ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0091
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0093

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0092


บทที่ 30 อัศวินแห่งท้องฟ้า (2)

* * *

「ทำได้แค่ใส่ชุดเกราะวิบวับไปวันๆ รึไง! สมองทึบชะมัด!」

เอ็ดเวิร์ดเอาแต่ตำหนิอัศวินแห่งท้องฟ้าตลอดทางลงภูเขา

“กัปตันเคยเจออัศวินแห่งท้องฟ้ามาก่อนหรือ”

「เด็กชายที่เจ้านั่นต้องการจะปกป้อง คือตัวตนที่สร้างข้าขึ้นมา」

“อัศวินแห่งท้องฟ้าพ่ายแพ้คราเค่น และเด็กชายตายใช่ไหม? นั่นคือเหตุผลที่เขาทิ้งดาบลงในห้วงลึก?”

ดูเหมือนพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

อัศวินแห่งท้องฟ้ามี ‘ชะตากรรม’ ต้องผดุงคุณธรรม

เหมือนกับที่ชาวต่างโลกทุกคนเกิดมาพร้อมชะตากรรม

ลิลี่ครุ่นคิดเงียบงันก่อนจะมองกลับหลัง ปลายสายตาคือตำแหน่งของอัศวินแห่งท้องฟ้าที่มองไม่เห็นจากจุดปัจจุบัน

“อัศวินแห่งท้องฟ้ายังไม่ลืมเด็กชายที่เขาช่วยไว้ไม่ได้”

「สมองทึบ! ปัญญานิ่ม!」

ฉันสงสัยเกี่ยวกับเอ็ดเวิร์ดมากกว่า

ท่าทีของเขาดูกระตือรือร้นทะลุหลอดมากกว่าที่ผ่านมา

คล้ายกับไม่อยากให้อัศวินแห่งท้องฟ้าจมอยู่กับสภาพปัจจุบัน แต่ทำได้แค่โมโหเพราะไม่มีทักษะในการสื่อสาร

“แบบนี้จะไม่เป็นอะไรแน่หรือ?”

“เธอกำลังคาใจเรื่องไหน”

ลิลี่มองกลับหลังอีกครั้ง

“อัศวินเบดูอินเล่าว่า อัศวินแห่งท้องฟ้าคือความหวังเดียวในการจับคราเค่น แต่เจ้ากลับลงเขามาโดยที่ยังโน้มน้าวไม่สำเร็จ”

“คิดว่าเราจะโน้มน้าวสำเร็จหรือไง”

“ก็คงไม่ แต่ว่า…”

“เมื่อเราเริ่มสู้ อัศวินแห่งท้องฟ้าจะลงมาเอง”

ลิลี่ดึงสายตากลับก่อนจะหันมาทางฉัน

“…เจ้าแน่ใจได้ยังไง?”

“ก็ไม่แน่ใจนักหรอก”

ฉันหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ได้พบอัศวินแห่งท้องฟ้าบนยอดเขาหิมะ

อัศวินแห่งท้องฟ้าแทบไม่ละสายตาไปจากเส้นขอบฟ้า

เอาแต่จดจ้องไปทางห้วงลึก

คงกำลังนึกเสียใจอยู่

“คนอย่างเขาต้องลงมาแน่”

“กล้าพูดแบบนี้ทั้งที่ไม่มีเหตุผลรองรับ?”

“เธอเคยเห็นฉันเดาผิดสักครั้งไหม”

“ไม่… ฉันก็หงุดหงิดที่มันไม่เคยผิดเลย ปกติคนเราต้องเดาผิดสักครั้งสองครั้งไม่ใช่หรือ”

เมื่อเริ่มคุ้นชินกับความเย็นของภูเขาหิมะ เราผ่อนคลายจนสามารถพูดคุยหยอกล้อ

แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังอยากลงไปให้เร็วที่สุด ร่างกายไม่ชินกับการสวมเสื้อกันหนาวหลังจากอยู่ในทะเลทรายร้อนๆ มานาน

เดินลงได้ประมาณครึ่งวันก็มองเห็นเต็นท์

“กรร…”

เรลิกซิน่ากำลังคำรามต่ำใส่เต็นท์ด้วยท่าทีคุกคาม

ฉันเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้น

“ส…สัตว์ประหลาดนี่มันอะไร…! ม้าโลกันตร์!?”

ดูเหมือนว่าเรลิกซิน่าพยายามขัดขวางไม่ให้อัศวินหนี

“ที่ฉันบอกให้ปกป้องไม่ได้หมายถึงแบบนี้”

“กรร!”

“แต่ก็ทำได้ดีมาก”

พวกเราเข้าไปในเต็นท์เพื่อสงบใจเบดูอินที่กำลังนั่งตัวสั่น

เบดูอินที่ขาดสารอาหารและอุณหภูมิร่างกายต่ำ เอาแต่พึมพำราวกับคนบ้าทั้งที่ควรจะได้สติกลับมาสักพักแล้ว

คงสงสัยว่าเต็นท์ทำมาจากวัสดุอะไร หรือไม่ก็เข้าใจผิดคิดว่าลิลี่กับฉันเป็นนักท่องเที่ยวชนชั้นสูงจากชายขอบ…

ขณะกำลังคิดว่าอาการของเขาคงเกินเยียวยา อีกฝ่ายดึงสติกลับมาได้ทันเวลา

จากนั้นก็ก้มศีรษะคำนับฉัน และเนื่องจากไม่ใช่เต็นท์ที่กว้างอะไร ฉันจึงต้องขยับหลบเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้

“ท…ท่านคนบ้า! ท่านมาแล้วสินะ!”

ฉันเปิดปากหลังจากเห็นภาพดังกล่าว

“ลิลี่”

“…ท่านคนบ้า เรียกข้าทำไม?”

ฉันหันไปจ้องลิลี่

“เธอไปหัดนิสัยล้อเลียนมาจากใคร? ชาโซฮี?”

“ข้าซึมซับหลายสิ่งมาจากเจ้า… ก็ยังเป็นแค่เด็กนี่นา”

หัดทำตัวร้ายกาจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

หรือว่านี่คือนิสัยจริงๆ ของเธอ?

แต่จะอย่างไหนก็ไม่สำคัญ ตอนนี้ต้องให้ความสนใจกับคนหน้าแปลกตรงหน้า

“ทำไมถึงเรียกฉันว่าคนบ้า”

“ตำนานกล่าวไว้ว่า มนุษย์ผมดำผู้ช่วยฟื้นฟูความโกลาหลในทะเลทรายจะมาเยือน ต้องเป็นท่านไม่ผิดแน่!”

“มนุษย์ผมดำมีอยู่ทั่วไป ใช้หลักสังเกตแค่นี้ได้ด้วยหรือ?”

“แต่ท่านเพิ่งขึ้นไปบนยอดเขา!”

เบดูอินหนุ่มพูดพร้อมกับเงยหน้า

“มีแค่ไม่กี่คนที่ไปถึงที่นั่นได้! และอันที่จริง ไม่มีใครรู้ตำแหน่งของภูเขานอกจากกองอัศวินของเรา ท่านต้องมีญาณหยั่งรู้แน่นอน!”

เชื่อว่าคนอื่นคือวีรบุรุษง่ายๆ แบบนี้เลย?

ถ้าฉันเจ้าเล่ห์กว่านี้สักนิด เขาคงถูกหลอกไปทำอะไรต่อมิอะไร

ไม่สิ เหนือสิ่งอื่นใด…

“สวมชุดแบบนี้ขึ้นเขา ไม่แข็งตายคงจะแปลกกว่า”

เบดูอินเป็นชาวทะเลทราย ทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่ในทะเลทราย จริงอยู่ที่อากาศตอนกลางคืนค่อนข้างหนาว แต่นี่ก็ไม่ใช่ชุดที่เหมาะสำหรับการปีนภูเขาหิมะ

แม้แต่ฉันก็อยากใส่เสื้อผ้าหลายชั้นให้ตัวอุ่น แต่การลงทุนทำถึงขนาดนั้นเพียงเพื่อปีนเขา ก็ดูจะเล่นใหญ่ไปหน่อย

นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด… แต่ดูเหมือนความจริงจะต่างออกไป

“ข้าหลงเข้ามา… ถ้าผู้ที่ไร้คุณสมบัติบังเอิญหลงเข้ามาในภูเขา ทางขึ้นสู่ยอดเขาและทางลงจะไม่เปิดออก”

ลิลี่กับฉันมองหน้ากัน

ถึงภูเขาหิมะจะปีนได้ค่อนข้างยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้สักหน่อย

“ดังนั้น อัศวินแต่ละคนจึงค้นหาวิธีปีนของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่จะล้มเหลว ข้าเองก็เช่นกัน… ที่รอดมาได้ก็เพราะท่านคนบ้าช่วยไว้”

“…”

ก็คงงั้น แต่ช่างเถอะ รีบกลับเข้าประเด็นกันดีกว่า

“กองอัศวินอยากจับคราเค่นใช่ไหม”

“ใช่ คราเค่นคือภัยร้ายของทะเลทราย…”

“ถ้าอย่างนั้นก็ร่วมมือกับฉัน”

“ร่วมมือ?”

“ฉันจะจับมัน ดังนั้นพวกนายต้องไปด้วยกัน”

เห็นฉันลุกขึ้นยืน ลิลี่ที่เข้าใจภาษากายของฉัน รีบเก็บสัมภาระเข้ากระเป๋า

“…โน้มน้าวท่านวีรชนอัศวินสำเร็จไหม?”

“ไม่”

ดูเหมือนพวกเขาจะเรียกอัศวินแห่งท้องฟ้าว่าวีรชนอัศวิน

เบดูอินหนุ่มทำหน้าผิดหวังหลังจากได้ยินคำตอบ

“ถ้าโน้มน้าววีรชนอัศวินไม่สำเร็จ พวกเราไม่มีทางจัดการกับคราเค่นได้”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“ท่านคงเคยเห็นอสูรนั่นแล้ว… มันคือสัตว์ประหลาด เป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่ไม่ควรดำรงอยู่ มีเพียงดาบของวีรชนอัศวินเท่านั้นที่สามารถฟันวิญญาณชั่วของสัตว์ประหลาดนั่น”

“แต่นายบอกว่า ฉันคือผู้มาเยือนที่จะฟื้นฟูความโกลาหลของทะเลทราย”

ดูเหมือนเบดูอินจะตระหนักได้ว่า คำพูดของตนขัดแย้งกันเอง

หลังจากอ้ำอึ้งครู่หนึ่ง เขาหาเหตุผลมารองรับ

“เอ่อ… ข้าคิดว่า… ท่านคงเป็นคนเดียวที่จะโน้มน้าววีรชนอัศวินสำเร็จ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อใจฉัน เรื่องนั้นจะเกิดขึ้นแน่”

“…”

เบดูอินจ้องหน้าฉันก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ข้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว พร้อมออกเดินทาง”

ฉันยิ้มและพยักหน้ารับ เบดูอินเดินออกจากเต็นท์

ลิลี่ที่ยืนฟังจากด้านข้าง จ้องหน้าฉันด้วยความกังวล

“ถ้าไม่สำเร็จ เจ้าจะทำยังไง”

“เรื่องไหน”

“ตอนนี้ยังไม่มีหลักประกันว่าเราจะจับคราเค่นได้ ทำไมเจ้าถึงได้มั่นอกมั่นใจนัก”

“จับไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”

“เจ้าทำให้พวกเขาคาดหวังไปแล้ว… จะทำยังไงถ้าล้มเหลวและถูกพวกเขาตีตราว่าเป็นนักต้มตุ๋น?”

“ก็หนีสิ ไม่เห็นยาก”

“…”

ลิลี่ทำหน้าบิดเบี้ยวพลางจ้องฉันโดยไม่พูดอะไร

“…นั่นมุกใช่ไหม”

“ครึ่งหนึ่ง”

จริงครึ่งมุกครึ่ง

“ฉันจะทำให้ดีที่สุด แต่ไม่จำเป็นต้องนำผลลัพธ์มากดดันตัวเอง”

ถ้าจิตใจแบกรับภาระเกินกว่าความจำเป็น ความกลัวจะเพิ่มขึ้นจนไม่กล้าลองทำ ส่งผลให้ก้าวแรกหนักขึ้นมาก

หากเป็นแบบนั้น คนเราจะกลัวทุกสิ่งจนเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง

ในหลายสถานการณ์ ต้องมีมุมที่กล้าได้กล้าเสียบ้าง

ได้ยินเช่นนั้น ลิลี่ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด

“ข้าอยากให้อัศวินแห่งท้องฟ้าได้ฟังประโยคเมื่อครู่”

ฉันเห็นด้วยในบางมุม

แต่ก็มีมุมที่ไม่ควรพูดออกไป

ความรู้สึกผิดในใจอัศวินแห่งท้องฟ้า คือปัญหาที่เขาต้องแก้ไขด้วยตัวเอง

“เขาจะผ่านมันไปได้”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“สัญชาตญาณ”

“ข้าไม่น่าถาม”

พวกเรารีบเก็บข้าวของและพาเบดูอินขึ้นหลังเรลิกซิน่า ตอนแรกเขาดูกลัวไฟสีฟ้า แต่เมื่อพบว่ามันไม่ร้อนก็เอาแต่ลูบไล้ด้วยความสงสัย

เมื่อยืนยันว่าเบดูอินที่ปีนขึ้นมานั่งด้านหลังลิลี่ อยู่ในสภาพพร้อมออกตัว

“ลุย!”

“อ…อ๊าาา!”

ด้วยความเร่ง

เรลิกซิน่าวิ่งเร็วจนฉันรู้สึกว่าเกล็ดหิมะที่ปลิวปะทะใบหน้า คมกริบยังกับสว่าน

เพียงพริบตาก็มาถึงหาดทราย

ลมที่พัดจากสุดเขตทะเลทรายและสุดเขตภูเขาหิมะ ต่างมอบความรู้สึกพิเศษ

สายลมที่ร้อนขึ้นเพราะดวงอาทิตย์ และสายลมเย็นๆ ผสมผสานกันเป็นเกลียวคล้ายกำลังพัวพันต่อสู้

ประหนึ่งนมกับกาแฟที่กำลังผสมกันในแก้ว

เบดูอินเปิดปากพูดเมื่อเห็นเรือของเอ็ดเวิร์ดจอดอยู่ตรงท่า

“อาวุธนั่น…”

“ชื่อว่าอะไรแล้วนะ หอก…”

“หอกพิฆาตสัตว์ร้าย”

เบดูอินพยักหน้าให้กับลิลี่ด้านข้าง

“…ได้ยินว่าถูกกลุ่มโจรกาซุนขโมยไป”

“ฉันเก็บมาได้ระหว่างทางน่ะ”

“หา?”

“ไปกันเถอะ”

อัศวินฝึกหัดเอียงคอฉงนอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

พวกเราขึ้นเรือและเริ่มออกเดินทางตามคำบอกเล่าของอัศวิน

ผ่านไปหนึ่งคืน เมื่อพระอาทิตย์ดวงแรกผงาดขึ้นในเช้าวันถัดมา พวกเรามาถึงฐานที่มั่นของกองอัศวิน

ลักษณะเป็น ‘ยานแม่’ ลำยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือทราย

รูปลักษณ์ใกล้เคียงฐานทัพ แต่แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งนี้สามารถ ‘เดินเครื่อง’

ทันทีที่ฐานทัพปรากฏขึ้นในการมองเห็น ลิลี่เอาแต่ยืนจับราวและชำเลืองมอง

เธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ฉันรู้ว่าเด็กคนนี้มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น

“…สุดยอด”

ขณะเรือแล่นเข้าใกล้ ลิลี่ยังคงเพ่งมองฐานทัพของกองอัศวินเบดูอิน โดยไม่สนใจฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจาย

“ฐานทัพของกองอัศวินเหยี่ยวแดง”

“…สภาพไม่ค่อยดีเลยนะ”

“ดูออกสินะ”

ได้ยินคำพูดฉัน ลิลี่เพ่งสายตาสักพักก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

“มีเรือแค่สามลำ”

“หลังจากคราเค่นเริ่มส่งอิทธิพลบนผืนทราย เส้นทางการค้าส่วนใหญ่ของพวกเราถูกตัดขาด ประจวบเหมาะกับจังหวะที่กองโจรมนุษย์ปลาเริ่มเหิมเกริมพอดี”

เสบียงเริ่มขาดแคลน ขณะเดียวกันก็สูญเสียกำลังคนไปเรื่อยๆ

“เมื่อราวยี่สิบปีก่อน สมัยที่คราเค่นเพิ่งปรากฏตัว มันสงบเสงี่ยมกว่านี้มาก แต่จู่ๆ ก็เริ่มอาละวาดหนักเมื่อสามปีก่อน…”

“สามปีก่อน?”

ฉันนึกขึ้นได้ทันที

วิดีโอที่ถูกบันทึกไว้ในสมาร์ตโฟนเครื่องนั้น

วิดีโอที่ถ่ายจากโดรน ซึ่งช่วยให้ฉันรู้ว่ามีทะเลทรายแห่งนี้อยู่

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนไม่ใช่หรือ

“…”

โดรนที่บินบนท้องฟ้าต้องมีเสียงแหลมแน่ ฉันไม่เชื่อว่าโดรนตัวเล็กๆ จะบินสูงขนาดนั้นได้

และสิ่งมีชีวิตในต่างโลก อ่อนไหวต่อสิ่งแปลกปลอมเป็นพิเศษ

ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยความไม่ปกติ ไม่มีทางเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

กำลังจะบอกว่า โดรนที่ชาวโลกส่งมา ไปกระตุ้นให้คราเค่นโมโห?

ฉันไม่มั่นใจ จึงหยุดความคิดนั้นไปก่อน พวกเราเดิมตามอัศวินเบดูอินเข้าไปในภูเขาลูกหลัก

* * *

ณ ฐานทัพใหญ่ของกองอัศวินเหยี่ยวแดง ห้องหัวหน้า

เดิมที ห้องนี้ถูกสร้างให้อัศวินแห่งท้องฟ้าใช้งาน แต่อัศวินแห่งท้องฟ้าไม่เคยคิดจะเป็นผู้นำกองอัศวิน

ในทางการ ผู้นำของกองอัศวินเหยี่ยวแดง คืออัศวินแห่งท้องฟ้า

แต่ในความเป็นจริง นี่ไม่ใช่หน่วยที่อัศวินแห่งท้องฟ้าก่อตั้งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการทำตามอำเภอใจของเหล่าผู้ติดตาม

เมื่อกองอัศวินไร้ผู้นำ เป็นธรรมดาที่ต้องมีผู้นำชั่วคราว

ใบหน้าแก่ชราซึ่งมีหนวดเคราดกหนา ดูไม่เหมือนเบดูอินสักเท่าไร

หนามแหลมหลังมือหักทั้งหมด บ่งบอกว่ากรำศึกมาหนักแค่ไหน

ผู้นำชั่วคราวของกองอัศวินเหยี่ยวแดง การ์ล·ชีราฮิลล์ มองไปทางหนึ่งมนุษย์หนึ่งแวมไพร์ที่เดินเข้ามาด้วยมาดอาจหาญ

“หืม…”

มนุษย์ที่จู่ๆ ก็ชวนไปโค่นคราเค่น

อัศวินฝึกหัดยืนกรานว่าชายคนนี้คือ ‘คนบ้า’ ที่ถูกกล่าวถึงในคำทำนายของดารากร

“จากที่เด็กใหม่รายงาน เจ้าค้นพบภูเขาหิมะด้วยตัวเองและสามารถไปถึงยอดสินะ… น่าทึ่งมาก”

อย่างไรก็ดี ชีราฮิลล์ไม่เชื่อในตำนานคนบ้า

นั่นเพราะเขาไม่ค่อยสนใจดารากรที่ชื่อ ‘วิลสัน ผู้พเนจรแห่งผืนนภา’ สักเท่าไร

มีเหตุผลง่ายๆ ที่เขาไม่ปักใจเชื่อคำทำนายของดารากร

เพราะตระกูลชีราฮิลล์ได้รับความคุ้มครองจากดารากรจากรุ่นสู่รุ่น

ส่งผลให้ไม่สนใจคำนำทายของดารากรตนอื่น

การ์ล·ชีราฮิลล์จ้องหน้ามนุษย์

“…แต่ถ้าทวงคืนดาบของวีรชนอัศวินไม่สำเร็จ คงยากที่จะจับคราเค่นได้”

“นี่… คุณหัวหน้า”

มนุษย์ผมดำมิได้หวั่นเกรงสายตาของอีกฝ่าย

ลำพังเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้ชีราฮีลล์รู้สึกทึ่ง

ไม่อยากเชื่อว่ามนุษย์ที่เกิดมาอ่อนแอท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จะไม่ถูกข่มขวัญด้วยสายตาของนักรบทะเลทรายอย่างตน

“มีอะไร”

“ถ้าคราเค่นยังไม่ถูกจับ ทะเลทรายจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

“…”

มันตอบไม่ได้

อันที่จริง ทะเลทรายมาถึงขีดจำกัดนานแล้ว คราเค่นได้ทำลายเส้นทางการค้าสามแห่งที่สำคัญที่สุด

สำหรับชาวเบดูอินที่พึ่งพาการค้าเพื่อดำรงชีวิต สถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างวิกฤติ

ถึงจุดที่ไม่รู้จะอยู่ได้อีกสักครึ่งปีไหม

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ลองเสี่ยงกับฉันล่ะ”

“แต่พวกเราไม่มีวิธี…”

ทันใดนั้น ลูกน้องที่ถูกส่งออกไปตรวจสอบ รีบวิ่งหน้าตาตื่นกลับเข้ามา

“ท่านหัวหน้าชั่วคราว! เด็กใหม่พูดจริง! บนเรือที่มนุษย์โดยสารมามีอุปกรณ์พิฆาตสัตว์ร้าย”

สมบัติล้ำค่าที่สร้างโดยอาณาจักรอุตสาหกรรมทางใต้เพื่อโค่นคราเค่น

“ไม่ใช่ของปลอมแน่นะ? ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดหรือยัง”

“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าของที่มีคุณภาพระดับนี้ไม่น่าจะปลอม”

การ์ล·ชีราฮิลล์ลูบเคราตามความเคยชิน พลางครุ่นคิดขณะใช้มือจับปมที่ขมวดไว้

หอกพิฆาตสัตว์ร้ายถูกปล้นไปโดยกองโจรมนุษย์ปลากาซุน

กองอัศวินเหยี่ยวแดงเคยทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อจะชิงคืน

แต่จู่ๆ หอกพิฆาตสัตว์ร้ายก็ถูกเชื่อมติดกับเรือของมนุษย์

“…ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

แต่ก็ไม่จำเป็นต้องคิดลึกไปกว่านี้

“ที่เจ้าพูดมามีก็เหตุผล… แต่ข้าไม่อยากฝากฝังชะตากรรมไว้กับคนที่เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก เพียงเพราะอีกฝ่ายคือบุคคลในคำทำนาย… เฮ้ย!”

“ครับ!”

“เอาจอกน้ำมนต์มา!”

ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง ลูกน้องรีบนำจอกใบใหญ่มาวาง

ในจอกบรรจุสิ่งที่มีค่าที่สุดในทะเลทราย

น้ำสะอาด

“ฟังนะ”

ชีราฮีลล์ลุกจากที่นั่งและใช้มือสัมผัสกับจอกใบใหญ่บนโต๊ะ

ทันใดนั้น แสงเล็กๆ สว่างขึ้นจากน้ำ

“จอกใบนี้คือสมบัติที่สามารถตรวจสอบได้ว่า อีกฝ่ายได้รับการอวยพรจากดารากรหรือไม่”

“หืม”

มนุษย์หันพูดกับแวมไพร์ข้างๆ

“อาณาจักรของเธอมีอะไรแบบนี้ไหม”

“มี”

“เจ๋งดีนะ”

“หึ”

ชีราฮิลล์หยุดรอสักพักก่อนจะพูดต่อ

“ถ้าคิดจะทำการใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องได้รับความคุ้มครองจากดารากร ถ้าเจ้ามีดารากรคอยปกป้องจริง ข้าจะยอมฟังข้อเสนอ เริ่มจากแม่หนูแวมไพร์ก่อน”

ลิลี่ยืนมองสักพัก จากนั้นก็ใช้มือสัมผัสน้ำบนจอก

ดาวดวงเล็กๆ สว่างขึ้นเหมือนกับที่ชีราฮิลล์แสดงให้เห็น

“คงเป็นรอยัลบลัดสินะ”

“อา”

“ขอถามได้ไหมว่าเป็นคนของตระกูลใด? ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีรอยัลบลัดออกพเนจร”

“…”

ลิลี่ไม่ตอบ ชีราฮิลล์มองไปทางมนุษย์ผมดำ

“ตาเจ้าแล้ว”

มนุษย์เอาแต่ยืนจ้องจอกโดยไม่ขยับเป็นเวลานาน

ชีราฮิลล์คิดในใจ ‘ก็คงอย่างนั้น’

ไม่ว่าดารากรจะมีบารมีสูงส่งเพียงใด แต่ก็ยังต่ำต้อยหากเทียบกับเทพ

เป็นธรรมดาที่ดารากรจะหวาดกลัวเทวราชา หรือพูดง่ายๆ ว่า ‘เกรงใจ’

จึงไม่มีดารากรตนใดกล้าคุ้มครองเผ่าพันธุ์ที่ถูกเก้าเทพทอดทิ้ง

เว้นเสียแต่จะเป็นดารากรที่เพิ่งขึ้นสวรรค์

มนุษย์ยืนมองสักพักก่อนจะวางมือลงไป

“…?”

ชีราฮิลล์รีบใช้มือปิดตาตามสัญชาตญาณ

ซู่ว!

แหล่งกำเนิดแสงสีแดง ซึ่งทรงพลังมากพอจะถูกเรียกว่า ‘เสาลำแสง’ ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ

“…เป็นไปไม่ได้”

ยังไม่จบแค่นั้น ถัดมาเป็นแหล่งกำเนิดแสงสีฟ้า

มันดูสงบนิ่งและเยือกเย็น แตกต่างจากแสงสีแดงเมื่อครู่

ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่หน้าตาหรือความอลังการ

มนุษย์… ได้รับการคุมครองจากดารากร… แถมยังมากถึงสอง?

ทันใดนั้น

เสาลำแสงเส้นเล็กๆ จำนวนมากสว่างขึ้นจากผิวน้ำ

หลายร้อย หรืออาจจะหลายพัน

นี่มิได้หมายถึงความคุ้มครอง

แต่หมายความว่าเหล่าดารากร ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของมนุษย์ผู้นี้

หลังจากกลุ่มเส้นแสงส่งเสียงแผ่วเบาอยู่สักพัก ความเงียบเข้าครอบงำห้องทำงาน

“…เจ้าเป็นใครกันแน่”

“จะไปจับคราเค่นกันได้หรือยัง”

ดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่แยแสสถานการณ์ที่ตนเพิ่งสร้างขึ้น

ตรงกันข้าม สีหน้าของเขาออกไปทางรำคาญ

* * *

อัศวินแห่งท้องฟ้ายังคงเฝ้ามองห้วงลึก

ครืน—!

หนวดรยางค์ขนาดมหึมาของคราเค่นผงาดสูงเท่าภูเขาหิมะ

โครม!!

ทะเลทรายสั่นสะเทือนหนักหน่วง อีกฝ่ายแค่ขยับตัวธรรมดา แต่มาก็พอจะสร้างสึนามิทรายลูกใหญ่

คราเค่นเคลื่อนไหวบ่อยครั้งในช่วงสองปีที่ผ่านมา หรือว่ามันคิดจะออกจากห้วงลึก?

อัศวินแห่งท้องฟ้าใคร่ครวญ หากมันขึ้นมาจริง ทะเลทรายคงเกิดวิกฤติแน่

อย่างไรก็ดี อัศวินแห่งท้องฟ้ายังคงเอาแต่มองห้วงลึก

จริงอยู่ คราเค่นกำลังจะกลายเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่

นี่อาจหมายถึงจุดจบของเหล่าผู้ที่เชื่อและติดตามตน

ทว่า

ต่อให้ตนเคลื่อนไหว แต่จะหยุดคราเค่นได้จริงหรือ?

เคยพ่ายแพ้ไปแล้วหนหนึ่ง แถมยังต้องเห็นเด็กชายที่เชื่อใจตน เสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา

ในตอนนั้น หากอัศวินแห่งท้องฟ้าไม่พุ่งเข้าใส่คราเค่น หากเด็กชายไม่เกิดความฮึกเหิม แต่เลือกที่จะหนีจากคราเค่นด้วยความกลัว

บางทีเขาคงรอด

อัศวินแห่งท้องฟ้าจ้องหนวดรยางค์อันหยาบกร้านของคราเค่นหดกลับเข้าไปในห้วงลึก

ถ้าตนพ่ายแพ้อีกครั้งล่ะ?

จะแบกรับความรู้สึกนั้นไหวไหม

ไม่มีใครตอบได้

มังกรเพียงตัวเดียวที่ยังเหลืออยู่บนโลก นิรันดร์ชนผู้อาศัยบนเกาะท้องฟ้า ถ้าเป็นเขาจะตัดสินใจอย่างไร?

นิรันดร์ชนจะเชื่อในคำโอ้อวดของมนุษย์และเริ่มเคลื่อนไหวหรือไม่

ไม่มีใครตอบได้

แต่หนึ่งสิ่งที่แน่ชัดก็คือ เขาเริ่มอยากรู้อยากเห็น

เขาสัมผัสถึงความพิเศษจากมนุษย์คนนั้น แตกต่างจากเหล่าคนโอ้อวดที่ผ่านมา

มนุษย์คนนั้นมีเป้าหมายในการท้าทายคราเค่นจริงๆ

จึงอยากรู้

มนุษย์คนนั้นเชื่อในสิ่งใด?

ในท้ายที่สุด ความอยากรู้อันแรงกล้าได้ทำให้ขาของเขาขยับ

ขาที่ไม่เคยเคลื่อนไหวตามคำโน้มน้าวของใครมาก่อน

เป็นครั้งแรกที่อัศวินย่างกรายไปตามเส้นทางบนภูเขาหิมะ

ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แค่เดินตามรอยเท้าที่มนุษย์ทิ้งไว้ก็พอ

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (1/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด