ตอนที่แล้วบทที่ 41 ในสามก๊ก เขาได้กลายเป็นพี่ใหญ่ของหลิวกว้านจาง!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 43 เขาประลองกับครูฝึก ไปดื่มเหล้าและกินเนื้อกับนักเพาะกาย!

บทที่ 42 นี่คือท่วงท่าการยืนแบบทหารที่แท้จริง เขาได้กลายมาเป็นครูฝึก!


บทที่ 42 นี่คือท่วงท่าการยืนแบบทหารที่แท้จริง เขาได้กลายมาเป็นครูฝึก!

หลิวกว้านจางและอีกสองคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ เมื่อนึกขึ้นได้ก็อุทานออกมาว่าวันนี้พวกเขาอาจจะพบกับเทพก็เป็นได้

ในขณะเดียวกันจ้าวซือก็ได้ผ่านอุโมงค์อนันตภพออกมาและกลับสู่โลกหลักแล้ว

ทันทีที่เขากลับสู่โลกหลัก การแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นรัวๆ ในหูของจ้าวซือเป็นครั้งแรก

"บี๊บ! บี๊บ! ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่ทำการจัดส่งออเดอร์ได้สำเร็จ และได้รับการชำระเงินจากเล่าปี่!"

"บี๊บ! บี๊บ! การชำระเงินของเล่าปี่ได้มาถึงแล้ว มีการชำระเงินแบบเงิน 2 รายการและการชำระเงินแบบทองคำ 1 รายการ คุณต้องการที่จะเปิดตอนนี้ไหม?"

เมื่อได้ยินว่ามีการชำระเงินแบบทองคำ จ้าวซือก็มีท่าทางดีใจและเลือกที่จะเปิดดูทั้งหมด

“บี๊บ! บี๊บ! โฮสต์ได้เปิดการชำระเงินแบบทองคำ และได้รับม้า [ม้าโลหิต]!”

"บี๊บ! บี๊บ! โฮสต์ได้เปิดการชำระเงินแบบเงิน และรับทักษะพิเศษของเล่าปี่ [การคัดสรรคน]!"

"บี๊บ! บี๊บ! โฮสต์ได้เปิดการชำระเงินแบบเงิน และได้รับทักษะพิเศษ! [เสียงคำรามแบบวางกลยุทธ์]!"

ม้าโลหิต!

สิ่งที่จ้าวซือให้ความสนใจมากที่สุดก็คือสิ่งที่ได้มาจากการชำระเงินแบบทองคำ

เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากการเดินทางส่งออเดอร์ง่ายๆ เขาจะสามารถได้รับสมบัติอันดับหนึ่งในสามก๊ก นั่นคือม้าโลหิต

ดังคำกล่าวที่ว่า มันเป็นดั่งซีซาร์ท่ามกลางบรรดากษัตริย์ทั้งปวง จะเห็นได้ว่าสถานะของม้าโลหิตในสามก๊กนั้นสูงส่งเพียงใด

สำหรับการชำระเงินอีกสองรายการ ของพวกนั้นเป็นทักษะพิเศษ ซึ่งทำให้จ้าวซือรู้สึกถึงการควบคุมความสามารถทั้งสองนี้ได้ในทันที

หนึ่งในนั้นคือ พรสวรรค์ในการคัดสรรคนของเล่าปี่ซึ่งมันพิเศษมาก ทักษะพิเศษนี้เกี่ยวเนื่องกับอนันตภพและมันสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว

กล่าวตรงๆ ก็คือ หน้าที่ของทักษะนี้ก็คือการคัดเลือกตัวละครจากอนันตภพตัวไหนก็ได้มาเป็นลูกน้องของเขา

แน่นอนว่ามีข้อกำหนดเบื้องต้น ประการแรกก็คือ อย่างน้อยเขาต้องมีแง่มุมอย่างใดอย่างหนึ่งที่สามารถทำให้ตัวละครตัวนั้นยอมจำนนต่อเขาได้

ความสามารถพิเศษอีกอย่างก็คือ เสียงคำรามแบบวางกลยุทธ์ นี่คือความสามารถของหลิวกว้านจาง ซึ่งมันคล้ายกับเสียงคำรามที่ดังมาจากเนินเขาซึ่งทำให้ดูคล้ายของจริง และอาจจะใช้ส่งเสียงคำรามที่น่าตกใจเพื่อที่จะทำให้ศัตรูหวาดกลัว

จ้าวซือจำเสียงคำรามของหลิวกว้านจางได้ในหนังต้นฉบับ มันทำให้ผู้คนหวาดกลัวแทบตามซึ่งเห็นได้ชัดว่าความสามารถนี้ทรงพลังเพียงใด

เขายังไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ทักษะพิเศษใหม่ทั้งสามนี้ ในตอนนี้จ้าวซือเห็นว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่ ดังนั้นเขาจึงขี่รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของเขาไปที่มหาวิทยาลัย

จ้าวซือมาถึงมหาวิทยาลัย ตามมาด้วยเพื่อนร่วมชั้นของเขา ภายใต้การนำของฮันไป่เสวี่ย เธอพาพวกเขาขึ้นรถบัสคันใหญ่

รถบัสคันนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่ค่ายฝึกทหาร ที่ภูเขาไป่หยุน

“ฟังนะ ฉันไม่สนหรอกว่าที่มหาวิทยาลัยพวกคุณจะเป็นอย่างไรแต่เมื่ออยู่ในมือของฉัน พวกคุณจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันหากไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม คุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลา! คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรพิเศษทั้งนั้น!”

ทันทีที่ประตูรถบัสปิดลง ครูฝึกที่ดูแลชั้นเรียนของพวกเขาก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม

เขาคือ ครูฝึกเหยียน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่แข็งแรงและมีท่าทางเคร่งขรึม

“ทุกปีจะมีนักศึกษาที่ต้องการที่จะกลับบ้าน พวกคุณอาจจะยังไม่ทราบสถานการณ์ ครั้งนี้พวกเราจะไปที่เขาไป่หยุนซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองมากกว่าสิบกิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้นถนนหนทางส่วนใหญ่ก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารและในเขตชานเมืองไม่มีใครไปส่งพวกคุณกลับบ้านเป็นพิเศษได้ และก็จะไม่สามารถเรียกแท็กซี่ได้เช่นกัน!”

เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวซือก็ต้องขมวดคิ้วเบาๆ ถ้ากลับบ้านไม่ได้แล้วใครจะดูแลจ้าวเมิ่ง?

แต่เขาก็ไม่ได้ขัดจังหวะการพูดของครูฝึกเหยียน

“หลังจากการฝึกครั้งนี้ พวกคุณจะได้รู้ว่าทหารที่ปกป้องประเทศทำงานหนักและควรค่าแก่การเคารพเพียงใด!” ครูฝึกเหยียนรู้สึกเลือดร้อน

“เลือดร้อนจังเลย!”

"การเอาตัวรอดในป่างั้นเหรอ น่าสนใจดีนี่!"

ดูเหมือนนักศึกษาชายจะติดเชื้อจากรังสีเลือดร้อนของครูฝึกเหยียนและทุกคนก็ดูตื่นเต้น

จ้าวซือเองก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเช่นกัน

หลังจากการเดินทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ รถบัสสองสามคันก็พานักศึกษาใหม่ทั้งหมดของสถาบันไปยังภูเขาไป่หยุน ซึ่งตอนนั้นก็ใกล้จะค่ำแล้ว

ครูฝึกเหยียนขอให้สั่งให้นักศึกษาทุกคนเข้าแถวและกล่าวตรงเข้าประเด็นว่า "บทเรียนแรกที่ผมต้องการให้พวกคุณคือยืนอยู่ในท่าทหาร!"

"ครับผม!" ทุกคนตอบกลับ

ครูฝึกเหยียนอธิบายประเด็นสำคัญสั้นๆ และให้ทุกคนดำเนินการด้วยตนเอง เขาก็ยังคงสำรวจพวกเขาทุกคน

"คุณนี่ตัวโตซะเปล่า! แม้แต่ท่ายืนคุณยังทำไม่ถูกเลย!" ครูฝึกเหยียนเดินผ่านเฉียนเฟิงและตบที่หลังเพื่อแก้ไขท่าทางการยืนของเขา

แทบจะทุกคนมีปัญหาไม่มากก็น้อย แต่เมื่อครูฝึกเหยียนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวซือ เขาก็ทำเสียงประหลาดใจ

นักศึกษาที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ยืนตัวตรงมาก เขาเหมือนสื่อการสอนที่มีชีวิต

“จ้าวซือ...ทำได้ดีมาก!” ครูฝึกเหยียนมองดูป้ายชื่อบนหน้าอกของจ้าวซือและกล่าวชมเขาอย่างจริงใจ “ทุกคนหยุด มาดูเขานี่ นี่คือท่าทางของทหารที่แท้จริง!”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็มองตามไปด้วยความสงสัย พวกเขาเองก็อยากที่จะรู้ว่าต้องยืนด้วยท่าทางแบบไหนเพื่อที่จะทำให้ครูฝึกเหยียนพอใจ

แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นจ้าวซือก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง

“เชี่ยยย ท่ายืนแบบนี้สมบูรณ์แบบเกินไปละ ขนาดฉันยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันโคตรเท่!”

“นี่ยังเป็นจ้าวซือคนเดิมอยู่หรือเปล่า? ทำไมเขาดูต่างจากปกติขนาดนี้!”

“พระเจ้าช่วย! ครูฝึกเหยียนสอนแค่ครั้งเดียวและเขาก็ยืนท่านี้ได้เลย อย่าบอกนะว่าเขาเคยเข้าร่วมกับกองทัพมาก่อน!”

ทุกคนต่างพากันตกตะลึง ท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้น หลี่ซิน น้องสาวคนเล็กของจ้าวซือก็มีประกายในดวงตาของเธอมากยิ่งขึ้น

ฮันไป่เสวี่ยที่อยู่ข้างๆ หยิบกล้องขึ้นมาและถ่ายรูปนี้เอาไว้

เมื่อเห็นดังนั้น จ้าวซือก็รู้สึกเขินนิดหน่อย เขาได้รับทักษะพิเศษทางทหารที่ยอดเยี่ยมจากโลกของดาบวาดลาย และท่าทางเยี่ยงทหารนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เพราะเขาสามารถที่จะทำได้ดีกว่าเสียอีกแต่ในตอนนี้ยังคงต้องปกปิดเอาไว้

“จ้าวซือ ผมมีภาระกิจพิเศษให้คุณทำ ช่วยผมฝึกสอนพวกเขา! ถ้าคุณทำได้ดี คุณก็จะได้เป็นครูฝึกตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!” ครูฝึกเหยียนพอใจกับสิ่งที่เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงเตรียมการพิเศษนี้สำหรับจ้าวซือ

“ครับผม ครูฝึกเหยียน” จ้าวซือก้าวออกไปข้างหน้า

คนอื่นๆ มองเขาด้วยความอิจฉา การยืนในท่าทหารนั้นเหนื่อยมาก ไม่เพียงแค่จ้าวซือจะสามารถยืนด้วยท่าทางของทหารได้เท่านั้น เขายังสามารถให้คำแนะนำแก่ผู้อื่นได้อีกด้วย เขาช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก!

“เชอะ ครูฝึกเหยียนก็พูดเกินไป ถึงแม้เขาจะสามารถยืนในท่าทหารได้ดี แต่เขาก็อาจจะไม่สามารถแนะนำคนอื่นได้ก็เป็นได้” แม้ว่าเฉียนเฟิงจะพูดเช่นนั้นเพราะไม่พอใจจ้าวซือ แต่จริงๆ แล้วเขาแอบอิจฉาจ้าวซือเป็นอย่างมาก

“จุ๊ๆ อย่าพูดมากสิ ถ้าครูฝึกเหยียนมาได้ยินเข้า นายจะต้องตายแน่ๆ!” คนที่อยู่ข้างๆ เฉียนเฟิงกล่าวด้วยเสียงเบา

อันที่จริงครูฝึกเหยียนและจ้าวซือก็ได้ยินสิ่งที่เฉียนเฟิงพูด แต่ครูฝึกทำเป็นนิ่งเฉยเสีย เพราะเขาต้องการที่จะทดสอบจ้าวซือว่าเขาจะสามารถแนะนำคนอื่นๆ ได้จริงๆ หรือว่าเขาจะเป็นอย่างที่เฉียนเฟิงได้กล่าวเอาไว้

“ตอนนี้นายยังทำไม่ถูก อย่าฝืนแรงที่หัวไหล่แต่มันควรจะเป็นช่วงกระดูกหน้าอกที่ยืดผายออกไป…” จ้าวซือแนะนำพวกเขาอย่างละเอียดและปฏิบัติต่อนักศึกษาชายและหญิงอย่างเท่าเทียมกัน

นักศึกษาที่ได้รับการฝึกฝนจากเขามีการเปลี่ยนแปลงในท่าทางการยืนในท่าทหารดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ครูฝึกเหยียนและจ้าวซือได้แก้ไขท่าทางการยืนในท่าทหารของทุกคนอย่างรวดเร็ว

“ฉันไม่เคยคิดเลยว่านักศึกษาจ้าวซือจะน่าทึ่งขนาดนี้ ฉันอัดวิดีโอไว้หมดแล้ว ตอนนี้พวกคุณทุกคนยืนได้สวยมาก” ฮันไปเสวี่ยถือกล้องและกล่าวออกมา

ครูฝึกเหยียนพยักหน้า แต่จู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาว่า “เฉียนเฟิง ก้าวออกมา ผมจะลงโทษคุณด้วยการวิดพื้น 100 ครั้ง!”

เฉียนเฟิงได้ยินคำสั่งแต่เขาดูไม่มั่นใจ "ทำไมครับ?!"

“เพราะคุณไม่ไว้ใจเพื่อนร่วมชั้น คุณพูดว่าสิ่งที่จ้าวซือทำก็เพียงแค่ยืนขึ้นเท่านั้นและไม่มีความสามารถในการสอนคนอื่นได้ แต่ตอนนี้เขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว คุณคิดว่าคุณควรถูกลงโทษหรือไม่?” ครูฝึกเหยียนถามกลับ

"ครับผม ครับผม!" เฉียนเฟิงยังคงปากแข็งแต่ในใจนั้นเขาโทษตัวเองที่พูดมากจนเกินไป เขาเริ่มวิดพื้นอย่างอ่อนแรง

ในที่สุดก่อนที่เขาจะวิดพื้นได้ครบครั้งที่ 30 เขาก็รู้สึกเหนื่อยมากจนทรุดตัวลงกับพื้น เขารู้สึกอับอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด