ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 26 สมดุลของสงครามกำลังเปลี่ยน (Balance Shifting)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 28 ความฝันและสันติภาพอาริกาเซีย (Aricassia Dream and Peace)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 27 ชัยชนะแห่งการปฏิวัติ (Triumph of The Revolution)


ชัยชนะแห่งการปฏิวัติ

(Triumph of The Revolution)

มลรัฐวัลเทอร์ เขตปกครองลีโอเนีย ทวีปอาริกาเซีย

เสียงปืนใหญ่ดังสนั่นเหมือนกับฝนฟ้าคะนองที่น่าสะพรึง พร้อมกับแรงระเบิดของดินปืนที่ปกคลุมไปด้วยควันสีขาว ไม่สามารถมองเห็นสิ่งๆใดนอกเสียจากกลิ่นไหม้ของบางอย่าง ควันจางหายเปิดเผยให้เห็นซากของบ้านเรือนจำนวนมาก อนิจจามีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่สามารถบอกได้ด้วยตาเห็น

“แจ้งให้กรมทหารปืนใหญ่ยิงตอบโต้พวกกบฏ!! นายคนนั้นอยู่ในที่กำบังไว้อย่าโผล่ออกมาจากที่หลบภัย!” ชายในเครื่องทหารลีโอสีแดงเวนิส เส้นผมสีนํ้าตาลอ่อน มือจับหมวกซาลาคอทเพื่อความแน่ใจว่ามันยังอยู่ดี

“พลโท! ขอบคุณที่ท่านยังไม่โดยยิงตายซะก่อน!” “ระวังปากด้วย พันเอกจอห์น!”

พันเอกวิ่งย่อตัวหลบเศษดินที่ถูกลูกปืนใหญ่กระแทกจนแตกกระเด็นเข้ามาหาผู้บัญชาการของเขา แม้คำพูดจะชวนให้ทะเลาะ แต่นํ้าเสียงนั้นดูแลเป็นห่วงอย่างมาก

เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งเป็นเรื่องปกติของทหารในช่วงสงคราม บางครั้งความตายอาจจะเป็นสิ่งที่สามารถปลดปล่อยความเครียดของพวกเขาก็เป็นไปได้… พลโท แดเนียล อยู่แนวป้องกันเมืองซึ่งเป็นจุดที่อันตรายยิ่งกว่าที่ใดๆ ผู้บัญชาการหนุ่มที่สามารถเอาชนะใจนายทหารชั้นล่าง แม้ว่าเขาจะถูกปลดจากการเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังรุกราน ซึ่งตกเป็นของพลเอก แฟรงคลิน

“ฮ่า! นั้นสินะครับ หากพวกเราจะมาตายในอาริกาเซีย มีหวังท่านนายพลกาย คงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ๆ” พันเอกจอห์นขึ้นเสียงในลำคอ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจังและกล่าว “ไม่ขาดคิดมาก่อนว่าพวกคลั่งศาสนาจะยอมมาช่วยพวกอาริก้า(1) ทั้งๆที่ชาวอาณาจักรแฟแลงซ์ไม่แทรกแซงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าของมัน…”

“คงไม่พ้นฝีมือชายคนนั้นหรอก…” แดเนียลโผล่หัวขึ้นจากที่กำบัง โดยที่ยังมีเสียงปืนใหญ่ดังไม่หยุด

ตรงข้ามจุดป้องกันเป็น แนวปิดล้อมที่เต็มไปด้วยศัตรูของลีโอเนีย ปืนใหญ่ปิดล้อม หรือ ปืนยาวขนาด 24 ปอนด์ติดตั้งอยู่ในแนวปิดล้อมซึ่งทำมาจากไม้และฟางหญ้าของอาริกาเซีย ธงทั้งสองสามสีถูกชู่เหนือที่สูงซึ่งอยู่ด้านในเชิงเทินป้องกันอีกที

พวกเขาถูกปิดล้อมมาแล้วเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เมืองวอลตัน รัฐวัลเทอร์ ขนาดที่ว่าชายหนุ่มยังคิดไม่ถึงว่าความพ่ายแพ้จะเกิดขึ้นกับชาวลีโอเนียที่ยิ่งใหญ่…

ย้อนกลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ หลังจากที่เขาถูกเรียกตัวกลับมายังแนวรบตอนใต้ ซึ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เพราะกำลังไม่พร้อม นรก! แต่มันเป็นนรกที่วุ่นวาย เพราะกองกำลังตอนใต้พ่ายแพ้แล้วพ่ายแล้วเล่า ศึกสำคัญๆถูกกองกำลังอาริกาเซียทำลายย่อยยํ่า แม้ว่าในตอนแรกจะดูเหมือนพวกอาริกาเซียจะไม่ได้เก่งอะไรในการรบแบบต่อหน้า แต่ผ่านไปเป็นปี พวกอาริกาเซียกลับสามารถสู้กับพวกเขาได้เหมือนกับสู้กับกองทัพมืออาชีพ!

กองกำลังรุกรานถูกดันกลับมาเกือบถึงเมืองวอลตัน มลรัฐวัลเทอร์ ฐานบัญชาการเขตปกครองของพวกเขา แต่ที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คงไม่พ้น ทหารในเครื่องแบบสีขาวที่พวกเขารังเกียจ พวกแฟแลงซ์ได้มาถึงดินแดนอาริกาเซีย และพวกมันก็สู้เคียงข้างพวกกบฏ

ความร่วมมือระหว่างอาริกาเซีย-แฟแลงซ์ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนไปเป็นการป้องกันที่มั่นสุดท้าย อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในสหจักรวรรดินั้นเงียบผิดปกติอย่างมาก ไม่มีข่าวสารถูกส่งมายังทวีปอาริกาเซีย ทำให้ผู้บัญชาการหลายคนรู้สึกกังวลอย่างมาก ท้ายที่สุดความวิตกกังวลที่ทำให้กองกำลังลีโออ่อนแอลงก็แสดงผลใน

การจู่โจมที่ป้อมปราการชั่วคราวทั้งห้าแห่ง

ป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการป้องกันหากเกิดเหตุร้ายที่กองกำลังลีโอเนียไม่สามารถเอาชนะกบฏอาริกาเซียได้ มันถูกสร้างโดยแรงงานทาสอาริกาเซียที่ปฏิเสธการปกครองของสหจักรวรรดิ เป็นป้อมปราการที่ยากที่จะถูกตีให้แตก ตามทฤษฎีแล้วมันต้องเวลามากกว่าครึ่งปีในการยึดครองป้อมทั้งห้าแห่ง

แต่พวกอาริกาเซียกลับสามารถยึดป้อมภายในเวลา 1 สัปดาห์… เป็นหมัดที่ซัดเข้าที่หน้าอย่างรุนแรน

จนสุดท้ายกองกำลังลีโอเนียก็ถูกปิดล้อมที่เมืองวอลตัน ฐานบัญชาการของพวกเขา สนามเพลาะถูกนำมาใช้งานโดยผู้ป้องกันและผู้โจมตีทั้งสองฝั่ง ซึ่งก็ปิดล้อมทั้งแต่เดือนที่แล้วจวบจนถึงปัจจุบัน

“ข่าวจากบ้านเกิดก็ไม่มี ทหารที่อยู่ตอนเหนือก็ยังไม่รู้ชะตากรรม พวกเราถูกปิดตายอยู่ในถิ่นของศัตรู” แดเนียลชะงัก “เป็นช่วงเวลาที่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

“พวกเราพลาดตรงที่ชุบเลี้ยงพวกอาริกาเซีย หรือ เป็นเพราะภายในจักรวรรดิเรามันเน่าเฟะกันแน่ครับ?” พันเอกจอห์นกล่าวถาม บางครั้งชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คิดว่า เหตุใดกันที่ชาวอาณานิคมที่เคยสู้เคียงข้างกัน เคยทำงานด้วยกัน ถึงได้ต่อต้านและแยกตัวออกห่างจากพวกเขากัน

“ทั้งสองอย่างเลยพันเอก--” ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ลูกปืนใหญ่ก็พุ่งตรงมายังแนวป้องกันพร้อมกับร่างนายทหารใกล้ๆพวกเขาที่กลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณ ทำให้ผู้ที่เห็นต้องอาเจียนออกมาด้วยความกลัว

“บ้าจริง! ทำไมปืนใหญ่พวกแฟแลงซ์มันถึงได้แม่นยํ่าเสียยิ่งกว่าครั้งก่อน พัฒนาได้เร็วมากให้ตายสิ!?” ชายหนุ่มกล่าวอย่างหัวเสีย

“ท่านพลโท!! พลเอกเรียกผู้บัญชาการระดับสูงทุกคนไปพบครับ!” นายทหารแจ้งข่าว

เขาวิ่งเข้ามายังแนวป้องกันอย่างรีบร้อน นายทหารต้องเสี่ยงตายวิ่งผ่านลูกปืนใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อมาแจ้งข่าวกับพลโทแดเนียล ซึ่งแดเนียลก็สั่งให้พักและหลบรอให้ปืนใหญ่ฝั่งข้าศึกเบาลงก่อน ในทางกลับกันใบหน้าผู้บัญชาการหนุ่มเต็มไปด้วยความงุนงง เหตุใดพลเอกแฟรงคลินถึงได้เรียกตัวกะทันหัน?

แดเนียลรอจังหวะปืนใหญ่และวิ่งออกจากที่กำบังพร้อมกับพันเอกจอห์น ก่อนจะวิ่งไปยังศาลากลางเมืองวอลตันซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของกองกำลังรุกรานอาริกาเซีย แม้ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่มันหน้าที่ของผู้บัญชาการ แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ต้องทำตาม

มองซ้ายมองขวา ก็พบกับนายทหารชั้นสูงที่อยู่ในแนวหลังกำลังยื่นพูดคุยกันอยู่ คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่แนวหน้าเหมือนกับตัวเขา พลโทหนุ่มไม่รอช้าเปิดประตูเข้าไปในศาลากลางอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เสียงดังภายในห้องนั้นทำเขารู้สึกเหนื่อยจนต้องถอนหายใจหนัก

“พลโท แดเนียลรายงานตัว!” เสียงหลังประตูดังกลับ “เข้ามา…”

ไม่รีรอ แดเนียลผลักประตูไม้เข้าไปข้างในห้อง เขามองไปรอบๆ ภายในห้องที่เรียบสะอาดผิดกับสนามรบข้างนอก พร้อมกับใบหน้าของพลเอก และขุนนางทหารที่อยู่ในห้องกันอย่างสุขดี ยกเว้นชายที่นั่งอยู่โต๊ะทำงานที่มีใบหน้าที่กังวลอย่างเห็นได้ชัด

“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ? กำลังใจที่แนวหน้าสำคัญอย่างมาก ผมหวังว่าท่านพลเอกจะสามารถตอบคำถามของผมได้นะครับ” พลโทหนุ่มไม่มีท่าทีของความเคารพชายผู้นี้ แน่นอนว่าขุนนางหลายคนไม่พอใจอย่างมาก แต่พลเอก แฟรงคลิน ก็ยกมือขึ้นมาห้ามเสียก่อน

เขาถอนหายใจยกใหญ่และกล่าวออกมาด้วยความเหนื่อยล้า

“เรากำลังตัดสินใจครั้งสุดท้าย พลโทแดเนียล การประชุมครั้วนี้จะเป็นจุดจบของพวกเราบนอาริกาเซีย…”

การปิดล้อมที่วอลตัน อาริกาเซีย

ศักราชอองโทราลที่ 3929 วันที่ 30 เดือนกันยายน เป็นวันที่ชาวอาริกาเซียทุกคนจะจดจำมันไปตลอดกาล มันเป็นเวลาใกล้มืด เสียงปืนใหญ่หยุดนิ่งไปได้แล้วสองวันหลังจากการปิดล้อมอันยาวนาน กองเรือลีโอเนียอันยิ่งใหญ่ภายในท่าเรือเริ่มมีการขนย้ายสิ่งออกขึ้นบนเรือด้วยความลับและเงียบ

ทหารในเครื่องแบบสีแดงเวนิสจุดคบเพลิงเพื่อเพิ่มความสว่าง วันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่พวกกบฏพยายามปิดล้อมให้พวกเขาอดตาย แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ทหารลีโอเนียคิดเท่านั้น เพราะว่าระฆังของเมืองวอลตันได้ดังขึ้นอีกครั้ง

“ถึงเวลาเปลี่ยนกะ แล้วเหรอ?” นายทหารคนหนึ่งพูดขึ้นมาขณะหันหลังไปมองเมืองวอลตัน ไร้ซึ่งเสียงของความวุ่นวาย มีเพียงแค่เสียงระฆังสีเงินที่ดังไปทั่วตัวเมืองและแนวป้องกัน ความเงียบและสายลมใกล้มืดของอาริกาเซียนั้นช่างหนาวเหน็บ แต่จู่ๆนายทหารลีโอก็นึกขึ้นได้ “เดี๋ยวนะ! ระฆังมันไม่ควรดังสิ!?”

พื้นดินที่สั่นเหมือนกับแผ่นดินไหว เขารู้ตัวทันทีว่าข้าศึกกำลังใกล้แนวป้องกัน

ตรงข้ามกับฝั่งลีโอเนีย มนุษย์ครึ่งสัตว์ หูสุนัขของเขาเป็นสีนํ้าตาลเช่นเดียวกับเส้นผม ใบหน้าที่ถูกทาด้วยสีแดงประเพณีชนพื้นเมืองอาริกาเซีย บูลล์ แมรี่แลนด์ ชายหนุ่มวิ่งนำกองทหารภาคพื้นทวีปผสมแฟแลงซ์ พวกถูกสั่งให้ติดดาบปลายปืน และไม่ให้บรรจุลูกปืนก่อนถึงแนวป้องกัน เพื่อกันไม่ให้เกิดเสียงโดยอุบัติเหตุ

“จู่โจม!!” ด้วยระยะทหารเสื้อแดงไม่คาดคิด กองกำลังผสมระหว่างอาริกาเซียและแฟแลงซ์จำนวน 2,000 คน กระโจนขึ้นแนวป้องกัน นำโดยพันเอก บูลล์ ชายหนุ่มเติบโตขึ้นมาก จากเด็กน้อยชนพื้นเมือง กลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างกล้าหาญ

เขาเป็นคนแรกที่กระโดดข้ามแนวป้องกัน และใช้ดาบปลายปืนแทงไปยังทหารผู้โชคร้าย เสียงตะโกนดัง “ข้าศึกโจมตี ข้าศึกโจมตี” ทั่วสนามรบ ระฆังเมืองดังสนั่น มันเป็นเสียงระฆังที่ถูกสายลับนำกลับขึ้นมาใช้งานในหอระฆังเพื่อทำให้ทหารลีโอเนียสับสน และทำให้ชาวอาริกาเซียรับรู้ว่าเวลาได้มาถึงแล้ว

เสียงปืนยิงใส่ทหารอาริกาเซีย สังหารไปมาก แต่จำนวนและแรงใจนั้นช่างแตกต่าง พวกเขาพังแนงป้องกันและขึ้นเนินป้องกัน ทุกอย่างเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย การจู่โจมแบบสายฟ้าแลบสร้างความตกใจให้กับลีโอเนียไม่สามารถตอบโต้ได้ทันเวลา

ทหารอาริกาเซียคนที่ยืนอยู่บนเนินป้องกันตะโกน “เร็วเข้า! แนวป้องกันเป็นของเราแล้ว”

ทหารลีโอเนียที่สิ้นหวังเริ่มที่จะแตกแนวป้องกันหนีเข้าตัวเมือง ซึ่งผู้ที่หนีไปตอนแรกก็มีโอกาสรอดมากกว่ากลุ่มหลัง เพราะว่ากองกำลังภาคพื้นทวีปบรรจุกระสุนและยิงทันทีเมื่ออยู่บนเนินป้องกัน

ธงราชสีห์สีแห่งแดนเหนือถูกโคนลงก่อนที่ชาวอาริกาเซียจะชูธงสีนํ้าแดงนํ้าเงินขึ้นแทนที่ แน่นอนว่าทุกคนในสนามรบนั้นเห็นมันอย่างชัดเจน ก่อนที่ชาวแฟแลงซ์จะยกธงของตัวเองตาม แนวป้องกันพังทลายภายในไม่กี่ชั่วโมง เวลาของการโจมตีเมืองได้มาถึงแล้ว

“กองกำลังพิทักษ์สาธารณรัฐที่ 1 จงตามเรามา! จงเข้าปลดปล่อยเมืองวอลตัน! จงสู้เพื่ออาริกาเซีย!” ความตายอยู่ข้างล่างเท้าของเขา และข้างหน้าของเขาก็เป็นศัตรูที่จะพร่าชีวิตน้อยๆนั้นไป คำสั่งของบูลล์คือความต้องการของชาวอาริกาเซีย อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตายแค่คนเดียว

กองกำลังผสมอาริกาเซีย-แฟแลงซ์ เข้าโจมตีเมืองด้วยความรวดเร็ม ในขณะที่ลีโอเนียสามารถจัดแนวป้องกันใหม่อีกครั้งด้วยความยากลำบาก ตัวเมืองส่วนนอกกลายเป็นสนามรบ การต่อสู้ภายในเมืองนั้นดุเดือดยิ่งกว่าสนามหญ้าโล่ง ไม่ว่าจะไปทางไหนก็อาจจะตายได้ทุกเมื่อ

แม้กองกำลังภาคพื้นทวีปเองก็ต้องสูญเสียเมื่อเจอกับสงครามภายในเขตตัวเมือง ปืนใหญ่ไม่สามารถสนับสนุนและยิงถล่มเมืองให้กลายเป็นปุ๋ยได้ เพราะว่าวอลตันคือเมืองของพวกเขา ใครจะไปทำลายเมืองของตัวเองกันได้ลงกัน?

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า สงครามได้มาถึงจุดสิ้นสุดเรียบร้อย บูลล์ที่กำลังยิงตอบโต้ทหารลีโอเนียที่อยู่ในเขตตลาดก็ต้องลดปืนลง ไม่ช้าเสียงปืนก็หยุดนิ่งพร้อมกับเสียงตะโกนออกมาจากทางลีโอเนีย พวกเขายกธงขาวขึ้นจุดที่สูงที่สุดของเมือง และกล่าว

“หยุดยิง!! หยุดยิง!!” เสียงกล่าวดังเป็นสามรอบ มันเป็นเสียงสุดท้ายของการต่อสู้ในสัปดาห์นี้ ทหารในเครื่องแบบสีแดงเวนิสลุกขึ้นยื่นออกมาจากเชิงเทินที่ป้องกันของพวกเขา ในขณะที่กองกำลังภาคพื้นทวีปชาวอาริกาเซียต่างพากันออกมานั่งพัก

ทุกคนรู้กันหมด พวกเราลดอาวุธตัวเองและถอดหมวกของตน คนบาดเจ็บถูกยกออกมาช่วยเหลือ ในขณะที่คนตายถูกนำมารวมกันที่จุดจุดเดียว เพื่อนับจำนวนผู้เสียชีวิต

ทุกคนรู้กันหมด มันจบลงแล้ว การต่อสู้ที่ยาวนาน มันจบลงแล้ว ชาวอาริกาเซีย ชางแฟแลงซ์ ชาวลีโอเนีย และ ชนชาติอื่นๆ ต่างพากันนั่งลง พวกเขาเพียงแค่นั่งคิด

มันจบแค่นี้จริงๆหรือ…

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากประกาศหยุดยิง กองกำลังภาคพื้นทวีปที่อยู่ภายนอกก็เริ่มเข้าควบคุม หากมีผู้ต่อต้านก็จะถูกจับทันที อาวุธปืนถูกนำมารวมกันที่โกดัง

ตัวแทนจากอาริกาเซีย แฟแลงซ์ เดินทางเข้าตัวเมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นของความตาย ต่อไปนี้การเจรจาเริ่มขึ้นแล้ว คนคุ้มกันทั้งสองตัวแทนจากทั้งสองฝ่ายกระชับอาวุธข้างกาย บูลล์เป็นคนหนึ่งผู้เจรจา

กลุ่มกองกำลังผสมเดินทางเข้าไปยังศาลากลาง โดยมีนายทหารชั้นสูงของลีโอเนียยืนรอด้วยใบหน้าที่เกลียดชัง และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดทำให้เกิดแตกแยกระหว่างชาวแฟแลงซ์และลีโอเนีย บูลล์ได้ขอให้ตัวแทนของแฟแลงซ์ เพียงแค่คนเดียวซึ่งต้องไม่ใช่คนจากศาสนจักรหรือขุนนาง…

ความเงียบที่ไร้ซึ่งความสุข มีเพียงแค่ความมืดมิดภายใต้แสงไฟคบเพลิง เสียงสุดท้ายของคืนการรบ ก็คงเป็นเสียงของระฆังที่ยังคงถูกตีไม่หยุด ระฆังเสรีภาพ ยังคงได้ยินไปทั่วหัวใจของชาวอาริกาเซีย…

……

.

.

.

.

.

.

เครื่องดนตรีบรรเลงจังหวะก่อนจะทำนองที่ไพเราะ แสงแดดของพระอาทิตย์สะท้อนกับเครื่องดนตรี สายลมพัดผ่าน ผ้าผืนใหญ่สะบัดด้วยความอ่อนโยน แต่มันถูกยกไม่สูงมาก ทหารในเครื่องแบบสีแดงเวนิสตั้งขบวนยกธงและสะพายปืนคาบศิลา และเริ่มเดินทัพ เป็นเกียรติยศดั้งเดิมของสงครามครั้งสุดท้ายที่จะได้เล่นบนอาริกาเซีย ทหารสหจักรวรรดิเดินขบวนผ่าน แถวของกองกำลังภาคพื้นทวีปซึ่งอยู่ด้านซ้าย และ กองกำลังอาสาแฟแลงซ์ซึ่งอยู่ด้านขวา ทหารจำนวน 1 หมื่นกว่านายเคลื่อนตัวผ่านทั้งสองกองกำลังด้วยใบหน้าที่หมดหวัง

“กองกำลัง หยุด” ผู้นำกองกำลังลีโอเนียสั่ง เครื่องดนตรีถูกหยุด พร้อมกับเสียงเท้าที่กระทบกับพื้น

มันคือการทำพิธียอมแพ้ตามธรรมเนียม หากแต่ครั้งนี้คนที่มายอมแพ้มิใช่ พลเอกแต่เป็นพลโท พลโทแดเนียลก้าวเท้าขึ้นสามก้าว พร้อมกันกับนายทหารผู้ถือพร้อมกับธงสิงโตทอง สัญลักษณ์ของสหจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะเขาจะมองไปยังชายผู้อยู่บนหลังม้าตรงหน้า

ผู้บัญชาการกองทัพกบฏ หรือ ในตอนนี้ กองทัพภาคพื้นทวีป เครื่องแบบทหารเต็มยศสีนํ้าเงินเข้ม ใบหน้าที่เหมือนกับหญิงสาว เส้นผมสีขี้เถ้าอ่อนสุดแปลก ในตาสีฟ้าเหมือนกับท้องทะเล ชายตรงหน้าคือ ดักลาส แมรี่แลนด์

ดักลาสไม่กล่าวอะไร ทั้งสองรู้จักกันมาก่อน เคยอยู่ด้วยกัน พูดคุยด้วยกัน ดื่มด้วยกัน และตอนนี้ก็เป็นศัตรูด้วยกัน

แดเนียลยิ้มอ่อน ก่อนจะเดินเข้าใกล้ดักลาส ก่อนที่จะกล่าว “พลโทแดเนียล ไม่มีนามสกุล ในนามของกองทัพปราบปรามแห่งสหจักรวรรดิ เราขอยอมจำนน”  และชักดาบผู้บัญชาการขึ้นมาก่อนพลิกกลับด้าน และยื่นไปให้ดักลาสผู้อยู่บนหลังม้า

“เรายอมรับการยอมจำนนของคุณ” สิ้นเสียงชายหนุ่มก็รับดาบมาและยื่นให้กับรองบัญชาการ

เป็นเหมือนกับสัญญาณบอกใบ้ จู่ๆนายทหารที่อยู่ฝั่งอาริกาเซียก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง “ชัยชนะแด่อาริกาเซีย!!  ” และตามมาด้วยเสียง “แด่อิสรภาพ แด่สาธารณรัฐ” หมวกที่บินออกโยยการโยน นี้คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวอาริกาเซีย อาวุธปืนถูกโยนลงพื้นเพื่อเป็นการยอมแพ้โดยชาวลีโอเนีย

ฮัสสา! สงครามบนทวีปอาริกาเซียที่ยาวนานได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

แม้ว่าสถานะของสงครามจะยังไม่จบ แต่ในอาริกาเซียก็หมดห่วงเป็นที่เรียบร้อย เมื่อไม่มีการบัญชาการและศูนย์เสบียงหลัก กองกำลังรุกรานของลีโอเนียก็กลายเป็นเพียงแค่ เป้านิ่งของพลเมืองชาวบ้านชาวอาริกาเซีย หากไม่พวกเขาไม่ยอมแพ้ ไม่นานก็จะถูกความแค้นของชาวอาริกาเซียที่สะสมมานานทำลายชีวิตจนหมด

ดักลาส มองทหารลีโอเนียเดินขบวนไปยังเขตกักตัว ของนักโทษสงคราม ลาสได้ให้สัญญาว่าจะดูแลพวกเขาจนกว่าสงครามจะจบ เพื่อเตรียมการก่อนจะส่งนักโทษทุกคนกลับบ้านเกิด ชายหนุ่มลงจากม้าของตัวเองและพูดกับแดเนียล

“คุณแดเนียลครับ สภาพในสหจักรวรรดิกำลังยํ่าแย่ ในฐานะที่คุณอยู่ในกองทัพมานาน ผมอยากจะคุยกับพวกคุณสักหน่อย เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะงั้นแล้วเตรียมตัวไปยังสภาของชาวเรากันเถอะครับ” ดักลาสพูดด้วยความเสี่ยงที่จริงจัง

“จอมพลโรแลนด์ทำจริงเหรอเนี่ย!? หรือว่าที่พลเอกไม่ยอมบอกเพราะเรื่องนี้สินะ…” แดเนียลกล่าวขึ้นด้วยความตกใจหลังได้ยินว่า ลีโอเนียกำลังยํ่าแย่ ก่อนที่เขาได้กล่าวเพิ่ม แดเนียลก็ชะงักเมื่อเห็น หญิงงามที่มีใบหน้าอยากรู้อยากเห็น แดเนียลเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ “แล้วจะให้ชาวแฟแลงซ์ได้ยินเรื่องด้วยสินะครับ? โดยเฉพาะ สตรีศักดิ์สิทธิ์ของชาวแฟแลงซ์”

“เธอคนนี้ไม่เอาเรื่องไปบอกชนชั้นสูงของแฟแลงซ์แน่นอน เชื่อผมได้เลย!” แดเนียลมองหญิงบนหลังม้าด้วยความไม่เชื่อ ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เขาจะมีสีหน้าที่ไม่ค่อยอยากจะพูดมากนัก

“จอมพลโรแลนด์ทำรัฐประหารเรียบร้อยแล้วสินะครับ?”


อ๊าาา ลีโอเนียโดนรัฐประหาร รู้สึกผิดแทนแล้วค่ะ ปล.ลีโอเนียเป็นหนึ่งในประเทศลูกรัก-

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด