ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 20 จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติ (Revolutionary spirit)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 22 จงลุกขึ้น! เหล่าผู้ไม่ยอมเป็นทาส (Arise! Ye who refuse to bound slaves)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 21 ไม่ใช่อาณาจักร แต่เป็นสาธารณรัฐ (Not the Empire, But the Republic)


ไม่ใช่อาณาจักร แต่เป็นสาธารณรัฐ

(Not the Empire, But the Republic)

ธันวาคม ศักราชอองโทราลที่ 3926

เมืองท่าบอสตัน รัฐโฟลิโอ

คฤหาสน์สีขาวตั้งอยู่ภายในเมืองบอสตัน ตัวคฤหาสน์เป็นการก่อสร้างที่เด่นสง่าและหรูหราต่างกับรอบข้างที่ถูกสร้างมาเพื่อใช้อาศัยทั่วไปในอาณานิคม มีพื้นที่ส่วนตัวขนาดใหญ่เป็นส่วนสีเขียว คฤหาสน์ของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของรัฐโฟลิโอ บ้านของตระกูลสกาเล็ต ตัวคฤหาสน์สูงสองชั้นออกแบบอย่างประณีตเหมือนกับคฤหาสน์ของขุนนางลีโอเนียระดับสูง

ภายในห้องรับแขกของคฤหาสน์สกาเล็ต คือหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวลูกไม้ตัวโปรดของเธอ จากคุณหนู เปลี่ยนเป็นคุณหญิงแห่งตระกูลสกาเล็ต เส้นผมสีบลอนด์ทองอันเป็นเอกลักษณ์ เฟลิเซีย สกาเล็ต เธอนั่งอยู่บนโซฟาสีแดงตัวใหญ่ ขณะที่พักสายตาและจิบน้ำชาไปพลางๆ

ในส่วนตรงข้ามเธอเป็นหญิงสาวอีกสองคน แม่หม้ายแห่งตระกูลจวิน แอร์นา และ ลูกศิษย์ นักเวทย์แห่งแสง ไวท์ ไอเซนฮาวร์ และผู้ที่กำลังยื่นอยู่เป็นผู้ชายสองคน หญิงอมนุษย์เผ่าหลง คิริลลอฟนา เฟิ่ง ในขณะที่ชายหนุ่มที่มีใบหน้าขี้กลัว อมนุษย์ผู้มีหูสุนัขสีนํ้าตาล ชนพื้นเมือง บูลล์ แมรี่แลนด์ สุดท้ายคือผู้ที่กำลังมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มหน้าตาคล้ายกับหญิงสาว ดักลาส แมรแมรี่แลนด์

“ออกมาจากแนวรบ ท่านไม่กลัวพวกลีโอเนียจำตีกองกำลังพวกเราแตกหรือ?” แอร์นากล่าวกับผู้ที่กำลังมองข้างนอกหน้าต่างด้วยสงสัย ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันกลับมาตอบท่านหญิงตระกูลจวิน ด้วยนํ้าเสียงที่ไม่กังวลอะไรมาก

“ลีโอเนียจะไม่ขยับไปไหนในหน้าหนาวนี้” ลาสชะงัก “จนกว่าเสบียงรอบสองจากลีโอเนียจะมาถีง แทนที่จะสู้จนหมดแรง ให้กองพลที่สู้กับลีโอเนียมานานได้พักบ้างก็ดีกว่าปล่อยให้พวกเขาสู้จนเหนื่อยล้าเสียจะดีกว่า”

ลาสตอบตามความเป็นจริง สงครามในครั้งเป็นสงครามที่ยาวนานอย่างมาก การเก็บแรงสู้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกองกำลังปฏิวัติของอาริกาเซียที่ไร้ประสบการณ์ และอีกอย่าง คือกลุ่มต่อต้านที่กำลังลุกฮืออยู่ในดินแดนที่ลีโอเนียปกครองอยู่ในขณะนี้ พวกเขาได้ทำให้เสบียงและความเหนื่อยล้าของลีโอเนียนั้นมากขึ้นทุกวัน

“เป็นเราเองที่เรียกลาสกลับมา” จิ้งจอกสาวกล่าวก่อนจะกินเนื้อปลาที่ถูกวางเอาไว้เป็นของกินเล่น ไวท์หยิบเอกสารที่ลาสเคยส่งให้เธอเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

“ไม่คิดไม่ฝัน ว่าวันนี้จะมาถึง… ลาสเจ้าคิดถูกแล้วจริงๆน่ะหรือ?” ไวท์ลดเอกสารลงและมองไปยังชายหนุ่มที่เดินตรงเข้ามาหาวงสนทนา

“ผมไม่ใช่ทหาร หรือคนที่ชื่นชอบสงครามหรอกนะ แต่การที่เราจะชนะสงครามในครั้ง มันไม่สามารถที่จะทำได้ด้วยกำลังของตัวเองอย่างเดียว” ลาสหันไปหาคุณหนูที่กำลังดื่มนํ้าชา และขอร้องให้เฟลิเซียช่วยอีกครั้ง

“คุณเฟลิเซีย ผมเองก็ต้องขอพึ่งคุณอีกครั้งแล้วนะครับ”

เฟลิเซียไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม เธอเพียงแค่ถอนหายใจและตกลงกับแผนการของดักลาส และนึกคิดถึงความเป็นไปได้ของแผนที่ลาสกำลังจะทำ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทุกคนภายในห้องแห่งนี้รับรู้ นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่อาจเป็นจุดสิ้นสุดของจุดเริ่มต้น

ความหมายในการลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอำนาจที่สูงกว่าตน

……

.

.

.

.

.

.

เมืองบอสตัน รัฐอิสระโฟลิโอ

ความหนาวเข้าปกคลุมตั้งแต่เดือนที่แล้ว ลมหนาวและหิมะสีขาวที่ร่วงหล่นลงมาเหมือนกับขนนกของเทพที่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์ ท่าเรือไร้ซึ่งชีวิต บ้านเรือนที่ไร้ซึ่งเสียง ชาวเมืองบอสตันที่ยิ่งใหญ่หายไปไหนกันหมด?

เมื่อเข้าใกล้อาคารขนาดใหญ่ที่พึ่งถูกสร้าง ตัวอาคารขนาดใหญ่แห่งนี้ยังคงหลงเหลืออุปกรณ์ก่อสร้างทิ้งเอาไว้ แสดงให้เห็นว่ามันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ใกล้ๆตัวอาคารแห่งนี้เป็นเสียงของผู้คนจำนวนมาก  ชาวเมืองบอสตันมายื่นรอบางสิ่งบางอย่างกันอย่างคึกคัก เหล่าชาวเมืองที่พลุกพล่านล้อมรอบอาคารที่พึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างไม่กลัวธรรมชาติที่หนาวเหน็บ

พวกเขากำลังฟังเสียงของเหล่าผู้ปกครองรัฐ ผู้แทนของแต่ละเขตการปกครองภายในตัวอาคารที่กล่าวมา ที่แห่งนี้คือ อาคารสภาแห่งใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ สภาของอาริกาเซีย

ภายในห้องถูกสร้างให้สามารถจุคนได้มากกว่า 100 คน ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงของตัวแทนจากรัฐต่างๆ ที่มารวมตัวในสภาแห่งใหม่ ผู้แทนหลายคนไม่สามารถกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองเนื่องจากการตัดเส้นทางผ่านระหว่างเหนือและใต้โดยกองทัพรุกรานลีโอเนีย ทำให้ดินแดนตอนเหนือต้องช่วยตัวเองและเอาชีวิตรอดไปตัวคนเดียวก่อน

เสียงพูดคุยสนทนาภายในสภาเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไร้ซึ่งความสงบ พวกเขากำลังหารือเกี่ยวกับรัฐบาลรูปแบบใหม่ที่กำลังทดลองกันอยู่ในขณะนี้ รูปแบบการปกครองแบบใหม่นี้ช่างเรียนรู้ได้ยากอย่างมาก แต่พวกเขาก็ยังมีความหวังกับเจ้าสมาพันธรัฐอยู่มาก นอกจากเรื่องรัฐบาลกลางที่กำลังกำเนิดขึ้นนั้น ก็จะเป็นเรื่องของการศึกที่ไร้ความหวังในสายตาของผู้นำมลรัฐบางคน

กองกำลังภาคพื้นทวีปที่ถูกดัน และฝ่ายพ่ายแพ้เกือบตลอดเวลา ในศึกสงครามที่ผ่านมาเกือบหนึ่งปีเต็มๆ ทำให้ขวัญของประชาชนชาวอาริกาเซียเริ่มหวั่นไหว…

อย่างไรก็ตามวันนี้ เป็นวันสำคัญที่จะมีการแถลงการณ์ที่ไม่สามารถที่จะพลาดได้ โดยผู้นำกลุ่มลูกหลานของอาริกาเซีย เฟลิเซีย สกาเล็ต และที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้น นายพลสูงสุดของกองกำลังภาคพื้นทวีปที่เดินทางกลับมาจากแนวหน้า เนื่องจากการหยุดยิงในหน้าหนาว

ทุกคนกำลังรอให้พวกเขาเข้ามาในห้องสภาแห่งนี้ ไม่ช้าเสียงเคาะพื้นจากผู้ช่วยประธานในที่ประชุมดังจนทำให้ทุกคนภายในห้องได้หยุดหายใจชั่วขณะ

“ผู้แทนรัฐโฟลิโอ” ประธานในที่ประชุมกล่าวขึ้น หลังเห็นใบหน้าของหญิงสาวเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ

ผู้ที่เข้ามาใหม่ในห้องสภาเป็นหญิงสาวที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี เธอมาพร้อมกับเอกสารในมือ โดยผู้ที่ตามเธอมาเป็นกลุ่มผู้แทนจากรัฐโฟลิโอที่มีตำแหน่งรองลงมาจากเธอ

" เป็นเวลาเกือบจะครบหนึ่งปีเต็มๆแล้ว ตั้งแต่การประกาศแยกตัวออกจากสหจักรวรรดิ พวกเราชาวอาริกาเซียมิได้ทำการกบฏต่อลีโอเนีย หากแต่เป็นสงคราม ! และมันเป็นสงครามเพื่อความยุติธรรมของพวกเรา… เพื่ออิสรภาพ! หาใช่สงครามเพื่อตัวเราไม่ สงครามที่กำลังดำเนินอยู่หาใช่ความสูญเปล่าไม่

ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ตัวข้าเฟลิเซีย สกาเล็ต ขอให้พวกท่านทุกคนได้รับฟังอีกครั้ง อาริกาเซียกำลังก้าวเดินอยู่บนเส้นทางที่ไร้ซึ่งความมั่นคงและเสี่ยงที่จะสูญสลายหายไปจากอองโทราล แต่ว่า! พวกเราเอง ก็มิใช่ผู้ที่จะยอมพ่ายแพ้ศิโรราบแก่อำนาจที่กดทับหัวของพวกเรามาตลอดระยะเวลาก่อตั้งอาณานิคมบนทวีปอาริกาเซียแห่งนี้ พวกเราชาวอาริกาเซียนั้นได้ตื่นรู้ เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยบุคคลที่เรืองปัญญามากมาย "

ภายในห้องต่างรับฟังในสิ่งที่เฟลิเซียได้อภิปรายอยู่กลางห้องสภาอย่างตั้งอกตั้งใจ ทุกคำพูดเต็มไปด้วยนํ้าเสียงที่จริงจังและแน่วแน่ คำกล่าวของเฟลิเซียดังพอที่ชาวเมืองที่อยู่รอบอาคารสภาได้ยินกันหมด โดยอย่างยิ่งเมื่อไม่มีใครพูดคุยกัน

“แต่อิสรภาพนั้นย่อมมีราคาที่แพง นั้นคือคำพูดของนายพลดักลาส แมรี่แลนด์” เฟลิเซียหยุดชะงักก่อนจะหันไปหา ชายในเครื่องแบบทหารที่เดินเข้ามาในสภา

“นี่เป็นเวลาสำคัญ ที่พวกท่านจะได้เลือกเส้นทางของอิสรภาพ ท่านประธานที่เคารพ ท่านผู้แทนจากมลรัฐทั้ง 11 แผนการสมาพันธรัฐได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย แต่มันยังขาดสิ่งสำคัญ หัวใจหลักของอำนาจอธิปไตยที่จะพาประเทศที่พึ่งเกิดได้เข้าอาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินอองโทราล…”

เฟลิเซียหยิบเอกสารสีเหลืองชูขึ้นเหนือศีรษะของเธอ ทุกคนล้วนรู้สิ่งที่เธอถืออยู่ ณตอนนี้มิใช่การประชุมสภา หาแต่เป็นการแถลงการณ์ เธอหันไปหาประธานที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเหล่าผู้แทนก่อนจะเดินเข้าไปหาชายชรา และวางมันบนโต๊ะของประธานในที่ประชุม ก่อนจะหันกลับมาหาเหล่าผู้แทนและเริ่มกล่าวอีกครั้ง

“ตลอดเดือนแห่งการต่อสู้ที่ผ่านมา พวกเรา ประชาชนแห่งอาริกาเซีย ได้ทำการร่างกฎหมาย องค์ประกอบรัฐบาล จนสำเร็จ เราจึงขอบัญญัติและสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับแรกของอาริกาเซีย และของอองโทราล!”

ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ไม่ช้าก็มีเสียงปรบมือของผู้แทนของโฟลิโอ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มปรบมือตามกันเกือบทุกคนในสภา ความยินดีเช่นนี้หาได้ยากในหมู่ผู้แทนจากมลรัฐ แต่เป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘รัฐธรรมนูญ’ คือสิ่งที่ทุกคนร่วมกันเขียนขึ้นมา มันมิใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยบุคคลเพียงคนเดียว

อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีมือที่สามค่อยช่วยอยู่ในที่มืดโดยที่ไม่มีใครทราบ…

นอกจากการบัญญัติรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ยังคงเหลือเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เหล่าลูกหลานของอาริกาเซียจะได้รับรู้ กันอย่างทั่วไป ดักลาสมองไปยังเฟลิเซียที่ยังคงนิ่งเฉยด้วยความรู้สึกอึดอัด มันเลยเวลาที่เธอจะต้องพูดสิ่งสำคัญมาแล้ว หลายนาที เฟลิเซียยังคงยื่นนิ่งอยู่กลางห้องสภา ไม่ขยับไปไหน เสียงปรบมือจางหายไปพร้อมกับความตื่นเต้นของเหล่าผู้แทน ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความสงสัยและงุนงง

“พวกเราได้ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การยืนหยัดต่อต้านมหาอำนาจสหจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าสหายของเราจากตอนเหนือจะถูกตัดขาดออกจากกัน แต่เจตนาของพวกเขาก็ยังคงต่อสู้อย่างกล้าหาญ” เฟลิเซียกล่าวเสร็จก็หันมาหาชายหนุ่มและเอ่ยบางอย่างที่ทำให้ดักลาสต้องตกใจ

“เชิญท่านดักลาสกล่าวแถลงการณ์เกี่ยวกับสมาพันธรัฐอาริกาเซีย” สิ้นเสียงของหยิงสาว ดักลาสก็แถบเป็นใบ้

‘ คุณเฟลิเซีย !? นี่มันไม่ตรงกับแผนที่ว่างเอาไว้แล้ว ’

“โอ้ว ท่านนายพล!” “ท่านนายพลมีเรื่องอะไรกันนะ?” “เจ้ารู้ไหมว่าท่านนายพลนำกองพลหนีออกจากการล้อมของลีโอเนียได้” เสียงพูดคุยดังไปทั่วห้อง แม้แต่เรื่องข่าวลือ  และอีกมากมายของเหล่าผู้แทน แม้แต่ชาวเมืองที่อยู่ข้างนอกก็สนอกสนใจ

แรงกดดันมากมายทำให้ลาสรู้สึกได้ถึงความเครียดลงกระเพาะอีกครั้ง เขาพยายามมองไปหาเฟลิเซียเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ได้กลับมาเพียงแค่รอยยิ้มที่สวยงามของเธอ  “อะแฮ่ม!”

ลาสเดินออกจากจุดที่ตัวเองยื่นอยู่และเข้ามาแทนเฟลิเซียกลางห้องสภา ต้องขอบคุณประสบการณ์สมัยก่อน ที่ทำให้ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นจนเกินไป ตัวเขาเคยยื่นอยู่บนสภาที่คล้ายเป็นตอนนี้มาก่อนแล้ว และเขาก็ได้กลับมายื่นอีกครั้ง มันน่าขำเสียจริงที่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้...

“ มันไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดสิ้นสุดของจุดเริ่มต้น สิ่งที่พวกเราเป็น สิ่งที่พวกเราทำ สิ่งที่พวกเราสร้าง ได้ให้กำเนิดอาริกาเซียขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และเราจะพาเธอมุ่งสู่ความฝันที่แท้จริง

ทุกท่านที่เคารพ ผมขอให้อาริกาเซีย สถาปนารัฐชาติของพวกเราในช่วงเวลาของสงครามตอนนี้ ประเทศของพวกเรา ชาติของเรา! ให้เธอจะลุกขึ้นมาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก ให้สมาพันธรัฐอาริกาเซียได้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์…

ไม่ใช่ในฐานะมหาจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ หรืออาณาจักรแห่งทรราช

แต่เป็นสาธารณรัฐ และเป็นสาธารณรัฐโดยประชาชน เพื่อประชาชน!

‘ ผมขอยืมคำพูดมาใช้หน่อยนะครับ! ’ ลาสกล่าวออกมาในใจ คำแถลงการณ์ของลาส หากเป็นคนที่มาจากยุคเดียวกับเขา ก็คงจะจำคำพูดที่ว่า การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ของประธานาธิบดีลินคอล์น อย่างแน่นอน

แน่นอนว่าในยุคสมัยของอองโทราล ไม่เคยมี มโนทัศน์ แนวคิดของการปกครองแบบประชาธิปไตยมาก่อน ในประวัติศาสตร์อองโทราล แทบทั้งหมดเป็นรูปแบบอำนาจโดยคนคนเดียว หรือตระกูลใหญ่ ใกล้เคียงกับแนวคิดของดักลาสที่พยายามจะเผยแพร่ก็คงจะเป็น สภาสูงของลีโอเนีย แต่อย่างไรก็ตาม สภาสูงของลีโอเนีย นับเป็นขุนนางและชนชั้นสูงมากกว่า

นั้นคือสิ่งที่ลาสได้เรียนรู้จากการอาศัยอยู่ในสหจักรวรรดิ ระบบข้าราชก็คงใกล้เคียงที่สุด ในอนาคตมันอาจจะเป็นตัวช่วยให้ลีโอเนียขยับการเมืองการปกครองให้เข้ารูปแบบราชาธิปไตยแบบรัฐสภา อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องของอนาคตของพวกลีโอ

หลังจากที่ลาสกล่าวแถลงการณ์เสร็จสิ้น ผู้แทนจากรัฐต่างๆ ที่ไม่ใช่ผู้ปกครองโดยตรงก็ต่างพากันลุกขึ้นยืน และใช้มือเคาะที่โต๊ะ เสียงดังเป็นคลื่นเมื่อทุกคนเริ่มลุกขึ้นตามกัน มันเป็นภาพในประวัติศาสตร์ของอาริกาเซีย ภาพของเหล่าผู้แทน 11 มลรัฐ ลุกขึ้นและยอมรับในสิ่งที่ ดักลาสและเฟลิเซียได้กล่าวมาทั้งหมด

“ในขณะที่พวกข้ายังมีชีวิตอยู่ ขอให้พวกข้าได้มีประเทศ จงสถาปนาสมาพันธรัฐในวันนี้!” ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นในห้องสภา ผู้ปกครองเอเคริสเปีย มานเนส โอเวอร์ไดจ์ค เป็นคนแรกที่ประกาศออกมาเสียงดัง

เสียงของเขานั้นดังพอที่ชาวเมืองบอสตันที่กำลังรับฟังอย่างลุ้นจนทอดถอนหายใจ ไม่ช้าพวกเขาความหมายที่แท้จริงของพวกเขาก็ถูกเปิดเผย มันคือการสู้เพื่อประเทศของพวกเขา พวกเขาเป็นเหมือนเด็กน้อยที่พึ่งลืมตาดูโลก และพวกเขาจะเติบโตไปพร้อมกับเธอ

เหล่าชาวเมืองต่างพากันโห่ร้องปีติยินดี ข่าวขาวถูกส่งไปทั่วภาคพื้นทวีปอาริกาเซีย และในไม่ช้ามันก็จะกระจายไปถึงมือของอาณาจักรน้อยใหญ่บนอองโทราล มันจะกลายเป็นวันที่ผู้คนบนอองโทราลจะได้จดจำไปตลอดหลายพันปี อาจจะมากกว่าหมื่นปี หรือพวกเขาจะถูกจดจำไปทั่วกาลนาน

ในชื่อของสมาพันธรัฐอาริกาเซีย ดินแดนแห่งโอกาส ดวงประทีปแห่งอิสรภาพ

{ สมาพันธรัฐไชโย !!  เสรีภาพแก่อาริกาเซีย !! สาธารณรัฐจงเจริญ !! }

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด