่เซียนนักสู้ที่ดื้อดึงก็ยังอดทึ่งไม่ได้ว่าถังเทียนมีพลังแข็งแกร่งสูงส่งขนาดไหน

ปิงยังคงคาบบุหรี่ไว้ในปากของเขากล่าว “ถูกแล้ว พูดออกมาได้เต็มที่เลย เพราะตอนนี้เจ้างี่เง่านั่นยังไม่ปรากฏตัว” เขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดในการดูแลสถานการณ์

ติงม่านมองดูเขาและแอบคิดในใจว่า คนผู้นี้สง่างามและมีความเป็นสุภาพบุรุษในตัว

นางกระแอมและกล่าว “ข้าขอเริ่มก่อน ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบัน พลังของถังเทียนนั้นสามารถต่อสู้กับเซียนนักสู้ได้จริงๆ ด้วยความสามารถทางร่างกายที่โดดเด่นของเขา และสัญชาตญาณที่ว่องไวน่าทึ่งและการตัดสินจากจิตวิญญาณยุทธที่บริสุทธิ์ของเขา เพียงคุณสมบัติสองอย่างนี้รวมกันก็ทำให้พลังของเขาไม่ธรรมดา  เมื่อครู่นี้ถังเทียนใช้จิตวิญญาณยุทธของเขาควบคุมพลังงานโดยรอบ  ข้ามีข้อสงสัยอยู่สองประการคือ ประการแรกความสามารถทางร่างกายของถังเทียนเป็นผลมาจากพลังกายที่เป็นศูนย์ หรือว่ามีบางอย่างที่เรายังไม่รู้อยู่ในตัวของเขา  ประการที่สองจิตวิญญาณยุทธของถังเทียนสามารถควบคุมพลังงานได้อย่างไร”

ทุกคนพยักหน้า

เหลียงฟงพูดเสียงเบา “ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะสามารถควบคุมพลังงานที่ถูกกระแทกแตกกระจาย แต่ไม่สามารถควบคุมรังสีดาบของคู่ต่อสู้ได้โดยตรง  และดูเหมือนฝ่าบาทจะไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่

ช่างประจบเสียจริง!

ทุกคนวิจารณ์ในใจอย่างเงียบๆ ไม่ว่าเซียนนักสู้จะมีความภูมิใจในตนเองหรือไม่ พวกเขาก็ยังอายุมากกว่าถังเทียนมากนัก ย่อมไม่ใช้คำว่าฝ่าบาทเรียกใครง่ายๆ แต่เหลียงฟงกลับพูดได้สะดวกปาก

ติงม่านพยักหน้า  “สำหรับตอนนี้ เรามารักษาสภาพร่างกายที่มีพลังเป็นศูนย์เพื่อลดความเปลี่ยนแปลงในพลังงาน  วิธีที่ถังเทียนควบคุมพลังไม่ได้ทำโดยผ่านสนามพลังวิญญาณ ดังนั้นเราสามารถเรียกว่าการลดการแปลงสนามพลังวิญญาณได้ไหม?”

ทุกคนเงียบ

แม้ว่าการลดการแปลงพลังงานจะเป็นอีกชื่อหนึ่งก็ตาม แต่ที่สำคัญมันถูกนักสู้ธรรมดาใช้บ่อย  การต่อสู้ระหว่างเซียนนักสู้ เว้นเสียแต่เป็นการสู้ระยะประชิด การลดการแปลงพลังงานของร่างกายหยาบไม่มีผลอะไรต่อเซียนนักสู้นัก

อย่างไรก็ตามการลดการแปลงสนามพลังวิญญาณ ทำให้ทุกคนเสียวสันหลังวาบ

สิ่งที่ทำให้นักสู้ชั้นเซียนทรงพลังก็คือสนามพลังวิญญาณ การควบคุมพลังโดยไม่ใช้สนามพลังวิญญาณจะทำให้ข้อได้เปรียบของตนเองลดลง

ทุกคนคิดแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ โครงการพญาหมี มีการค้นพบสองอย่างนี้ก็น่าตื่นตาตื่นใจมากอยู่แล้ว

“เกี่ยวกับปัญหาเรื่องพลังกายมีค่าเป็นศูนย์ ข้าคิดว่าเราต้องลองดู”  ปิงพึมพำ “จากประสบการณ์ที่ถังเทียนประสบมา มันคือวิธีของวังวนกระบี่  จากนั้นเราลองสันนิษฐานว่า รังสีกระบี่มีความสามารถในการลดพลังงานไหม? ถ้าใช่ อย่างนั้นรังสีอื่นๆ เล่า? รังสีดาบ? นอกจากนี้วิธีขัดเกลาด้วยวังวนกระบี่มีผลมาก  แต่จะสามารถลดความรุนแรงได้หรือไม่? ทำให้มีมาตรฐานสากลมากขึ้นได้ไหม? ข้าคิดว่าเราน่าจะลองดู”

จิ่งหาวยืนขึ้น  “ข้าจะลองดู  ข้าก็สงสัยมากเช่นกัน”

หลิงซิ่วเลิกคิ้วและกล่าว “ข้าด้วยคน”

อาเฮ่อก็ยืนเช่นกัน  “ข้าอยากลองด้วย”

เห็นได้ชัดว่าปิงให้ความสนใจมากกับปัญหาแรกที่เกี่ยวกับลดพลังแปลงและลดสนามพลังวิญญาณแปลง วิธีที่ปิงสร้างสิ่งต่างๆ จะต่างจากคนอื่น เซียนนักสู้จะไล่ตามพลังสุดยอดของมนุษย์  แต่ปิงสนใจการปรับปรุงพลังทั่วร่างมากกว่า  ถ้าลดการเปลี่ยนแปลงของพลังงานจะมีประสิทธิภาพ เห็นได้ชัดว่าจะมีความเป็นสากลและสามารถเผยแพร่ให้คนอื่นได้

ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งดำเนินการค้นคว้าการลดการแปลงพลังงาน ส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญงานโลหิตวิทยา  ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับการลดการเปลี่ยนแปลงของสนามพลังจิตวิญญาณ  ซึ่งส่วนนี้ประกอบด้วยเซียนนักสู้ทั้งหมด

ถังเทียนไม่รู้เรื่องของการแบ่งระดับชั้นของงาน  เขากำลังสื่อสารกับจิตวิญญาณยุทธร่างมนุษย์ของเขา

เพื่อประโยชน์ในการสอนจิตวิญญาณยุทธร่างมนุษย์ถึงวิธีแปลงพลัง  เขากำลังคิดหาวิธีทรมานมัน  ดังนั้นเขาจึงมีการค้นพบใหม่ๆ มากมาย ตัวอย่างเช่น มนุษย์จิตวิญญาณยุทธสามารถบินออกจากร่างกายได้  แต่หายตัวไม่ได้

แต่ความจริงที่น่าตกใจที่สุดก็คือ มนุษย์จิตวิญญาณยุทธตัวเล็กของเขาสามารถกินการ์ดวิญญาณได้!

เมื่อเขาเห็นจิตวิญญาณยุทธตัวน้อยใช้มือน้อยๆ จับการ์ดวิชาและเคี้ยวกินเหมือนขนมกรุบกรอบ กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ และการ์ดใบหนึ่งก็หายไป เขาตกตะลึง

หลังจากนั้นชั่วขณะ ถังเทียนก็ตั้งสติได้

เจ้าสิ่งนี้... สามารถกินการ์ดวิญญาณได้!

เขาลองให้การ์ดวิญญาณแก่เจ้ามนุษย์จิตวิญญาณยุทธตัวน้อยอีกใบ ซึ่งมันจัดการได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมองหน้าถังเทียนอย่างว่างเปล่า

ถังเทียนให้อีกใบหนึ่ง

กร้วม กร้วม กร้วม

ถังเทียนให้อีกใบหนึ่ง...

เล่นกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้ามนุษย์ตัวน้อยกินการ์ดวิญญาณไปนับไม่ถ้วน  ก่อนที่ถังเทียนจะหยุด เขาตรวจดูจิตวิญญาณยุทธ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  กระเพาะอาหารของเจ้ามนุษย์ตัวน้อยไม่ได้ขยายแม้แต่น้อย

“เอาแต่กิน แต่ไม่ถ่าย.. ทำไมเจ้าถึงได้เหมือนหยาหยานัก?”  ถังเทียนบ่น

เสียงดังมาจากด้านหลังของถังเทียน หยาหยาวิ่งเข้ามาอย่างกระตือรือร้น แต่มันตกตะลึงเมื่อเห็นภาพมนุษย์จิตวิญญาณยุทธตัวน้อย

มนุษย์จิตวิญญาณยุทธเอียงคอมองดูหยาหยา  หยาหยาก็มองดูมนุษย์จิตวิญญาณยุทธ

ถังเทียนพอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็หัวเราะ  “พวกเจ้าทั้งสองต้องเป็นพี่น้องกันแน่ๆ”

หยาหยาและมนุษย์จิตวิญญาณยุทธมีส่วนสูงพอๆ กัน มนุษย์จิตวิญญาณยุทธและถังเทียนมีลักษณะคล้ายกันมาก แม้ว่ามนุษย์จิตวิญญาณยุทธจะดูน่ารักกว่าหยาหยา คล้ายกับตุ๊กตา แต่แต่งกายเรียบร้อยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์อะไรมาก หยาหยาเจ้าเนื้อมากกว่า แขนสั้น ขาสั้นและสะโพกดูมีไขมัน

“เอ๋..”

หยาหยาตาเป็นประกายระยิบระยับ ทำเสียงร้องเอ๋ ยาว เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี มันทำท่าค้นกระเป๋า ในที่สุดก็หยิบหินดวงดาวชิ้นหนึ่งและยื่นให้มนุษย์จิตวิญญาณยุทธ

มนุษย์จิตวิญญาณยุทธก็เคี้ยวกินหินดวงดาวด้วยเช่นกัน  จากนั้นมันเอาการ์ดวิญญาณออกมาให้หยาหยาบ้าง

หยาหยายิ้มกว้าง มันเคี้ยวกินการ์ดวิญญาณด้วยเช่นกัน

ถังเทียนตะลึงงันจนไม่มีอะไรจะพูด

นี่.... มันเรื่องอะไรกันวะ....

หยาหยามีความสุขมากขึ้น มันเอาชุดกลองออกมาจากที่ใดไม่ทราบและเริ่มตีกลอง

จิตวิญญาณยุทธมองดูเลือนราง  ทันใดนั้น ตาของเขาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย เขากำหมัดแน่นเหมือนกับว่าต้องการใช้มือต่อยกระแทกอะไรบางอย่าง  ปราณรอบๆ ในอากาศเริ่มหมุนเป็นเกลียว ในพริบตา รัศมีพลังสว่างไสวก่อรูปขึ้นรอบๆ ตัวเขาและเริ่มปั่นหมุนด้วยความเร็วมากขึ้น

รัศมีพลังหมุนปั่นไปตามจังหวะเสียงกลอง

ถังเทียนตะลึง ปากอ้าค้างกับภาพที่ปรากฏต่อหน้าเขา

อะไร.. กันอีกล่ะนี่....

หยาหยาตื่นเต้น เขาโดดขึ้นโดดลงและตีกลองอย่างเมามัน ธงที่เหน็บอยู่ที่ก้นกระพือตามลมดูแปลกประหลาด

มนุษย์จิตวิญญาณยุทธตัวน้อยลอยอยู่ในอากาศช้าๆ  พร้อมกับรัศมีมันหมุนรอบตัวหยาหยาเร็วขึ้นทุกที

ทันใดนั้นกลองหยุดทันที

ถังเทียนคว้าเท้าข้างหนึ่งของหยาหยาและของจิตวิญญาณยุทธน้อยดึงมาอยู่ด้านหน้าเขา มองดูด้วยความโกรธ

“หยาหยา ข้าไม่ได้ให้เจ้าทำเรื่องอย่างนี้ที่ไข่หมีเลยนะ!”

“เจ้าตัวเล็ก, ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าหมุนแบบนี้ และเจ้าก็ยังไม่จำเสียที”

หน้าของถังเทียนบิดเบี้ยวขณะที่เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  “พวกเจ้ากำลังล้อเล่นกับข้า!”

หยาหยาคอตก  เจ้าตัวเล็กไม่มีปฏิกิริยา แค่ทำตาโตมองดูถังเทียน

ถังเทียนทำท่าสิ้นหวัง เขาจะสอนเจ้าตัวเล็กให้ใช้พลังเกลียวให้สำเร็จได้ยังไง? ทำไมเจ้านี่ถึงได้โง่นัก?

ถังเทียนมองดูหยาหยา  ทันใดนั้นเขามีความคิดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในใจ  “หยาหยา ข้าจะให้เวลาเจ้าวันหนึ่ง ทำให้เจ้าโง่นี่ โอว.. ต่อไปนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่า เสี่ยวเอ้อ (เจ้าโง่น้อย) เจ้าต้องสอนพลังเกลียวให้กับเสี่ยวเอ้อ  เจ้ารู้จักพลังเกลียวง่ายๆ ไหม?”

หยาหยาพยักหน้ารัว เมื่อเขามองเห็นใบหน้าบูดบึ้งของถังเทียน มันกินวิชาหมัดกลืนแสงไป ดังนั้นมันจึงรู้จักพลังเกลียวอย่างง่ายๆ

“ดีแล้ว งั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการ! โอว นี่คืองานของเจ้า และข้าจะตรวจดูความก้าวหน้าในวันพรุ่งนี้!   ถ้าเสี่ยวเอ้อเรียนรู้ไม่ได้  พวกเจ้าทั้งสองได้เจอดีจากข้า”

ถังเทียนทึ่งกับแนวความคิดบรรเจิดของเขาและเดินออกไปอย่างกระหยิ่มใจ

สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเสี่ยวเอ้อที่ดูท่าทางโง่งมเบิกตากว้าง และหยาหยาอยู่ในสภาพลำบากใจ

ปัญหาที่กังวลที่สุดหายไปแล้ว  ถังเทียนรู้สึกสดชื่นและโล่งใจ  ไม่มีอะไรทำให้เขามีความสุขมากขึ้น นอกจากเขามีพลังเพิ่มขึ้น และหลังจากโครงการพญาหมีได้ผลสรุป เขาจะเดินทางไปตามหาเชียนฮุ่ยต่อไป

เจ็ดเซียนนักสู้ไม่มีใครกล้าห้ามเขาแน่

ถังเทียนออกมาจากห้อง  เขาหยุดอยู่ด้านนอกและชะงัก เอ่.. ความเข้มข้นพลังกลุ่มดาวหมีใหญ่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น

หลงโส่วจิงและแอนเดรียนายืนเคียงข้างกัน มีสีหน้าจริงจัง เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น

ทั้งสองคนนำสมบัติระดับเซียนมาจากกลุ่มดาวของตนเอง

“ฝ่าบาท  คงเป็นเรื่องไม่เหมาะที่จะเก็บสมบัติเซียนไว้กับเรา  ข้าคิดว่า ฝ่าบาทควรจะผสานสมบัติ เพื่อสร้างสันติสุขให้กับทุกคน”

หลงโส่วจิงพูดแฝงความหมายลึกซึ้ง

แอนเดรียนาเสริม “ก็อย่างที่ท่านโส่วจิงพูดนั่นแหละ”

เพื่อการผสานกลุ่มดาว จำเป็นต้องผสมรวมสมบัติเซียนจากกลุ่มดาวต่างๆ ให้สำเร็จ

ถังเทียนคิดชั่วขณะและพยักหน้า “ก็ได้”

ในวันเดียวกันที่กลุ่มดาวมังกรและกลุ่มดาวอันโดรเมดาผสานเข้ากับกลุ่มดาวหมีใหญ่  แสงรัศมีของกลุ่มดาวหมีใหญ่มีความสง่างามขึ้นมาก ความหนาแน่นของพลังดวงดาวของกลุ่มดาวหมีใหญ่ใหม่และกลุ่มดาวต่างๆ เพิ่มขึ้นทั้งหมด

ในช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงเช่นนั้น ข่าวของกลุ่มดาวหมีใหญ่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก

ไม่มีใครรู้ว่าเจ็ดดาวเหนือซึ่งถูกผนึกไม่ได้ใช้งานมาหลายปี ได้เปิดประตูดวงดาวอีกครั้ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด