ตอนที่แล้วบทที่ 34 คนเห็นแก่ตัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 36 ตามล่าอาชญากรมีหมายจับ

บทที่ 35 คอนเสิร์ต


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 35 คอนเสิร์ต

คดีที่ 3 ศพหญิงสาวไร้หัว 

วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนกันยายน เหตุโศกนาฏกรรมฆ่าล้างครอบครัวกำลังเป็นกระแสอยู่ในสื่อสังคม ซึ่งในรายงานข่าวของเมืองหลงอันอ้างอิงถึง ‘พลเมืองดีนิรนาม’ ที่มีส่วนช่วยเหลือในการไขคดีอีกครั้ง ทำให้ชาวเน็ตอดไม่ได้ที่คาดเดาถึงเบื้องหลังของพลเมืองดีที่โผล่มาช่วยถึงสองครั้งคนนี้

เวลาผ่านเข้าสู่เดือนตุลาคม ชีวิตของเฉินฉีกลับมายุ่งเหยิงเป็นปกติ ในแต่ละวันเขาจะออกรอบขับอูเบอร์ตั้งแต่รุ่งเช้าและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้โดยสารเหล่านั้น พอไม่มีเรื่องให้ต้องคิดมากแล้วบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความสุขสงบ

จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับสายจากหลินถงซู หลังจากส่งผู้โดยสารถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เขาก็ขับตรงไปยังทางเข้าหน้าสถานีตำรวจทันที หลินถงซูเพิ่งแต่งตัวเสร็จมาหมาด ๆ เธอเปิดประตูเข้ามากระแทกตัวนั่งและงับประตูปิดดังโครม เฉินฉีมองเธอผ่านกระจกมองหลัง “เป็นอะไรไปน่ะคุณหลิน? คราวนี้ไปถูกใครยั่วโมโหมาอีกล่ะ?”

“คุณไง!”

เฉินฉีเขย่าซองบุหรี่ก่อนหยิบมันออกมามวนหนึ่ง “ผมเหรอ? ทำไมเป็นผมไปได้เนี่ย?”

“คุณเป็นคนยุให้สวีเสี่ยวตงมาชวนฉันไปดูคอนเสิร์ตใช่ไหม?”

“ผมขอพูดให้ชัดเจนก่อนว่าผมไม่เคยไปยุอะไรเขา ผมก็แค่บอกเขาว่าถ้าคิดจะจีบสาวก็ต้องกล้าให้มันมากกว่านี้”

หลินถงซูที่กำลังโกรธหลุดหัวเราะออกมา “แบบนี้ยังไม่เรียกว่ายุอีกเหรอ?”

“ถ้าคุณไม่ได้สนใจเขาก็แค่บอกไปตรง ๆ ก็สิ้นเรื่อง ทำไมถึงเอาแต่โทษว่าผมเป็นตัวการ?”

“โอ้ ขอเถอะ เขายังไม่ได้สารภาพอะไรออกมาเลย แล้วฉันจะปฏิเสธอะไรเขาได้? และต่อให้ฉันพูดดักคอเข้าจริงเดี๋ยวเขาก็จะหาว่าฉันคิดมากไปเองอีก”

“แล้วคุณตกลงไปดูคอนเสิร์ตกับเขาไหมล่ะ?”

“ไม่! พูดขนาดนี้แล้วจะให้ฉันตกลงได้ยังไงล่ะ?! ไม่ว่าวันพรุ่งนี้หรือวันไหน ๆ คุณห้ามทำแบบนี้เด็ดขาดเลยนะ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันชอบคนแบบไหน แต่พยายามจะจับคู่ให้ฉันอยู่เรื่อย!”

“คุณหลิน งั้นผู้ชายแบบไหนล่ะที่คุณชอบ? บอกหน่อยสิ ผมจะได้ช่วยคุณหาให้ตรงสเปค!”

หลินถงซูยกขาขึ้นถีบด้านหลังเบาะที่นั่งคนขับทันที “ไร้สาระ!”

“คุณมาเจอผมแค่เพราะจะต่อว่าเรื่องนี้รึไง?”

“ก็ไม่ใช่แค่นี้หรอก” หลินถงซูหยิบบัตรคอนเสิร์ตของจางเสวโหย่วออกมาสองใบพร้อมยิ้มเย้ย “คุณอยากทำอาชีพเสริมเป็นช่างจับคู่ด้ายแดงแล้วทำให้ฉันติดหนี้คุณใช่ไหม? ฉันไม่ยอมหรอก ฉันจะทำให้คุณทั้งอึดอัดและรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป ได้ยินว่าคุณไม่ได้ชอบจางเสวโหย่วเหมือนที่โม้ไว้ตอนแรกนี่ เพราะงั้นฉันจะชวนคุณไปดูคอนเสิร์ตของเขาให้อกแตกตายไปเลย!”

เฉินฉีเลิกคิ้ว “ให้ผมเดานะ วันนี้คือวันที่หนึ่งตุลาคม* ธนาคารทุกที่จัดโปรโมชันพิเศษลดแลกแจกแถมกันให้วุ่น บัตรคอนเสิร์ตพวกนี้คุณก็ได้มาจากอะไรพวกนั้นใช่ไหมล่ะ?”

* 1 ตุลาคม = วันชาติจีน

“คุณนี่นิสัยแย่ชะมัด! ไม่เห็นคุณค่าของมันเลยรึไงกัน? ฉันอุตส่าห์แย่งชิงแทบตายกว่าจะได้มานะ!”

“ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้ว!” เฉินฉีขอโทษเธอทันที “ผมมัวแต่ตกใจที่คุณหลินชวนผมให้ไปดูคอนเสิร์ตด้วย เอาจริง ๆ ตั้งแต่หนุ่ม ๆ จนอายุปูนนี้แล้ว ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมาชวนผมไปดูคอนเสิร์ตมาก่อนเลย คุณมีลับลมคมในอะไรแอบแฝงไว้ไหมเนี่ย?”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ คิดซะว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่คุณช่วยเหลือฉันมาตลอดก็แล้วกัน โดยเฉพาะคดีล่าสุดที่ผ่านมาคุณทุ่มเททั้งสมองทั้งเวลาไปตั้งเยอะ อีกอย่างฉันน่ะอยากไปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ฉันไม่ไปกับสวีเสี่ยวตงเด็ดขาด เพราะฉะนั้นฉันเลยลากคุณให้ไปเป็นเพื่อนแทน”

“เมื่อไหร่?”

“คืนนี้เลย!”

“โอเค แล้วเจอกัน”

หลินถงซูปาบัตรคอนเสิร์ตใส่อกเฉินฉี “มารับฉันด้วย ห้ามมาสายเชียวนะ!”

เฉิวฉีมองบัตรคอนเสิร์ตก่อนจะยิ้มออกมาพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “พี่ชายกับน้องสาวคู่นี้ปากไม่ค่อยตรงกับใจเลยแฮะ”

เวลาหนึ่งทุ่ม เฉินฉีขับรถไปรับเธอตามนัด หลินถงซูที่สวมชุดเดรสสีดำตัวสวยเดินมาเปิดประตูแล้วก้าวขึ้นมานั่งภายในรถ เฉินฉีคิดในใจว่าสาวน้อยคนนี้แต่งตัวเก่งไม่เบา แต่ไม่ว่าเธอจะใส่อะไรก็ดูดีไปซะหมด ทั้งยังดึงดูดสายตามากทีเดียว

“มองอะไรอยู่ได้ คุณลุงตัวเหม็นหึ่ง!” เธอสังเกตเห็นสายตาของเฉินฉี

“อาหารตาน่าอร่อยมากเลยครับ”

“อร่อยบ้านคุณสิ!” หลินถงซูชูสองนิ้วขึ้นมาจะทิ่มตาเฉินฉี “รีบขับออกไปได้แล้ว เดี๋ยวเข้างานสายกันพอดี”

ขณะขับรถเฉินฉีก็ตั้งคำถามไปด้วย “คุณเกิดหลังยุค 90 จริงเหรอเนี่ย? ทำไมถึงชอบฟังเพลงของจางเสวโหย่วล่ะ?”

“ฉันชอบเพราะติดนิสัยมาจากครอบครัวน่ะ สมัยเด็ก ๆ ที่บ้านมักจะเปิดเพลงของเขาฟังเสมอ ฉันเลยพลอยได้รับอิทธิพลมาด้วย ตอนฉันไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันก็เลือกร้องเพลงของเขาอีกจนโดนเพื่อนล้อว่าหัวโบราณ แต่ฉันว่าสิ่งสำคัญอยู่ว่าที่ตัวเราชอบอะไร และเราไม่ควรไปตัดสินรสนิยมการฟังเพลงของใครเพียงเพราะอายุของพวกเขาไม่ตรงกันกับยุคสมัยของเพลงนั้น ๆ”

“คุณพูดถูกที่สุดเลย!”

เมื่อพวกเขามาถึงที่จัดคอนเสิร์ต เห็นไกล ๆ ว่าผู้คนต่อแถวจากบริเวณด้านหน้าเวทียาวออกมาถึงด้านนอก เฉินฉีวนหาที่จอดรถแล้วหยิบเสื้อโค้ตจากเบาะด้านหลัง เป็นแจ็กเกตสีดำที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ หลินถงซูรู้สึกว่าเขาสวมใส่แล้วดูสบายตา แถมยังดูเด็กลงอีกด้วย

“คุณรู้อะไรไหม?” เฉินฉีหยอกเธอ “งานวิจัยหนึ่งบอกว่าคนที่ชอบสีดำส่วนใหญ่มักเป็นคนเพี้ยน ๆ”

“ไม่รับรู้ ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น!” หลินถงซูเอามือมาปิดหูไว้ “อย่ามาเผยแพร่ผลการวิจัยเพี้ยน ๆ ใส่หูอันบริสุทธิ์ของฉันนะ”

เฉินฉียิ้มร่า “ไปกันเถอะ!”

บริเวณพื้นที่จัดคอนเสิร์ตโดยรอบมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง ตามหน้างานมีคนเดินเร่ขายแท่งไฟ ไฟ LED และยังมีบางคนที่ขายแม้กระทั่งแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ เฉินฉีเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเตือนคนที่กำลังขายซีดีเถื่อน “คุณนี่ช่างกล้าจริง ๆ รู้ไหมว่าการผลิตและจำหน่ายซีดีเถื่อนมันผิดกฎหมายน่ะ? แถมเอามาขายหน้างานเย้ยกฎหมายอีก!?”

คนขายถ่มน้ำลายลงพื้นก่อนหันมาด่า “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ ถ้าไม่ซื้อก็ไปไกล ๆ ซะ”

“กล้าแบบนี้ให้ตลอดรอดฝั่งแล้วกัน ผมจะฟ้องคุณเดี๋ยวนี้แหละ!” เฉินฉีหันไปตะโกนเรียกสตาฟหน้างานเสียงดังลั่น “เฮ้! มีคนกำลังขายซีดีเถื่อนอยู่ตรงนี้ครับ!”

สตาฟได้ยินแล้วรีบวิ่งตรงมาทันทีและเมื่อคนขายซีดีเถื่อนเห็นก็หันกลับมาตะโกนด่าเฉินฉีก่อนจะวิ่งเตลิดหนีการถูกจับ “เดี๋ยวฉันจะหาคนมาถลกหนังหน้าแกซะ!”

“ช่วยผ่าตัดให้ผมดี ๆ ด้วยล่ะ! ผมอยากทำศัลยกรรมอยู่พอดีเลย!” เฉินฉีพูดประชดไล่หลังคนขายที่กำลังวิ่งแจ้นเต็มฝีเท้า

หลินถงซูหัวเราะก่อนจะหันไปต่อว่าเขา “คุณนี่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริง ๆ เลย!”

“ขายแผ่นซีดีเถื่อนมันก็เหมือนกับการขโมยเงินนั่นแหละ มันเป็นเงินของไอดอลผมนะ จะให้ผมจะอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง?” เฉินฉีตอบอย่างจริงจัง

“หึ ไอดอลของคุณคงซาบซึ้งน่าดู”

“นั่นไม่สำคัญหรอก โอ้ ใช่ คุณอยากได้แท่งไฟสักอันไหม? เดี๋ยวผมซื้อให้”

“ถ้าต้องดูไปด้วยและโบกเจ้านั่นไปด้วยฉันคงดูงี่เง่ามากแน่ ๆ!”

“เอาน่า โอกาสแบบนี้นาน ๆ ทีจะมีสักครั้ง” เฉินฉีเรียกคนขายมาและซื้อแท่งไฟกับป้าย LED ที่เขียนว่า ‘God of Songs I love you’ พอคนขายได้รับเงินแล้วจึงใช้คารมชมเชยเขา “แฟนของคุณสวยมากเลยนะ!”

หลินถงซูกระทืบเท้าทันที “ฉันไม่ใช่แฟนเขาซะหน่อย ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าเดาส่งเดชสิ!” พูดแล้วก็หันไปมองหน้าเฉินฉีที่ยังยิ้มแฉ่งไม่รู้สึกรู้สา “คุณมันแย่ มัวยิ้มหน้าระรื่นไม่ยอมแก้ตัวแทนฉันอีก! ตาลุงพวกนี้เป็นประเภทเดียวกันหมดหรือยังไงนะ!”

“การที่ผมเป็นผู้ชายเส้นตื้นอารมณ์ดีมันผิดขนาดนั้นเลยรึไง?!” เฉินฉีตอบด้วยความสัตย์จริง

หลินถงซูเบือนหน้าหนีและไม่สนใจเขาอีก ทันใดนั้นเธอก็เห็นสวีเสี่ยวตงกำลังยืนต่อคิวอยู่ในแถวที่คดเคี้ยวเป็นรูปตัว S และกำลังพูดคุยและหัวเราะกับสาวสวยคนหนึ่งอย่างอารมณ์ดี หลินถงซูถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง จากนั้นจึงรีบหันขวับไปด้านหลังและกระซิบกับเฉินฉี “ดูนั่นสิ ตรงนั้น!”

“ผมเห็นก่อนคุณอีก ทำไมเหรอ?” เฉินฉีดูใจเย็นมาก

“คุณไม่คิดว่าไอ้หมอนี่ทำเกินไปหน่อยรึไง?! พอถูกฉันเทปุ๊บก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาคนอื่นปั๊บ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ตกลงมาดูคอนเสิร์ตกับเขา!” หลินถงซูแค่นเสียงฮึดฮัด

“ผมไม่เห็นว่ามันจะผิดตรงไหน อย่าลืมว่านี่เป็นธรรมชาติของผู้ชายนะคุณ อุตส่าห์หว่านแห่ไปหลายที่ยังไงก็ต้องได้อะไรกลับมาให้ชื่นใจบ้าง คุณคิดว่าผู้ชายคนหนึ่งจะรอผู้หญิงคนเดียวไปตลอดกาลเลยรึไง?”

“นี่! คุณไม่ยอมเข้าข้างฉันไม่พอ ยังหยิบยกเหตุผลอะไรก็ไม่รู้มาทำให้เขาเป็นฝ่ายถูกซะงั้น”

“โอ้ จริงอย่างที่คุณว่า เจ้าบ้านั่นใจโลเลชะมัดเลย!” เฉินฉีแกล้งทำท่าไม่พอใจ

“คุณแอคติ้งได้ห่วยแตกมาก!” หลินถงซูยิ้มออกและกำหมัดชกแขนเขาเบา ๆ

หลังใช้เวลายืนต่อแถวเข้างานอย่างยาวนาน ในที่สุดทั้งคู่ก็สามารถเข้ามาภายในพื้นที่จัดคอนเสิร์ต หลินถงซูเจอที่นั่งของตัวเองแล้ว โชคดีที่ไม่ได้นั่งใกล้กับสวีเสี่ยวตง เธอกำลังจะหันไปบอกเฉินฉี แต่เขากลับไม่ได้เดินตามเธอมาแต่อย่างใด

ผ่านไปสักพักเฉินฉีก็เดินกลับมาพร้อมถุงขนมและเครื่องดื่มอีกหลายอย่าง เขานั่งลงข้างหลินถงซูพร้อมรอยยิ้ม “ระหว่างรอคุณควรกินอะไรรองท้องสักหน่อย กว่าการแสดงจะเริ่มก็อีกตั้งชั่วโมงหนึ่ง”

หลินถงซูบ่นอุบ “รองท้องด้วยเครื่องดื่มพวกนี้เนี่ยนะ? ไม่กลัวฉันจะปวดฉี่กลางคันรึไง? รู้ไหมว่าผู้หญิงอย่างเรา ๆ น่ะเข้าห้องน้ำลำบากแค่ไหน ยิ่งอยู่นอกสถานที่ที่มีผู้คนมากมายล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้ คุณนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย!” เธอต่อว่าเขาพร้อมเอื้อมมือไปหยิบกระป๋องโคล่าออกมาจากกระเป๋าสะพาย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด