ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 27 ชัยชนะแห่งการปฏิวัติ (Triumph of The Revolution)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 29 การเลือกตั้งครั้งแรกของอาริกาเซีย (The First Aricassia Elections)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 28 ความฝันและสันติภาพอาริกาเซีย (Aricassia Dream and Peace)


ความฝันและสันติภาพอาริกาเซีย

(Aricassia Dream and Peace)

ชายแดนนิลเฟย-โจเซ อาริกาเซีย

เทลลามาซีร์ แมคคอล หญิงสาวครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ จากผู้แทนมลรัฐโจเซ สู่ผู้บัญชาการกองภาคพนทวีป ทางตอนเหนือของอาริกาเซีย ในตอนแรกเธอก็เป็นเพียงแค่ผู้ปกครองที่อยู่แต่ในบ้าน นั่งทำเอกสารการปกครองทั่วไปอย่างปกติ แต่เมื่อสงครามได้มาเยือนถึงบ้านเกิด มันก็ได้บังคับให้หญิงสาวต้องหนีออกจากบ้านเพื่อความปลอดภัย

กองพลที่ 7 โจเซ เข้าปกป้องรัฐของตัวเองพร้อมทหารอาสาจากทั่วดินแดนโจเซ แต่ก็ไม่สามารถต่อสู้กับกองกำลังลีโอเนียที่สู้รบมาทั้งชีวิตได้ ทหารหน้าใหม่ถูกแนวยิงของสหจักรวรรดิ ทำลายจนมีผู้รอดชีวิตไม่กี่คน ไม่นานหลังจากความพ่ายแพ้ รัฐโจเซก็เริ่มถูกลีโอเนียเข้าปล้นเผาทำลาย เมืองหลวงของโจเซ เมืองโรค ถูกทัพลีโอเนียเข้ายึดภายในสัปดาห์เดียว โชคดีที่เทลลามาซีร์หลบหนีออกมาได้ทัน แต่โชคร้ายชาวเมืองที่หนีออกไม่ทันถูกสังหารเกือบหมด เนื่องจากตอนใต้ของอาริกาเซีย ชาวเมืองนั้นสู้สุดชีวิตไม่เหมือนตอนเหนือทำให้ทหารลีโอเนียนั้นเกรงกลัวชาวเมืองก่อวินาศกรรม

ที่ประชุมเมืองโรค สัญลักษณ์ของการต่อต้านลีโอเนีย สภานิติบัญญัติประจำจังหวัดเฉพาะกิจ เมื่ออยู่ในมือของเจ้าอาณานิคม มันก็ถูกเผาทันทีเมื่อผู้บัญชาการของลีโอเนียเดินทางเข้ามายังเมืองโรค สร้างความแค้นให้กับชาวโจเซมาขึ้นไปอีกเท่าตัว

เทลลามาซีร์ ที่รับรู้ถึงการเผาเมือง เธอก็รีบเปลี่ยนทิศและเข้าควบคุมกองกำลังที่เหลืออยู่ของโจเซและไปรวมตัวกกับ กองพลที่ 8 และ 9 ของรัฐ นิลเฟย-นิวลีโอ ที่มาช่วยแนวรบไม่ทัน หญิงสาวหูแมวได้เริ่มชีวิตบนเส้นทางการสนามรบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

และในวันนี้… ก็จะเป็นศึกสุดท้ายของชาวอาริกาเซีย(เหนือ)

กองกำลังภาคพื้นทวีป มีจำนวนมากกว่ากองกำลังรุกรานอย่างเห็นได้ชัด มากกว่า 28,000 จาก 3 กองพลรวมไปถึงอาสาสมัครราวๆ 1,000 อยู่ภายในบัญชาการของหญิงสาวครึ่งสัตว์ ถึงแม้ว่าเธอจะบังคับแค่ 5,000 คนก็ตาม แต่ความสามารถที่อยู่ในการศึกตลอดระยะเวลาสงครามทำให้เธอได้ที่นั่ง ผู้บัญชาการทัพต่อต้านตอนเหนืออาริกาเซียมา แน่นอนว่ามีกลุ่มต่อต้านที่อยู่ใต้เขตปกครองลีโอเนียตอบรับเสียงเรียกแห่งการต่อต้านลีโอ

กองกำลังภาคพื้นทวีปแปรขบวน ตั้งแถวเผชิญหน้ากับกองกำลังลีโอเนียอย่างไม่หวั่นไหว

“สั่งให้ทหารรอจนกว่าจะเห็นพวกเสื้อแดงเข้าใกล้ระยะยิงที่ได้ฝึกเอาไว้!” เทลลามาซีร์กล่าวขณะที่ใช้กล้องส่อง หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะอยู่แนวหน้า เธอถนัดที่จะสั่งการจากแนวหลังมากกว่า

ผู้บัญชาการเริ่มส่งต่อคำสั่งไปยังแนวหน้า ซึ่งผู้กองก็จะเป็นคนสั่งยิงอีกที กองกำลังภาคพื้นทวีปเล็งอาวุธไปข้างหน้า เตรียมจะปลดปล่อยความแค้นของตนเอง “ยิง!!” คำสั่งการโดยผู้บัญชาการที่ส่งไปยังผู้กอง สายตาที่มองเห็นแถวทหารชาวลีโอเนียเข้าใกล้ระยะยิง เล็งไปยังจุดเป้าหมาย นิ้วมือกดไกปืนอย่างนุ่มนวล ก่อนที่เสียงอาวุธคาบศิลาจะดังลั่น ปลิดชีพทหารลีโอเนียไปจำนวนหลายร้อยคน

พวกเขาบรรจุลูกปืนใหม่ แน่นอนว่าฝั่งตรงข้ามจะยิงตอบโต้ทันที การต่อสู้กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ไม่มีฝั่งไหนแตกแถวก่อน แต่ผู้ตายจากฝั่งลีโอเนียนั้นสูงจนน่าตกใจ ไม่ใช่เพราะฝีมือที่ตกลง แต่เป็นชาวอาริกาเซียนั้นเรียนรู้การศึกรวดเร็วเกินไป พวกเขาฝึกและรับประสบการณ์โดยตรงจากสนามรบที่แม้จะแพ้หรือชนะ การยิงหนึ่งครั้ง ทหารลีโอเนียล้มลงไปเกือบร้อยคน สร้างความหวั่นไหวจนทำให้เริ่มมีนายทหารกำลังจะแตกแถวหนี ผู้กองลีโอเนียเห็นท่าไม่ดีสั่งติดดาบปลายปืน เพื่อต่อสู้ในระยะประชิด พวกเขาเชื่อว่ากองทัพกบฏพึ่งปรับตัวเข้ากับสงครามแถวทหารราบได้ไม่นาน หากโจมตีด้วยรวดเร็วและรุนแรงจะทำให้ทัพกบฏเสียขวัญและแตกทัพได้

เสียงกู่ร้องของทหารลีโอเนียนับร้อย พร้อมกับดาบปลายปืนที่ติดอยู่พุ่งตรงเข้าหาแนวทหารอาริกาเซียอย่างกล้าหาญ เทลลามาซีร์อยู่บนหลังม้าใกล้กับแนวรบจ้องมองการปะทะของแนวรบทั้งสองฝั่งด้วยความกังวล อารักขาประจำตำแหน่ง ชีวิตของหญิงสาวบนหลังม้านั้นสำคัญยิ่งกว่าผู้ใด เทลลามาซีร์สั่งการเปลี่ยนรูปแบบขบวนทัพ

“อย่าให้พวกมันตีทัพกลางแตก! กองสำรองให้ไปช่วยตรงกลาง เร็ว! เร็ว!” เธอสั่งการอย่างรวดเร็ว เคลื่อนไหวโบกไปมาสั่งการไม่หยุดไม่หย่อน " อย่าแตกแถว!! อิสรภาพอยู่ตรงหน้า !!

ชัยชนะในวันนี้ อิสระในวันข้างหน้า!

เสียงคำสั่งของนายกองดังไปทั่ว ต่างฝั่งต่างสู้เพื่อบางสิ่งบางอย่าง พื้นหญ้าสีเขียวที่กลายเป็นสีแดง เลือดเนื้อและหยาดเหงื่อไหลไปทั่วพื้นดิน เสียงคำสั่งของนายกองดังไปทั่ว

“สังหารพวกกบฏ!”

“ผู้กอง!? บ้าเอ๊ย! ไอ้พวกสุนัขรับใช้จักรวรรดิ!!”

“ท่านครับ! กองพันที่ 23 และ 24 สูญเสียจำนวนมากและกำลังแตกทัพ พวกเขาต้องการกำลังเสริมด่วน!”

“บอกให้พวกเขาสู้จนตัวตายไปสิ! เราเองก็ไม่มีทหารจะแบ่งไปช่วยแล้ว!”

ความตายเกิดขึ้นทุกวินาที เทลลามาซีร์ต้องมองดูคนภายใต้การบัญชาการของเธอล้มลงเสียชีวิตไปจำนวนมาก แต่เธอก็พยายามให้แรงใจกับกองกำลังของเธอ ไม่ช้าแนวรบของลีโอเนียก็แตกพ่ายจากทางด้านซ้าย จนท้ายที่สุดกองกำลังลีโอเนียก็วิ่งหนีออกจากสนามรบ ถูกตีแตกไปในที่สุด กองกำลังภาคพื้นทวีปเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก บาดเจ็บเป็นหมื่นคน เฉกเช่นฝั่งลีโอเนียที่นอนไร้ชีวิตอยู่ตรงพื้นหญ้า

“พะ พวกเรา… พวกเราชนะ! พวกเราชนะแล้ว!”  เสียงของทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้น ก่อนที่เสียงกู่ร้องแห่งชัยชนะจะดังตามกันมาติดๆ ธงของมลรัฐทางตอนเหนือ 3 รัฐ โบกสะบัดอย่างมีเกียรติ

เทลลามาซีร์ แมคคอล หญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแทบจะลงจากอาชา และนอนดูท้องฟ้าที่สว่างไสว ในที่สุดหยิงสาวหูแมวก็ได้พักหายใจ มันอาจจะไม่ใช่การล้างแค้นที่เธอหวัง แต่ชัยชนะนี้ก็จะเป็นศึกสุดท้ายของทวีปอาริกาเซีย

ศึกสุดท้ายที่เกิดขึ้นอยู่ที่ชายแดนระหว่างรัฐนิลเฟยและโจเซ เป็นการรบระหว่างกองกำลังภาคพื้นทวีปตอนเหนือ 3 กองพล กับ กองกำลังลีโอเนียที่ไม่ได้อยู่ทางตอนใต้ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถอพยพออกจากอาริกาเซียได้หากไม่มีฐานส่งเสบียงขนาดใหญ่อย่างวอลตัน ทำให้กองกำลังที่ยังไม่ได้ยอมแพ้ต้องรวมตัวกัน เพื่อปล้นเอาชีวิตรอดจนกว่า ทัพเรือจะส่งกำลังเสริมมาช่วย

กองทัพปราบกบฏ หรือ กองกำลังรุกรานอาริกาเซีย ยอมแพ้ต่อรัฐประเทศที่เยาว์วัยแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงการตามทฤษฎี หมายความว่าทหารเกือบครึ่งแสนตกเป็นเชยลของอาริกาเซีย ไม่นับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในปฏิบัติการทางทหาร ความพ่ายแพ้ที่เรียกได้ว่าหนักหนาสาหัสสำหรับสหจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ ในขณะที่การต่อสู้บนอาริกาเซียนั้นถือว่ายุติเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามความตายและดินปืนก็ยังคงคงอยู่ ไม่ว่าจะบนผิวนํ้าแห่งอาจิเต้ ทวีปอัลชลาฟไวส์ และดินแดนอาณานิคมบนโดสสเลเลน  แต่บาดแผลที่ถูกสร้างโดยชาวลีโอเนียกับโลกใหม่นั้นยังคงใช้เวลารักษาอีกยาวนาน… สงคราม… ใกล้ถึงจุดสิ้นสุด

บอสตัน รัฐโฟลิโอ สมาพันธรัฐอาริกาเซีย

สายลมจากมหาสมุทรอาจิเต้พัดผ่่าน เสากะดงเรือ เสียงของไม้ที่กระทบกับท่าเรือ กลิ่นโชยทะเล ก่อนที่แสงแรกของวันจะโผล่ขึ้นมา ชีวิตของชาวบอสตันในรูปแบบใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น หากเป็นปกติแล้ว เมืองบอสตันจะได้หลับใหลในช่วงกลางคืนเหมือนทุกเมืองบนอองโทราล เงียบสงบและมืดมิด หากแต่ความเปลี่ยนแปลงของอาริกาเซียนั้น ได้มาถึงตัวเมืองเป็นที่เรียบร้อย เรือสินค้าเข้าท่าเรือตลอดเวลา พ่อค้าแม่ขายตั้งร้านขายของตามเวลาตลอด 24 ชั่วโมง แบ่งเป็นสองช่วง เชา และกลางคืน แสงไฟที่มาจากหินเวทนำเข้าถูกติดตั้งทั่วเมือง กลายเป็นเมืองท่าที่ไร้ซึ่งการหลับใหล

หญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีขาวที่โดดเด่นเดินพร้อมกับร่มกันแดด เธอเดินคู่กับหญิงสาวผู้อยู่ในชุดทั่วไปของชาวเมือง ทั้งสองมีสีผมบลอนด์ทอง เพียงแค่หญิงผู้สวมชุดชาวบ้านนั้นมีออร่าที่สูงส่ง

เฟลิเซีย สกาเล็ต และ มิราเบลล์ เดอ ฟลอริเต้ สาวงามแห่งอาริกาเซีย คนหนึ่งเป็นผู้แทน และ ผู้ปกครองแห่งรัฐโฟลิโอ ในขณะที่อีกคนเป็นถึง สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งชาวแฟแลงซ์ทั้งปวง ไม่มีใครไม่รู้จักทั้งสอง บุคคลที่สำคัญเช่นนี้กลับมาเดินเล่นอยู่ในเมืองแตกต่างจากผู้ปกครองหลายๆคน…

“อีกไม่นานก็ต้องกลับไปยังแฟแลงซ์แล้ว เราเองก็อยากจะพักผ่อนเสียบ้าง” นั้นเป็นคำพูดจากปากของสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง หากนักบวชที่เคร่งครัดในการฝึกตนมาได้ยินเข้า ก็คงได้แต่อ้าปากค้างตกใจเป็นแน่

“ช่างเป็นเมืองที่มีชีวิตเสียจริง หากเราไม่ได้กำลังอยู่ในสงคราม จะมีชีวิตยิ่งกว่านี้ไหมนะ?” มิราเบลล์มองสังเกตอย่างตื่นเต้น ใบหน้าของเธอมีความสุขอย่างยิ่ง การที่ต้องอยู่ในสนามรบ หรือทำพิธีทางศาสนาต่างๆ มันอาจจะทำให้หญิงสาวไม่อาจจะแสดงตัวตนออกมาได้เต็มที่ ซึ่งมันก็ทำให้หญิงงามที่อยู่ข้างๆเธอหัวเราะออกมา

“ไม่คิดว่าท่านจะมีด้านที่เหมือนกับหญิงสาวทั่วไปนะคะ” เฟลิเซียชะงักเพราะถูกมือของผู้ถูกกล่าวว่าตบไหล่เบาๆ แต่อนิจจามือของผู้ที่มีพลังนั้นเยอะพอที่จะทำให้คนธรรมดาอย่างเฟลิเซียต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“โอ๊ย! ท่านเจ้าข้า!? ข้าเพียงแค่พูดความ- ล้อเล่นค่ะ!”

ชาวเมืองที่มองเห็นหญิงสาวทั้งสองหากไม่สังเกตก็คงคิดว่าเป็น พี่น้องมาเที่ยวเมืองบอสตัน ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่คนที่มาเที่ยวดันเป็นบุคคลสำคัญต่อมหาอำนาจของอองโทราล ในขณะที่อีกคนเป็นถึงผู้มีอำนาจในการปกครองเมืองแห่งนี้ ถ้ามีใครคิดร้ายก็คงถูกอารักขาเก็บไปนานแล้ว

“ฮึม! อากาศในอาริกาเซียนั้นช่างมีหลากหลายเสียจริง ในตอนที่ขึ้นเหนือก็เริ่มร้อน พอลงใต้ก็หนาว อ๊ะ! แต่เราชื่นชอบหน้าร้อนของอาริกาเซียมากกว่าบ้านเกิดของเราเสียอีก เรายอมรับในความบริสุทธิ์ของดินแดนแห่งนี้” มิราเบลล์พูดขึ้นมาขณะที่เฟลิเซียกำลังเลือกซื้ออาหารกินเล่นตามท้องถนนเมืองบอสตัน “ท่านเฟลิเซียคิดว่า ลีโอเนียที่วุ่นวายจะยอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่?”

“นั้นคงเป็นเรื่องที่ยาก… แต่เราเองก็หวังว่าพวกเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ มากกว่าสูญเสียจนเกิดเหตุ” เธอตอบกลับด้วยนํ้าเสียงที่ไม่แน่ใจ เพราะเธอเองก็มีคนรักอยู่ในดินแดนลีโอเนีย มันอาจจะทำให้เธอรู้สึกกังวลอย่างมาก แต่เธอเองก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อชาติที่พึ่งจะได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก

ทั้งสองเดินเทียวเล่นอยู่นานเกือบชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับไปยังศาลากลางเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังอีกเขต อันเป็นเป้าหมายหลักของสาวงามทั้งสอง รถม้าถูกเตรียมอย่างดีเพื่อเป็นการรับแขกจากต่างทวีปหรือก็คือชาวแฟแลงซ์ พวกเขาเดินทางออกห่างจากเมืองบอสตัน ลงใต้ตามชายฝั่งทะเลอาจิเต้ ใช้เวลานานหลายชั่วโมงก่อนจะถึงตัวเมืองขนาดใหญ่ที่กำลังก่อสร้าง เมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองที่กำลังก่อสร้างนี้ จะพบกับแผนผังรูปแบบที่แตกต่างจากหัวเมืองสำคัญของอาริกาเซียทั้งหมด

มันไม่ใช่เมืองทั่วไปตามอาริกาเซีย แต่เป็นเมืองหลวงใหม่ของชาวอาริกาเซีย

เมืองหลวงใหม่ถูกตั้งแทนที่ ชุมชนขนาดกลางที่ชื่อบอสฮาเล่ (Boshale) เนื่องจากสงครามที่ผ่านมา ที่ประชุมหรือสภาในรัฐโจเซ่ถูกทหารลีโอเนียเผาทำลายจนเหลือเพียงแค่เถ้าถ่าน และในช่วงสงครามผู้แทนและผู้ปกครองในแต่ละมลรัฐอิสระต้องการที่ประชุมใหม่ ซึ่งต้องขอบคุณชาวเมืองที่ช่วยกันสร้างมันขึ้นมา แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะย่ำแย่ลงทุกวัน แต่การสนับสนุนและบริจาคก็ทำให้ตัวที่ประชุมสามารถก่อสร้างได้ แม้ว่ามันต้องใช้เวลานานเกือบ 10 ปีหรือมากกว่านั้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่อนาคต…

เฟลิเซียและมิราเบลล์เดินเข้าไปในตัวอาคารสีขาวขนาดใหญ่ที่เหมือนจะเสร็จแค่ข้างใน ภายในห้องนั้นมีพื้นที่นั่งสำหรับผู้แทน และ ประธานในที่ประชุม แน่นอนว่าทุกคนก็ได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย

“ทิวาสวัสดิ์ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี” ประธานในที่ประชุม ดรูว์ แมคคอล เป็นผู้เปิดการประชุม

" เมื่อเดือนที่แล้ว วันที่ 30 กันยายน กองกำลังภาคพื้นทวีปได้ปลดปล่อยรัฐวัลเทอร์ มีชัยเหนือกองทัพลีโอเนียบนดินแดนของเรา ปิดโอกาสให้พวกไม่ให้พวกลีโอเนียได้มารุกรานเรา เชลยศึกชาวลีโอเนียมีที่เป็นทหารมีราวๆ 5 หมื่นกว่าคน กองกำลังลีโอเนียที่รุกรานพวกเรา ในการโจมตีครั้งแรกมีจำนวนถึง 5 หมื่น และ ภายหลังอีกจำนวนก 2 หมื่น กับ อีก 5 พัน พวกเขาเป็นทหารยอมฝีมือทั้งหมด

แต่บัดนี้พวกเขาได้พ่ายแพ้ให้กับกองกำลังภาคพื้นทวีปของชาวเรา! ถึงแม้แน่นอนว่าผู้ตายจะมีมากพอๆกัน แต่สหจักรวรรดิจะไม่สามารถส่งมาเพิ่มได้อีกแล้ว !! ต่อไป… จักรวรรดิอาเรน่า พันธมิตรของพวกเราได้ขอให้พวกเราติดต่อสหจักรวรรดิเพื่อเจรจาสันติภาพ และ อาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์ ” เขาชะงักก่อนจะหันไปมองหญิงสาวในชุดเกาะอัศวินสีขาว

มิราเบลล์ก้าวเท้ามาข้างหน้าที่ ก่อนจะเดินไปอยู่กลางห้องและยกสารขึ้นมาอ่าน

“ในฐานะพันธมิตรต่อสู้อำนาจอันไม่ชอบธรรมของสหจักรวรรดิลีโอเนีย ผู้ซึ่งกระหายในอำนาจ เรา… มิราเบลล์ เดอ ฟลอริเต้ ตัวแทนชาวแฟแลงซ์ ขอแสดงความยินดีกับชาวอาริกาเซีย และหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองทวีปจะกลายเป็น มิตรที่ดีต่อกันในวันต่อๆ ไป” สิ้นเสียงผู้แทนก็ตบมือเป็นเกียรติยกย่องนับถือ หญิงสาวผู้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของชาวแฟแลงซ์

ประธานที่ประชุมรอให้เสียงตบมือหยุดลงก่อนจะเริ่มกล่าวต่อ “ขอบคุณท่านมิราเบลล์ เดอ ฟลอริเต้” เขาชะงัก “ในส่วนต่อไป จะเป็นการรายงานต่างๆ”

ผู้แทนในแต่ละรัฐต่างยกหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง แต่ไม่จะกล่าวอย่างไรพวกเขาก็พูดในที่ประชุมมากไม่ได้เพราะว่า แขกจากต่างทวีปกำลังนั่งฟังรวมด้วย แน่นอนว่ามิราเบลล์รับรู้สึกสายตาบางคนที่มองมายังเธอ ไม่นาาวแฟแลงซ์ก็ขอแยกตัวกลับไปยังเมืองท่าบอสตัน และเตรียมตัวพักผ่อนครั้งสุดท้ายก่อนกลับบ้านเกิดของตัวเอง

ในส่วนของการปกครองอาริกาเซียนั้น มีการโต้เถียงกันอย่างมากในการยกอำนาจให้แก่รัฐบาลกลาง กลุ่มคนจากตอนใต้ต้องการให้รัฐบาลรวมศูนย์อำนาจในที่เดียว ในขณะที่ตอนเหนือต้องการในกระจายอำนาจ แม้ว่าการให้กำเนิดสมาพันธรัฐจะเกิดไปนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถแก้ไขได้ ในยุคแรกเริ่มของสาธารณรัฐถือเป็น ฐานที่สามารถแก้ไขได้ จนกว่ายุคสมัยแห่งความสงบสุขจะมาถึง การทดลองอาริกาเซียก็จะยังดำเนินต่อไปภายในใต้การเฝ้ามองและชี้นำโดยคนบางคน

ในช่วงใกล้เย็นของวัน นายทหารคนหนึ่งได้เดินเข้ามาในอาคารสภาด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด และข่าวสารที่เขานำมาด้วยนั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้แทนและประธานในที่ประชุมต้องให้ความสำคัญ มันเป็นเจรจาผ่านอุปกรณ์เวทมนตร์โดยตรงโดยไม่ใช่ใครที่ไหน เพียงแต่บางคนนั้นตกใจกับผู้อ้างตัวอยู่ฝั่งของทวีป

‘จอมพลโรแลนด์’ หรือตอนนี้อยู่ในตำแหน่ง ‘เจ้าผู้อารักขา’ (Lord Protector) แต่ที่น่าตกใจก็คือการที่เจ้าผู้อารักขากลายเป็นผู้กุมอำนาจของชาวลีโอเนียทั้งหมด แทนที่ สภาสูง ขุนนาง หรือแม้แต่ ราชวงศ์ เขารวมอำนาจกองทัพทั้งหมดของลีโอเนีย แล้วเข้ายึดสภาก่อนจะแต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้าผู้อารักขา อำนาจของชายผู้นี้ มีมากพอกับจักรพรรดิ

การเจรจาเริ่มในเมืองวอลตัน โดยผู้เจรจาทางฝั่งอาริกาเซียเป็นนายพล ดักลาส แมรี่แลนร์ ซึ่งได้รับการยืนยันอำนาจต่อรองโดยสภา และการยืนยันโดย พลโท แดเนียล ซึ่งรู้จักกับจอมพลโรแลนด์ ในห้องที่ได้ยินเพียงไม่กี่คน ดักลาส นั่งฟังเสียงของ ชายจากต่างทวีป แม้ว่าจะไม่มีภาพของใบหน้าชายผู้มีอำนาจคนใหม่ แต่เสียงของเขานั้นสามารถบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นชายที่มีอำนาจอย่างแท้จริง

“ผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นทวีป ดักลาส แมรี่แลนด์” ชายหนุ่มแนะนำตัวเองก่อนจะกล่าวต่อ “เป็นเกียรติที่ได้พบกับท่าน จอมพลสูงสุดของลีโอเนีย ผมจะเป็นตัวแทนในการเจรจา แม้ว่าการกระทำของพวกเราจะไม่น่าให้อภัย แต่เราก็หวังว่าจะสามารถก้าวข้ามความเกลียดชังที่ขัดขวางพวกเราทั้งสองดินแดนในยามสงครามนี้… และหวังว่าสงครามระหว่างสองทวีปจะจบลงด้วยสันติ…” ดักลาสกล่าวด้วยความระมัดระวัง เขาไม่รู้ว่าอีกฝั่งจะเป็นที่บ้าอำนาจแค่ไหน โดยเฉพาะผู้ทำการรัฐประหารโดยทหารอย่างอีกฝั่ง

[ มันน่าแปลกใจที่ เราต้องมานั่งเจรจากันแม้ว่ากองทัพที่ยิ่งใหญ่ของลีโอเนียยังคงสามารถต่อสู้ได้ไปอีกหลายปีจนกว่า อาริกาเซียจะกลายเป็นดินแดนที่แห้งแล้ง ] ดักลาสไม่ได้กล่าวตอบต่ออะไร ชายหนุ่มกลั้นเสียงของตัวเองและรอให้เจ้าผู้อารักขาพูดจนจบ

[ แต่ความเป็นจริง ก็ยังเป็นความเป็นจริง สงครามบนอาริกาเซียไม่สามารถเปลี่ยนเส้นทางได้อีกแล้ว เราเองก็ต้องยุติการสู้รบที่สิ้นเปลือง และเตรียมตัวสร้างลีโอเนียขึ้นมาใหม่ เราจะทำการเจรจาต่อรองในนามของลีโอเนีย และเงื่อนไขสนธิสัญญาของเรา ] ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อดักลาสก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“รวมไปถึงพันธมิตรทั้งสอง แฟแลงซ์ และอาเร่นาด้วยใช่ไหมครับ?” อุปกรณ์เวทมนตร์เงียบชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับแบบสั้นๆ [ รวมไปถึงแฟแลงซ์และอาเรน่า ]

“เงื่อนไขของเราก็คือ” ลาสหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน เขาและกลุ่มนักปฏิวัติเป็นผู้ช่วยกันจัดสรร หากชัยชนะได้มาอยู่ในมืออย่างแน่นอนแล้ว

1. สหจักรวรรดิแห่งลีโอเนีย จะต้องยอมรับการแยกตัวของอาณานิคมอาริกาเซียทั้ง 11 อย่างเป็นทางการ
2. จะไม่มีการอ้างสิทธิ์บนทวีปอาริกาเซีย ทวีปอาริกาเซีย เป็นของอาริกาเซีย อย่างเป็นทางการ
3. สภานิติบัญญัติประจำจังหวัดจะรับรองความปลอดภัยให้กับบริษัท-อุตสาหกรรม-ทรัพย์สินของสหจักรวรรดิ หากพวกเขาต้องการจะอยู่ใน ‘สมาพันธรัฐ’ ตามความต้องการของเจ้าของ
4. สภานิติบัญญัติประจำจังหวัดพร้อมที่จะแลกเชลยศึกชาวลีโอเนียทั้งหมด กลับดินแดนลีโอเนียภายใน เพียงแค่อาวุธที่ถูกใช้บนอาริกาเซียจะถูกยึดเข้ากับกองกำลังภาคพื้นทวีป
5. สัตยาบันและบังคับใช้จะเริ่มหลังการจดสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ 1 เดือนให้หลัง

อุปกรณ์เวทมนตร์เงียบอีกครั้ง แน่นอนว่าดักลาสเองก็คิดไว้เช่นนั้น เขาต้องให้เจ้าผู้อารักขาใช้เวลาคิด เงื่อนไขเช่นนี้ไม่ได้เสียงค่าปฏิกรรมสงครามนอกเสียจากส่งแลกเปลี่ยนเชลยศึก ซึ่งแน่นอนว่าดักลาสเองก็รู้ว่า ลีโอเนียต้องการกำลังทหารกลับไปช่วยสู้รบและดูแลความมั่นคงของเจ้าอารักขาในการรักษาคำสั่งของตัวเขาเอง

[ การให้อภัยอดีตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย… พวกนายกับทัพต่อต้านได้สังหารและสร้างความเสียหายให้กับสหจักรวรรดิของเรา แต่สงครามที่ทำให้ชาวลีโอเนียตายจำนวนมาก มันไม่ใช่ทางออกของลีโอเนีย แม้แต่ตัวเราเองก็จะไม่สามารถที่จะให้อภัยกับการกระทำของชาวอาริกาเซียได้ง่ายดาย การแยกตัวของอาริกาเซีย กับลีโอเนียเป็นสิ่งที่ผ่านมากแล้ว เราก็จะปล่อยมันไป แต่ว่า…

สิทธิ์ในการค้าแลกเปลี่ยนของอาริกาเซีย เราไม่ต้องการให้ยุติการค้าระหว่างลีโอและทวีปอาริกาเซีย หากเป็นไปได้ เราต้องการเงื่อนไขที่รับรองว่าการค้าระหว่างสองเราจะยังคงดำเนินได้อย่างปกติ ผู้ที่จงรักภักดีต่อสหจักรวรรดิ เราต้องการให้พวกท่านรับรองว่าพวกเขาจะสามารถกลับมายังลีโอเนียเพื่อรับใช้สหจักรวรรดิต่อไป  และ สุดท้ายเรื่องอาวุธที่ถูกยึดไป ทางเราต้องการคืน 20% เงื่อนไขเพิ่มเติมมีเพียงแค่นี้ ]

ดักลาสนั่งคิดอยู่ขณะ เขาไม่รู้ว่าโรแลนด์รับรู้แล้วหรือยังว่า นอกจากลีโอเนียแล้ว แฟแลงซ์ก็มีสิทธิ์ในการค้าขายกับอาริกาเซีย หากมีสงครามเกิดขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจ อาริกาเซียก็จะพบกับความยากลำบากในการดูแลเส้นทางเรือขนส่ง และอาจจะเจอแรงกดดันให้ยุติการแลกเปลี่ยนจากผู้ใดผู้หนึ่ง อย่างไรก็แล้วแต่ การเจรจาในครั้งนี้สำคัญยิ่งกว่าสงครามที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงไหม ดักลาสตกลงกับเงื่อนไขฝั่งลีโอเนีย

“สันติภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ อาริกาเซียยอมรับเงื่อนไขของท่านครับ” สิ้นของชายหนุ่ม สนธิสัญญาฉบับแรกของสาธารณรัฐอันเยาว์วัยก็ได้เกิดขึ้น ไม่นานหลังจากการเจรจาสงบศึก

ทุกคนบนอองโทราลก็ได้รับรู้เป็นทั่วกันว่าสงครามบนอาริกาเซียได้จบลงแล้ว อาริกาเซียเตรียมการเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคแห่งความก้าวหน้า ยุคแห่งความสงบสุข สันติภาพที่ยาวนานเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับการบาดแผลที่ยิ่งใหญ่ การรักษาและซ่อมแซมดินหลังสงครามต้องใช้เวลาที่ยาวนาน ต่อจากนี้จะเป็นงานที่หลัก แต่ชาวอาริกาเซียเองก็พร้อมที่เดินหน้าไปพร้อมกับชาติใหม่ และโผล่หัวขึ้นมาบนสนามการเมืองอำนาจแห่งอองโทราล รัฐเด็กใหม่ที่จะเปลี่ยนอองโทราลได้กำเนิดขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย แต่พวกเขาก็ต้องเรียนรู้อีกมาก


ตอนที่แล้วลืมใส่ ข้อมูล [1] ในตอนที่ 27 เจ้าค่ะ!

อาริก้า[1] : "อาริก้า" (Arika) เป็นคำเชิงล้อเลียนที่ใช้เรียกชาวอาริกาเซีย ใช้ดูถูกและเหยัยดหยามกบฏอาริกาเซีย หรือชาวอาริกาเซีย เริ่มใช้หลังสงครามสงครามปฏิวัติอาริกาเซีย และอาจจะใช้ตลอดชีวิตของชาติอาริกาเซีย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด