ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0090
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0092

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0091


บทที่ 30 อัศวินแห่งท้องฟ้า (1)

* * *

ครืด! ครืด!

ขณะตักหิมะด้วยพลั่ว ฉันสัมผัสได้ว่า อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างต่อเนื่องทั้งที่กำลังสวมเสื้อกันหนาว

ตอนนี้ศิลาสุริยันอยู่ที่เด็กหนุ่มชาวเบดูอิน เราจึงต้องรีบสร้างที่พักโดยเร็ว

“ไม่อยากเชื่อว่าจะมีที่แบบนี้อยู่กลางทะเลทราย”

“เข้ามาได้ง่ายๆ ก็จริง แต่ปัญหาคือเราไม่รู้อะไรเลย… นี่มันภูเขาบ้าอะไรกัน”

ฉันเห็นด้วยกับคำบ่นของลิลี่

เดิมที พวกเราเคยอยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามโดยไม่มีแม้แต่จุดสีขาว เพียงแล่นเรือไปเรื่อยเปื่อย

หลังจากได้ยินว่า ภูเขาหิมะเป็นดินแดนพิเศษซึ่งจะไปถึงได้โดยการนำทางของดารากรเท่านั้น เราจึงแล่นเรือไปตรงๆ โดยไม่คิดอะไร

แต่ทันใดนั้น

แปะ!

ลูกโป่งสีแดงตกจากท้องฟ้าใส่แขนของฉัน

หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย

เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง เรือโจรสลัดกำลังจอดเทียบเท่าพร้อมทอดสมออยู่ตรงเชิงเขาหิมะ

「นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…」

เรื่องราวชวนให้ตกตะลึงจนแม้แต่เอ็ดเวิร์ดก็ยังทึ่ง

ภูเขาหิมะเยือกแข็งใจกลางทะเลทราย

เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้ชื่อ ‘ภูเขาหิมะที่ไม่ควรดำรงอยู่’

ฟ้าว!

ความว้าวุ่นใจจบลงแค่นี้

หิมะที่กองสุมเป็นเวลานานถูกตักทิ้งอย่างรวดเร็ว หน้าดินถูกปรับแต่งอย่างเหมาะสม จนในที่สุดเราก็สามารถกางเต็นท์

“โมห์ส mohs”

เตาไฟถูกวางไว้หน้าทางเข้าเต็นท์ การทำแบบนี้จะช่วยให้ลมที่พัดเข้ามาอุ่นขึ้นเล็กน้อย

เพียงเท่านี้ก็ค้างได้ต่ำๆ หนึ่งคืน

หลังจากวางเบดูอินที่หมดสติลงไป พวกเราได้พักหายใจหายคอกันสักที

ฟ้าว! พรึบ! พรึบ!

เสียงสายลมอันเกรี้ยวกราดดังขึ้นเป็นระยะ

เสียงเต็นท์พัดกระพือเพราะแรงลม ฟังดูคล้ายกับเหยี่ยวกำลังกระพือปีก

ลิลี่นั่งยองข้างๆ เบดูอินที่กำลังนอนหมดสติ

อาจเพราะเธอรู้สึกดีขึ้นหลังจากได้พักผ่อน ลิลี่ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเปิดปาก

“ทำไมเจ้าถึงมาที่ภูเขาหิมะ”

“ถามทำไม”

“เจ้าออกเดินทางเพราะต้องการไปห้วงลึกไม่ใช่หรือ”

หงึก

ฉันพยักหน้ารับพลางจัดของ

“ทำไมถึงไม่ตามเบดูอินไปที่หมู่บ้านเพื่อรวบรวมคน? พวกเขารู้จักคราเค่นดีกว่าเรา แถมยังมีจุดประสงค์เดียวกัน น่าจะยอมช่วยโดยสมัครใจ”

“เรื่องนั้น…”

คำถามของลิลี่ฟังขึ้น

ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างเต็นท์ หิมะหนาแน่นจนแทบไม่เห็นทิวทัศน์ด้านนอก

หัวหน้าอัศวินผู้ทิ้งดาบและเอาแต่เก็บตัวเงียบบนภูเขา

หลายสิบปีแล้วที่เหล่าอัศวินหนุ่มถูกส่งขึ้นไปเพื่อโน้มน้าว

เรื่องราวอาจฟังดูน่าทึ่ง แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเป้าหมายของฉัน

ทว่า ฉันไม่คิดแบบนั้น

“สถานที่ที่อัศวินคนนั้นทิ้งดาบ คือห้วงลึกที่คราเค่นอาศัยอยู่ใช่ไหม”

“ใช่”

“วีรชนอัศวินคนนั้น คืออัศวินแห่งท้องฟ้าใช่ไหม”

ลิลี่ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเสริมเชิงเห็นด้วย

“ช่วงเวลาก็ตรงกัน เมื่อราวหนึ่งร้อยปีก่อน อัศวินแห่งท้องฟ้าได้สังหารมหาจักรพรรดิและมุ่งหน้ามาทางตะวันออก”

ฉันพยักหน้ารับ นั่นคือช่วงเวลาเดียวกับที่วีรชนอัศวินปรากฏตัวในทะเลทราย

บุคคลที่กำลังรออยู่บนยอดเขา จะต้องเป็นอัศวินแห่งท้องฟ้าแน่นอน

คำถามเริ่มจากตรงนี้

“ถ้าอัศวินแห่งท้องฟ้าคือวีรชนแห่งความยุติธรรม ผู้ทิ้งดาบไว้ในห้วงลึกและเก็บตัวเงียบอยู่บนภูเขาหิมะ… ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น?”

ลิลี่ใคร่ครวญเป็นเวลานาน

“ผิดหวังกับบางสิ่ง?”

“อาจเป็นไปได้ คำถามถัดไปก็คือ ผิดหวังจากอะไร?”

ลิลี่จมอยู่กับความคิดอีกครั้ง แต่หนนี้ไม่พบคำตอบที่เหมาะสม

ฉันนำเข็มชี้ทองคำออกมายื่นให้ลิลี่

ทิศทางของสมบัติชี้ไปยังห้วงลึก

และถ้าตะแคงเข็มชี้จะเห็นว่าอยู่ลึกลงไป — ใต้ดิน

“ดาบที่อัศวินแห่งท้องฟ้าโยนลงไปในห้วงลึก มีโอกาสสูงที่จะเป็นสมบัติทองคำ”

“…เป็นไปได้ ไม่สิ ต้องใช่แน่”

ฉันคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ได้ยินตำนานโยนดาบลงห้วงลึกแล้ว

สมบัติทองคำชิ้นถัดไปคือดาบของอัศวินแห่งท้องฟ้า

หลังจากเผชิญหน้ากับคราเค่น อัศวินแห่งท้องฟ้าตัดสินใจโยนดาบลงไปในห้วงลึก

“นั่นคือเหตุผลที่เจ้ามาที่นี่ก่อน…”

“อัศวินแห่งท้องฟ้าต้องรู้จักคราเค่นแน่ เขาไม่มีทางโยนดาบลงไปในห้วงลึกโดยไม่เจอตัวมัน”

“ท่านวีรชนอัศวิน เขา…”

เบดูอินที่นอนหมดสติ ครวญครางละเมอ

“เขาคือ… ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของทะเลทราย”

“ความหวังเพียงหนึ่งเดียว? ความหวังแบบไหน?”

“ความหวังเดียวที่สามารถ… ยับยั้งมิให้อสุรกายในห้วงลึกย่างกรายออกมา… หากปราศจากดาบของท่าน ปราศจากบารมีของท่าน คงไม่มีใครในทะเลทรายที่หยุดมันได้…”

นั่นคือคำพูดของเบดูอินหนุ่ม

แต่ผู้ที่ยอมไม่เคลื่อนไหว จะเป็นความหวังได้อย่างไร?

ฉันลุกขึ้นยืนพลางครุ่นคิด

“เรลิกซิน่า”

“กรร…?”

เรลิกซิน่าที่กำลังสัปหงกอยู่ด้านนอก หันหัวมาทางเต็นท์ ฉันแง้มทางเข้าเล็กน้อยและยื่นหน้าออกไปคุย

“ฉันจะขึ้นไปบนยอดเขา อาจต้องใช้เวลาหลายวัน ระหว่างนั้นช่วยปกป้องชายคนนี้ด้วย”

“กรร…”

“เขาจะไม่ตกใจเอาหรือ ถ้าตื่นมาแล้วเจอม้าติดไฟยืนเฝ้าหน้าทางเข้า?”

“ต้องตกใจแน่ แต่ถ้าไม่อยากแข็งตายก็ควรสงบสติให้ได้”

“พูดง่ายจังนะ… แต่ที่ว่ามาก็ถูก”

ฉันหัวเราะ จากนั้นก็หยิบอาหารบางส่วนจากกระเป๋ามาวางในเต็นท์ ปิดท้ายด้วยการสวมเสื้อกันหนาว

ลิลี่เดินตามออกมาโดยไม่พูดอะไร

เนื่องจากเบดูอินหนุ่มพ้นขีดอันตรายแล้ว ฉันจึงนำศิลาสุริยันมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวเอง

พวกเราพยายามไต่ภูเขาหิมะ แต่ก็ไม่ง่ายเลยเพราะหิมะกองสุมเป็นชั้นหนา

ผ่านไปสักพัก ฉันตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยการอัญเชิญคันศรนักพเนจร

จากนั้นก็ยิงลูกศรเชือกหัวตะขอขึ้นไป

เคร้ง!

การเดินขึ้นเขาง่ายขึ้นมากเมื่อมีเชือกยึด

ลิลี่ที่ตั้งใจเดินตามมาสักพัก เอ่ยปากถาม

“ข้าสงสัย”

“เรื่อง?”

“ทำไมเจ้าถึงไม่ขี่เรลิกซิน่าขึ้นมา”

“ควรปล่อยให้เบดูอินคนนั้นอยู่คนเดียว?”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ คงไม่มีตัวอะไรโผล่มาโจมตีสักหน่อย”

ก็ไม่ผิด

แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มีเหตุผล

“ฉันอยากรู้น่ะ”

“เรื่อง?”

“อัศวินแห่งท้องฟ้ารู้สึกอย่างไรในตอนที่ปีนเขาหิมะลูกนี้”

“…เจ้าทรมานตัวเองเพียงเพราะเหตุผลแค่นี้?”

“ประสบการณ์ไม่ใช่ความทรมาน”

ลิลี่จ้องฉันจากด้านข้าง ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า

“ข้าคิดมาตลอดว่าสมองของเจ้าคงไม่ปรกติ”

“ฉันก็เริ่มคิดแล้วเหมือนกัน”

“เพิ่งเริ่มคิด?”

พวกเรายังคงเยือกเย็นแม้จะอยู่ท่ามกลางพายุหิมะหนาวเหน็บ

ถ้ายังยิ้มออก แปลว่านั่นไม่ใช่ความทุกข์ แต่เป็นประสบการณ์

ฉันเรียนรู้สัจธรรมข้อนี้มาจากชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายบนโลก

สมัยที่ฉันเคยท้อแท้ ชายปริศนาคนหนึ่งบอกเหตุผลที่ฉันไม่ควรล้มเลิกการสำรวจ

***

เมื่อเริ่มเหนื่อย พวกเราจะขุดหิมะและซุกตัวในถุงนอน พอมีแรงก็กลับมาเดินต่อ

รู้ตัวอีกที เมฆดำหายไปจากท้องฟ้าแล้ว เหลือเพียงผืนนภาสีเขียวคราม

แต่พายุหิมะที่ไม่ทราบต้นตอยังคงไล่ล่าพวกเราโดยไม่ลดละ

กลับกัน ลิลี่เริ่มคล่องตัวกว่าฉัน

“บ้านเกิดของข้าก็เป็นภูเขาหิมะ”

“เมืองที่ฉันอยู่ก็หนาวเหมือนกัน”

“แต่เจ้าเป็นมนุษย์ แวมไพร์ต้านทานความหนาวเย็นได้ดีตั้งแต่เกิด”

“…เกิดเป็นมนุษย์นี่เสียเปรียบจังเลยนะ”

บางครั้งฉันก็อิจฉาเผ่าพันธุ์ในต่างโลกที่มีความพิเศษตั้งแต่เกิด

จะรู้สึกยังไงกันนะ?

ผ่านไปกี่วันแล้ว?

ถึงจุดที่ฉันเริ่มกังวลกับเสบียง

แต่ไม่นานก็มองเห็นยอดเขา

ยอดเขามีลักษณะเป็นรอยตัดคมกริบ พื้นเรียบจนมองเห็นหน้าผาสูงอีกฝั่งได้จากตรงนี้

งดงามมาก

หนึ่งในสองดวงอาทิตย์กำลังลอยอยู่เหนือยอดเขาพอดิบพอดี

ริมหน้าผาอีกฝั่งมีอัศวินคนหนึ่งยืนอยู่

บนแผ่นหลังมีปีกหนึ่งคู่

“…เคยอ่านเจอแต่ในนิทาน”

ลิลี่เองก็ทึ่งกับทิวทัศน์ เอาแต่ยืนชื่นชมความงดงามเป็นเวลานาน

พวกเราจ้องอยู่สักพัก

ดูเหมือนว่าอัศวินแห่งท้องฟ้าจะไม่สนใจเรา หรืออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนอยู่ตรงนี้ เพียงมองลงจากหน้าผาโดยไม่เบือนหน้าไปไหน

“…รอยเท้า”

มีรอยเท้าเส้นหนึ่งเดินเข้าไปหาอัศวินแห่งท้องฟ้า

คงเป็นของเบดูอินหนุ่มที่ได้พบระหว่างทาง

ฉันจ้องบุคคลดังกล่าวครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งแรงไปที่ขาเพื่อก้าวเดิน

เมื่อเข้าไปใกล้จึงเริ่มเห็น

ปีกของอัศวินหักไปหนึ่งข้าง

* * *

มีอัศวินมากมายมาเยือนที่นี่และพยายามโน้มน้าว แต่อัศวินแห่งท้องฟ้าก็ลงไปไม่ได้ เพราะยังมิอาจหาคำตอบของสิ่งที่ตนกำลังกลัดกลุ้ม

ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าเขาจะรู้ว่า สิ่งที่คอยกวนใจไม่ใช่ความกลัดกลุ้ม หากแต่เป็นความรู้สึกผิดและความเจ็บปวด

เขาไม่รู้วิธีควบคุม ‘หัวใจ’ ที่กำลังเดือดพล่าน

เพราะเขาเกิดมาโดยไม่มีหัวใจ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน คงเป็นอัศวินหนุ่มจากกองอัศวินเหมือนทุกที

“ฉันจะจับคราเค่น ถึงจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่ได้ยินว่าพลังของนายคือสิ่งจำเป็น”

อัศวินแห่งท้องฟ้าเริ่มพบความผิดปรกติ

เสียงของผู้มาเยือนโดยมากมักสั่นเทา เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว เจ็บปวด และสิ้นหวังที่เขาไม่ทราบเหตุผล

ทว่า เสียงรอบนี้แตกต่างออกไปชัดเจน

ปราศจากความสิ้นหวังหรือหวาดกลัว คล้ายกับกำลังชวนเพื่อนไปเที่ยว เป็นเสียงที่จะได้ยินเฉพาะในวงเหล้า

ทั้งที่จดจำวันเก่าๆ ไม่ได้ แต่อัศวินแห่งท้องฟ้ากลับรู้สึกว่าตนเคยมีช่วงเวลาแบบนั้น แปลกมากจริงๆ

นับตั้งแต่ขึ้นมาบนภูเขา บางทีนี่อาจเป็นการหันหลังกลับครั้งแรกของอัศวินแห่งท้องฟ้า

“…”

คนที่มาหาตนไม่ใช่อัศวิน

แต่เป็นมนุษย์ผมดำ และแวมไพร์ตาแดง

คังซอนฮูมองเข้าไปในหมวกเหล็กของอัศวินโดยไม่พูดอะไร

ลิลี่มองสลับไปมาระหว่างคังซอนฮูกับอัศวินด้วยแววตาสับสน

อัศวินแห่งท้องฟ้าประสานสายตากับคังซอนฮูด้วยความเงียบงัน

ด้านในหมวกเหล็กมืดผิดปรกติ ชายหนุ่มจึงมองไม่เห็นดวงตาของอีกฝ่าย

จนกระทั่งคังซอนฮูได้ตระหนัก

ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ในหมวกใบนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย

“…ซอนฮู”

ขณะคังซอนฮูจ้องตัวอักษรเล็กๆ ที่เขียนอยู่บนหมวกอัศวิน ลิลี่เรียกด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

“ข้าไม่ได้ดูผิดไปใช่ไหม…”

“…รูนลิฟวิงเมทัล”

อัศวินแห่งท้องฟ้า

ชุดเกราะไม่ได้กำลังถูกสวม

แต่ชุดเกราะคืออัศวินแห่งท้องฟ้า

* * *

ตุ๊กตาเพชฌฆาต

อัศวินแห่งท้องฟ้าคือลิฟวิงเมทัลที่เคยเกิดมาด้วยจุดประสงค์นั้น

ลิฟวิงเมทัลผู้คอยทำหน้าที่ของตัวเองจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคทอง

ลิฟวิงเมทัลผู้เกิดมาเพื่อลงทัณฑ์คนบาป

ภารกิจผดุงคุณธรรมกลายเป็นความหมกมุ่น จนกระทั่งวิญญาณผู้ปกครองถือกำเนิด

หนึ่งในสิบสองผู้ปกครอง นักพิพากษา คือลิฟวิงเมทัล

เขาสร้างปีกจากการรวบรวมโลหะบนเกาะท้องฟ้า และยืนอยู่ริมเกาะเพื่อก้มมองดูโลก

เมื่อโลกต้องการความยุติธรรม เขาจะลงมาจากเกาะเพื่อกวัดแกว่งดาบ

นั่นคือเหตุผลที่เขาสังหารมหาจักรพรรดิเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน

เขามั่นใจว่านั่นคือความยุติธรรม จึงลงมือโดยไม่ลังเล

อัศวินแห่งท้องฟ้าต้องสูญเสียปีกไปหนึ่งข้างด้วยฝีมือโคล์บ’ รานเดอจู — มีดที่มหาจักรพรรดิถือ

นั่นคือเหตุผลที่เขาบินกลับเกาะท้องฟ้าไม่ได้

แต่เขาไม่ได้หดหู่ การขาดปีกไปหนึ่งข้างไม่ได้ทำให้ความยุติธรรมในใจลดลง

เขาถือโอกาสนี้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อรับชมผลจากการพิพากษาของตนอย่างใกล้ชิด

เขาอยากรู้ว่าการเข่นฆ่าคนบาปของตน ทำให้โลกน่าอยู่มากแค่ไหน

จนกระทั่งเขาเห็นจักรวรรดิลุกเป็นไฟเพราะสงคราม

เมื่อตำแหน่งว่างลง ความโลภจึงก่อตัวในใจผู้คน ส่งผลให้ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อต้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด

เป็นครั้งแรกที่อัศวินแห่งท้องฟ้ากังขาในตัวเอง

บุคคลที่ไม่มีหัวใจ เริ่มมีหัวใจขึ้นมา

เขารู้สึกเจ็บปวดเป็นครั้งแรกในชีวิต

ความเจ็บปวดเปรียบดังสามเหลี่ยมมุมแหลมที่กลิ้งอยู่ในหัวใจและคอยทิ่มแทงตลอดเวลา

เคยคิดว่าจะชินไปเองในสักวัน แต่สามเหลี่ยมนั้นกลับไม่ทู่ลงเลย

สิ่งที่เคยคิดว่าทำไปเพื่อความยุติธรรม แท้จริงแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น

ตัวตนที่เขาเชื่อมั่นมาตลอด บางทีอาจไม่มีคุณค่าอันใด

เมื่อเวลาผ่านไป ความกังขาพองตัวประหนึ่งลูกโป่ง

อัศวินแห่งท้องฟ้าออกพเนจรอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงทะเลทรายแห่งนี้

เขาไม่เคยหยุดลงทัณฑ์คนชั่วแม้จะอยู่ในทะเลทราย ส่งผลให้ใครหลายคนเกิดความศรัทธาและก่อตั้งกองอัศวินเพื่อคอยติดตามเขา

ขณะเดินทางมาถึงชายขอบทะเลทราย เขาพบเด็กชายอยู่บนเรือลำหนึ่ง

และเห็นอสุรกายขนาดมหึมากำลังโจมตีเรือ

เขาดีใจมาก

อีกฝ่ายคือสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

นี่คือโอกาสในการสร้างความยุติธรรมที่ไม่มีวันผิดพลาด

จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานตลอดหลายสิบปีเสียที

อัศวินแห่งท้องฟ้ากระโจนเข้าใส่สัตว์ประหลาดด้วยความปีติ เขาต้องการพิสูจน์คุณค่าของตัวเองโดยการปกป้องผู้ที่อ่อนแอ

แต่เขาพ่ายแพ้

เด็กคนนั้นเสียชีวิต

สิ่งที่ตนเชื่อว่าเป็นความยุติธรรม อาจไม่ได้ยุติธรรมอย่างที่เข้าใจ

เขาพ่ายแพ้ต่อความชั่วร้ายที่แท้จริง

* * *

ไม่ว่าจะพูดอะไรไป อัศวินแห่งท้องฟ้าก็เอาแต่มองไปยังห้วงลึกที่ตนทิ้งดาบ

จนกระทั่งคังซอนฮูยอมยกธงขาว เหมือนกับอัศวินคนอื่นที่ผ่านมา

ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

「ไอ้สมองทึบ!」

อัศวินแห่งท้องฟ้ามองกลับหลังอีกครั้ง

「คิดว่าเด็กคนนั้นโกรธแค้นเจ้าหรือไง? 」

ทันใดนั้น เขานึกออก

นี่คือตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงเอวของเด็กชายบนเรือโจรสลัด

ภูตวิญญาณที่ลอยออกจากปากตะเกียง จ้องอัศวินแห่งท้องฟ้าด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว

「เด็กคนนั้นต่อสู้อย่างกล้าหาญและตายไป! เจ้ารู้หรือไม่ว่าความปรารถนาสุดท้ายของเขาคืออะไร? 」

「เขาแค่ต้องการจะเห็นเมืองแห่งตำนานในห้วงลึก! เด็กคนนั้นไม่ได้ร้องขอชีวิตแม้แต่คำเดียว! แม้แต่ในยามที่กำลังจะตาย เขาไม่เคยลืมความฝันของโจรสลัดทุกคน! เขามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่กว่าเจ้า!!」

คังซอนฮูก้มมองภูตแห่งความปรารถนา จากนั้นก็กล่าว

“ถ้าไม่ช่วยก็ไม่เป็นอะไร พวกเราจะจับมันเอง… แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันขอดาบของนายก็แล้วกัน ไม่คัดค้านใช่ไหม?”

「ใช่แล้ว! เกิดเป็นลูกผู้ชายต้องกล้าหาญแบบนี้! ลงไปกันได้แล้ว! การพาโจรสลัดขึ้นเขาถือเป็นเรื่องเสียมารยาท เจ้าไม่รู้หรือไง? ไอ้เบื๊อกสมองทึบ!! 」

มนุษย์ที่ยืนตรงหน้า ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นแค่มนุษย์

เผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอตั้งแต่เกิด กลับกล้าประกาศว่าจะจับสัตว์ประหลาดนั่นโดยไม่ลังเล ก่อนที่จะเดินลงจากภูเขาหิมะ

อัศวินแห่งท้องฟ้ายืนจ้องแผ่นหลังชายหนุ่มจนกระทั่งลับสายตา

ตัวเขาที่เคยให้ผู้อื่นจ้องมองแผ่นหลังมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มองแผ่นหลังใครสักคน

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด