ตอนที่แล้วบทที่ 33 จับกุมฆาตกรตัวจริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 35 คอนเสิร์ต

บทที่ 34 คนเห็นแก่ตัว


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 34 คนเห็นแก่ตัว

ภายในห้องสอบปากคำ กงเหวินนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ ตรงข้ามเขาคือหลินชิวผูซึ่งขนาบข้างด้วยนายตำรวจอาวุโสหลายคน รวมถึงเจ้าหน้าที่อีกคนซึ่งรับหน้าที่บันทึกเสียง หลินชิวผูกระแอมหนึ่งครั้งและเริ่มตั้งคำถาม “ชื่ออะไร?”

นอกกระจกอีกด้านหนึ่งของห้องสอบปากคำสามารถมองทะลุจากด้านนอกเข้าไปได้ แต่คนที่อยู่ด้านในมองออกมาจะเห็นเป็นเพียงกระจกทึบ สมาชิกในทีมสืบสวนแทบทุกคนต่างวางมือจากงานเพื่อมารอฟังสิ่งที่พวกเขาสงสัยในคดีนี้ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีเฉินฉีด้วย

หลังจากอธิบายข้อมูลทั่วไปแล้ว หลินชิวผูจึงทำการสอบปากคำต่อ “กงเหวิน ผมคิดว่าทางเราคงไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาวว่าทำไมคุณถึงต้องมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าผม ผมขอให้คุณสารภาพมาตามตรงว่าคุณได้ทำอะไรลงไปบ้าง?”

กงเหวินเงยหน้าขึ้น “ถ้าผมยอมสารภาพ จะได้รับการลดโทษไหม?”

“นั่นขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความร่วมมือกับพวกเราดีแค่ไหน” หลินชิวผูตอบกลับ ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าการที่กงเหวินฆ่าคนไปถึงสามชีวิตแบบนี้ ถึงยังไงก็คงไม่รอดพ้นโทษประหารชีวิตไปได้แน่

เสียงในห้องสืบสวนเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นกงเหวินก็ยอมสารภาพ “ผมไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นแบบนี้ เรื่องทั้งหมดเริ่มจากตอนที่ผมเริ่มยักยอกเงินบริษัท มีอยู่วันหนึ่งผมเจอช่องโหว่ด้านงานเอกสารของบริษัทประกัน นับจากนั้นก็ใช้ทางลัดยักยอกเงินออกมาเรื่อย ๆ จากตอนแรกที่นำออกมาทีละนิดพอไม่มีใครจับได้ก็ทยอยนำออกมาเพิ่มขึ้น จนเดือนมีนาคมปีนี้ผมสามารถยักยอกเอาเงินของบริษัทออกมาได้เกือบสี่แสนหยวน ตอนแรกผมวางแผนเก็บเงินจำนวนนี้ไว้ซื้อบ้านหลังใหม่ที่อยู่ใกล้กันกับโรงเรียนของลูก ไม่คิดเลยว่าพ่อตาของผมที่ป่วยเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารมาตั้งแต่ปลายปีก่อนจะมีอาการกำเริบเอาตอนนี้ ทำให้ผมใช้เงินแทบทั้งหมดไปกับการผ่าตัดแค่ไม่กี่ครั้ง ผมเกลียดบริษัทประกันมาก ก่อนจะตัดสินใจซื้อประกันพวกเจ้าหน้าที่ต่างบรรยายขายฝันเอาไว้ซะดิบดี แต่พอจะไปเคลมเงินประกันเข้าจริง พวกเขาก็เอาแต่อ้างว่าไม่สามารถเบิกเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ได้ และเงินที่เบิกได้เพียงพอแค่เป็นสวัสดิการสำหรับค่าเตียงผู้ป่วยในแต่ละคืนเท่านั้น ถ้าพวกเขายอมจ่ายดี ๆ แต่แรกสถานการณ์คงไม่เลยเถิดไปไกลเแบบนี้!”

หลินชิวผูพูดแทรก “ผมต้องการให้คุณพูดถึงตอนที่ก่อเหตุ เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องเล่าหรอก เก็บไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนตัวเองดีกว่า!”

กงเหวินขอสูบบุหรี่เพื่อระงับสติอารมณ์ จากนั้นจึงเล่าต่อ “โรงพยาบาลยื้อชีวิตพ่อตาของผมไว้ได้ถึงเดือนมีนาคมปีนี้ก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป ช่วงเวลานั้นผมไม่คิดเลยว่าหัวหน้าทีมและผู้เชี่ยวชาญด้านการบัญชีของบริษัทประกันที่ผมทำงานอยู่จะตรวจพบการยักยอกเงินของผม พวกเขาข่มขู่ว่าจะพาตัวผมขึ้นศาลในฐานะจำเลยที่กระทำความผิดฐานฉ้อโกง นอกจากหาเงินมาชดใช้คืนได้ถือว่าจบกัน ผมกังวลมากและหมดสิ้นหนทางจนต้องไปยืมเงินจากบริษัทปล่อยเงินกู้นอกระบบ ตอนแรกผมคิดจะขายห้อง แต่ศีลธรรมในหัวใจคอยยับยั้งเอาไว้ซะก่อน ผมไม่ยอมสละความสุขของคนทั้งครอบครัวเพื่อความผิดของตัวเองแน่”

หลินชิวผูได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ คนที่พูดว่าจะไม่ยอมสละความสุขของคนทั้งครอบครัว กลับฆ่าคนในครอบครัวที่เขาอ้างว่ารักนักหนาด้วยน้ำมือตัวเอง

“ผมไม่ควรไปข้องเกี่ยวกับบริษัทปล่อยเงินกู้นอกระบบเลยจริง ๆ เงินต้นไม่เท่าไหร่ แต่ดอกเบี้ยมีแต่จะทวีคูณขึ้นทุกวัน ถึงแม้ผมจะชำระวงเงินค่าบัตรเครดิตจนครบแล้วแต่ยังต้องจ่ายดอกให้พวกเขาไม่หมดสิ้นสักที มีผู้ชายหลายคนตามมาข่มขู่ผมตั้งแต่ที่ทำงานยันที่บ้าน พวกเขาพยายามบีบบังคับผมให้จนมุมด้วยวิธีต่าง ๆ จนผมคิดว่าตัวเองคงหมดหนทางแล้ว แต่ประมาณเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น... ผมบังเอิญเจอกับน้องชายฝาแฝดของตัวเอง! ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีพี่น้อง ตอนที่เราเจอกันผมเข้าไปในร้านอาหาร ส่วนเขาทำงานเป็นพนักงานในร้าน เราต่างก็ตกตะลึงทั้งคู่ที่หน้าตาดันเหมือนกันราวส่องกระจก! ผมรีบโทรหาพ่อกับแม่จนได้รู้ความจริงว่าเราเป็นฝาแฝดกัน สาเหตุที่แยกกันอยู่คนละที่เพราะตอนผมกับเขาเพิ่งถูกคลอดออกมา ครอบครัวของเรายากจนมากจึงต้องเลือกทิ้งเขาไป หลังจากนั้นเราสองพี่น้องก็ไปกินมื้อเย็นด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง เขาเห็นผมแต่งยูนิฟอร์มใส่สูทก็คงคิดว่าผมต้องได้ดิบได้ดีมีฐานะแน่ ๆ ระหว่างที่กำลังคุยกันเขาเคยขอให้ผมช่วยเหลือเขาเรื่องเงินบ้าง ตอนนั้นผมทำได้แค่ยิ้มทั้งที่ใจเจ็บปวด เขาอิจฉาผม แต่ผมอิจฉาเขามากกว่าซะอีก เขาก็แค่ทำงานเสิร์ฟอาหารแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเดือนหนึ่งก็ได้รับเงินแล้ว แถมยังไม่มีภาระหนี้สินรัดตัว ไม่เหมือนกับผมที่ชีวิตแทบจะมาถึงทางตัน!”

“ด้วยหนี้จำนวนมหาศาลที่ผมก่อ ทำให้ผมต้องทะเลาะมีปากเสียงกับภรรยาตัวเองเป็นห้าหกวัน คนจากบริษัทเงินกู้นอกระบบคอยตามรังควานจนอยู่ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผมก็ทำยอดขายประกันได้ไม่ถึงเป้าอีก เรื่องทั้งหมดประดังเข้ามาพร้อมกันแล้วกดดันจนผมแทบเป็นบ้า กลายเป็นว่าผมเกลียดทุกสิ่งอย่างที่อยู่รอบตัว คิดถึงขั้นว่าตัวเองควรฆ่าตัวตายไปซะเพื่อที่ครอบครัวจะได้เลี้ยงชีพต่อไปด้วยเงินประกันก้อนนั้น แต่พอนึกขึ้นได้ว่าคนเจ็บป่วยธรรมดายังบ่ายเบี่ยงหาช่องโหว่เพื่อที่จะไม่ต้องจ่าย แล้วนับประสาอะไรกับกรณีฆ่าตัวตายที่ไม่อยู่ในเงื่อนไข รวมถึงคำด่าหยาบคายจากปากผู้หญิงที่เป็นคู่ชีวิตว่าผมมันไร้ประโยชน์สิ้นดี ผมก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า”เราจะพาตัวเองไปตายทำไมกัน? คนพวกนั้นต่างหากที่สมควรตาย!”

ทันทีที่เขาพูดแบบนี้ แววตาที่เคยสงบนิ่งและอ่อนโยนก็แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม

“วันศุกร์ที่เพิ่งผ่านมานี้ ผมไปไล่ขอกู้เงินจากแหล่งต่าง ๆ หวังจะเอามาโปะดอกเบี้ยที่เหลือ พอได้มาครบแล้วถึงได้เข้าไปที่บริษัทปล่อยเงินกู้ เตรียมเจรจาขอคืนเงินให้ก่อนส่วนหนึ่ง แต่เขากลับบอกว่าหนี้ของผมตอนนี้อยู่ที่แปดแสนหยวน สองเท่าของเงินต้นที่ผมกู้ยืมมาในตอนแรก! ผมเถียงกับเสือใหญ่อยู่นานจนคอเป็นเอ็นว่าทำแบบนี้มันไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ไอ้สวะนักเลงนั่นไม่สนใจฟังอะไรเลยแถมยังเอาแต่ดูถูกผม เขายังพูดเยาะเย้ยด้วยว่าถ้าสิ้นไร้ไม้ตอกจนหาเงินมาคืนไม่ได้จริงก็ขายอวัยวะให้ตลาดมืดซะสิ หรือถ้าไม่พอก็ขายของเมียกับลูกด้วยก็ได้ ถึงขั้นนี้แล้วผมก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้าแล้วบันดาลโทสะคว้าอะไรสักอย่างบนโต๊ะมาฟาดเข้าที่หัวเขา จนกระทั่งผมสงบสติอารมณ์ลงได้ถึงได้รู้ว่าเขาหยุดหายใจไปแล้ว!”

“ผมกลัวมาก ชีวิตของผมถึงจุดพังพินาศขนาดนี้เชียวเหรอ? พอทำอะไรไม่ถูกก็นั่งคิดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน แล้วทันใดนั้นผมก็คิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ แผนการอันสมบูรณ์แบบที่จะทำให้ผมกลายเป็นผู้บริสุทธิ์โดยไม่ต้องชดใช้อะไรเลย! ในเมื่อชีวิตผมถูกบีบจนมืดแปดด้านขนาดนี้ก็ควรลองเสี่ยงกันสักตั้ง ดังนั้นผมก็เลยทำความสะอาดที่เกิดเหตุ แล้วรีบไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยานอนหลับ และกลับมาถึงห้องโดยแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นจิตสำนึกของผมกำลังต่อสู้กันเอง ‘ฉันต้องฆ่าคนในครอบครัวตัวเองทิ้งจริง ๆ เหรอ?’ ‘ไม่ได้ จะใจอ่อนไม่ได้แล้ว ฉันจำเป็นต้องทำ!’ ครอบครัวของผมรู้ว่าผมมีน้องชายฝาแฝด เพราะฉะนั้นผมต้องฆ่าพวกเขาทิ้งเพื่อปิดปาก ในฐานะลูกผู้ชาย ผมต้องจบเรื่องที่ตัวเองเป็นคนก่อให้ได้ ถ้ายังมัวลังเลสักวันตำรวจก็ต้องตามมาจับผมเข้าคุก ถึงยังไงผมก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปแล้ว ในเมื่อพระเจ้าให้โอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ทำไมผมจะไม่คว้ามันไว้ล่ะ?”

หลังจากกงเหวินพูดจบ ท่าทางของเขากลับดูน่าสยดสยองและพูดพล่ามไม่หยุดเหมือนคนโรคจิต รอยยิ้มบิดเบี้ยวพิลึก คล้ายหลงลืมสถานการณ์แห่งความเป็นจริงตรงหน้าและดำดิ่งย้อนกลับไปในตอนที่ตัวเองกำลังวางแผนการในคืนนั้น

“พอถึงวันอาทิตย์ ผมก็ติดต่อน้องชายฝาแฝดของผมให้มาเจอกันที่บ้านเพื่อทักทายพี่สะใภ้ของเขา ผมไปพบเขาตั้งแต่บ่ายและอยู่ด้วยตลอดจนถึงมื้อเย็น หลังจากนั้นก็พาเขาเข้าคลับและหาสาวนั่งดริ๊งก์มาอยู่เป็นเพื่อน พอเห็นว่าเขาเพลิดเพลินได้ที่ก็ถือโอกาสนี้รีบวกกลับเข้าบ้าน คืนนั้นภรรยาของผมต้มซุปเมล็ดบัวหวานเอาไว้พอดี ผมเลยเทผงยานอนหลับที่เตรียมไว้ในซุปแล้วออกจากห้องไปอีกรอบ ประมาณห้าทุ่มผมก็กลับมาพร้อมกับน้องชายฝาแฝด แล้วพยายามหลบมุมกล้องวงจรปิดไม่ให้เห็นใบหน้า ตอนที่เข้ามาในห้องทุกคนก็หลับไปแล้ว แม้แต่ทีวียังเปิดทิ้งไว้อย่างนั้น ผมเลยอาสาตักซุปเมล็ดบัวหวานหลอกให้เขากินแก้แฮงค์ จากนั้นก็แอบเข้าห้องน้ำไปแบบเนียน ๆ ตอนแรกผมซ่อนค้อนเอาไว้ในห้องน้ำ แต่คงจะเป็นภรรยาของผมที่เอามันออกไปเก็บที่เดิม ยัยบ้านี่ไม่เคยทำประโยชน์อะไรเลยนอกจากทำให้คนอื่นเสียเรื่องกับเสียอารมณ์!”

“ตอนนั้นเองน้องชายฝาแฝดของผมก็เดินมาเคาะประตูจากด้านนอกแล้วบอกผมว่าเขาต้องการเข้าห้องน้ำ ผมลองคิดดูแล้วรู้ว่าคงไม่มีโอกาสอื่นอีกเลยหยิบฝาเซรามิกที่ใช้ปิดชักโครกออกมาถือไว้ ก่อนจะตะโกนบอกเขาว่า”นายช่วยไปปิดสวิตช์ไฟในครัวให้หน่อยสิ“พอเขาหันหลังให้ปุ๊บผมก็ใช้ฝาปิดชักโครกฟาดหัวของเขาเต็มแรง เซรามิกแตกกระจายไปทั่วพร้อมกับเขาที่ขาดใจตายทันที เหมือนว่าตอนนั้นมือของผมก็โดนเศษเซรามิกบาดด้วย แต่เหงื่อออกมือเยอะมากจนไม่ทันสังเกต”

“ต่อมาผมก็ไปฆ่าแม่ยายของผม พูดตรง ๆ ว่าตอนที่ฆ่าแกผมแทบไม่รู้สึกผิดอะไรเลย ก่อนที่แกจะตายยังอุตส่าห์กระเสือกกระสนและกรี๊ดออกมาดังมากซะจนผมกลัว พอเมียผมได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งเข้ามาทันที ตอนนั้นผมเริ่มเหงื่อแตกจนควบคุมไม่ได้เลยรีบจับหัวเธอโขกเข้ากับขอบประตู ตอนนั้นเธอพยายามวิ่งหนีจนหกล้ม ผมเลยใช้จังหวะนั้นแทงซ้ำ รอจนกว่าจะมั่นใจว่าเธอตายแน่ถึงได้เดินออกมาจากห้องนอน”

กงเหวินกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “ลูกชายผมตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงดังข้างนอก ผมเปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นเขากำลังหดตัวอยู่บนเตียงด้วยความกลัวจนตัวสั่น สายตาเราทั้งคู่ประสานกัน ทันใดนั้นจิตสำนึกของผมก็ตื่นขึ้นจนรู้สึกเศร้าใจ ผมจะทำระยำตำบอนกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้ยังไง? ผมยืนอยู่ตรงนั้นนานมาก สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง จากนั้นก็รีบเก็บข้าวของแล้วออกไปทันที ถ้าผมใจกล้ากว่านี้อีกสักนิดยังไงพวกคุณก็ไม่มีวันตามจับผมได้แน่ แต่ผมยังเป็นมนุษย์ เลยไม่อาจทำเรื่องที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์อย่างนั้นได้ เหมือนว่าประโยค ‘คิดทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง’ คงจะเป็นเรื่องจริง!”

เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้วกงเหวินก็ยกฝ่ามือขึ้นปิดบังใบหน้า หลินชิวผู นายตำรวจอาวุโสในห้อง และเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกต่างคิดเห็นตรงกันว่าทัศนคติของชายคนนี้บิดเบี้ยวเสียจนกู่ไม่กลับ หลินชิวผูแก้ไขความเข้าใจของเขาเสียใหม่ “คุณคิดผิดแล้ว ลูกชายของคุณไม่ได้เปิดเผยเบาะแสอะไรทั้งนั้น ที่คุณมานั่งอยู่ตรงนี้เพราะการก่อเหตุของคุณมีข้อผิดพลาดตั้งหลายจุด อย่าลืมสิว่าในโลกนี้ไม่มีอาชญากรรมครั้งไหนที่สมบูรณ์แบบ ถ้าคุณไม่อยากให้ใครรู้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือคุณต้องไม่วางแผนที่จะทำมันตั้งแต่แรก!”

ทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรจะพูดอีก การสอบปากคำครั้งสุดท้ายจบลง เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนที่มีโอกาสได้เป็นพยานรับรู้ความบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นในใจของกงเหวิน ซึ่งเป็นแค่คนธรรมดาที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอด ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเห็นใจ

หลินถงซูออกความเห็น “เสือร้ายไม่เคยกินลูกของตัวเอง ต่อให้จิตใจของเขาอำมหิตเลือดเย็นแค่ไหน อย่างน้อยวินาทีสุดท้ายก็ยังเหลือความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง”

เฉินฉีส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “คุณเข้าใจผิดแล้ว เด็กคนนี้เป็นเพียงตัวแทนในการสืบทอดวงศ์ตระกูลและเลี้ยงดูในยามแก่เฒ่า ความรักของพ่ออย่างเขาที่มีต่อลูกเป็นเพียงการรักตัวเองทางอ้อม ก็แค่ความเห็นแก่ตัวในรูปแบบหนึ่ง ในเวลานั้นเขาคิดแค่ว่าการฆ่าคนเป็นทางออกที่ดีที่สุด นั่นเป็นเพราะเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่คำนึงถึงใครเลย บนโลกนี้ยังมีคนอีกมากที่ชีวิตถูกบีบมาจนสุดทางตัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้อับจนหนทางถึงขนาดต้องจบปัญหาเหมือนกับกงเหวินที่ตัดสินใจทำแบบนี้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด